gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

คริสตจักรแตกคือน้ำพระทัยจริงหรือ ?

คริสตจักรแตกคือน้ำพระทัยจริงหรือ ? 
โดย ซุนโร

ความแตกแยกของสังคมของเรา
หูที่ชินชา ตาที่เลือบมองเห็นสภาพของผู้คนในบ้านในเมืองที่พึ่งผ่านพ้นวาระแห่งการทะเลาะ สู่วาระการคืนดีกัน   ทำให้อดคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าในปัญญาจารย์ไม่ได้ว่า  ? มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ  วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด   มีวาระรัก และวาระเกลียด  วาระสงคราม และวาระสันติ ?  นี่คือสัจธรรมของชีวิตมนุษย์โลก     จริงๆนะการขัดแย้งมันช่างไม่ได้ทำให้มีอะไรที่ดีขึ้นแม้แต่นิดเลย      คนที่ต้องได้รับผลกระทบเต็มๆก็คือประเทศชาติของเราเอง   บ้านเมืองของเราที่รักษาสันติภาพมาด้วยหยาดเหงื่อยด้วยเลือดเนื้อและชีวิต    แต่เรากับต้องมาพ่ายแพ้ต่อกันเสียเอง   สีเหลืองหรือแดงกลายเป็นเครื่องหมายของการแบ่งขั้วและแยกฝูงชนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน หรือใครคือคนของใคร   และมุมมองแนวความคิดก็ดูเหมือนจะมองต่างมุมกันชัดเจน  แยกออกจากกันเหมือนฟ้ากับดิน มืดกับสว่าง ขาวกับดำ      คนที่เฝ้ามองดูอยู่กับหวั่นๆใจว่าเรื่องนี้จะลงเอ่ยอย่างไร   ไม่ต่างกับครอบครัวหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวต่างก็ไม่ยอมลดฐิทิ   เรื่องที่คนส่วนมากทะเลาะกันมักเกิดจากเรื่องเล็กๆน้อย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอะไรมากนัก       อิทธิพลของความขัดแย้งมันกำลังคืบคานมาสู่สังคมคริสเตียน  แม้ว่าเราจะมีพระเจ้าองค์เดียวกัน ใช้พระวจนะฉบับเดียวกัน  มีแผ่นดินสวรรค์ที่จะต้องขึ้นไปอาศัยอยู่ที่เดียวกัน    แต่เราก็ไม่วายที่จะขัดแย้งกันเอง   เหมือนราวกับว่าสวรรค์ไม่ต้องเจอกันอีกเลย  ไม่นับญาติดีหรือเผาผีกันอีกแล้ว   แล้วอย่างนี้เราจะไปป่าวประกาศให้ใครที่ไหนกันว่าพระเจ้าของเราเป็นความรัก


คริสตจักรไม่น้อยในเวลานี้ที่แตกแยกกัน  บางแห่งแยกตัวออกไปถึงห้าสิบคนบ้าง ยี่สิบคนบ้าง  ทั้งๆที่เริ่มแรกเดิมทีก็คนที่เคยกินข้าวแดงแกงร้อนหม้อเดียวกันนั่นแหละ    ปากอ้างว่าเป็นลูกหม้อ เป็นศิษย์ก้นกุฏิ   ก็วันนี้กลับมายืนสาดโคลนใส่กัน ว่ากันไปว่ากันมาทำสงครามปากและร่อนอีเมล์ไปทั่ว ป่าวร้องโฆษณาถึงอีกฝ่ายว่าเลว  โลกนี้มันกลมไปประชุมไหนๆก็ต้องแบกหน้ามาเจอกันอยู่ดี มือยกมือไหว้แต่ตาขยิบใส่กัน  สวมหน้ากากจัดฉากปั้นหน้า  อ่านมาตรงนี้อย่ารีรีบเปลี่ยนคลิกไปหน้าอื่นเลย


ความแตกแยกของคริสตชนในยุคแรกๆ

หากมองย้อนกลับไปพิจารณาดูคริสตจักรในยุคแรกๆว่ามีบ้างไหมที่คนของพระเจ้าทะเลาะกัน ขัดแย้ง  ขัดเคืองใจต่อกันแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน    แตกกันเป็นกกแบ่งกอเป็นเหล่าเป็นคณะเป็นนิกาย    เราก็พอมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  เช่นว่าสาวกถกเถียงกันว่าใครเป็นใหญ่กว่ากัน    ลูกา22:24 มีการเถียงกันด้วยว่าจะนับว่าใครในพวกเขาเป็นใหญ่ที่สุด     กิจการ15:39 แล้วได้เกิดการขัดแย้งกันจนต้องแยกกัน บารนาบัสจึงพามาระโกลงเรือไปยังเกาะไซปรัส    40 แต่เปาโลได้เลือกสิลาส และเมื่อพวกพี่น้องได้ฝากท่านทั้งสองไว้ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไป     ข้อพระคำเหล่านี้เปิดเผยให้เราเห็นว่าคริสตจักรยุค คนสมัยโน้นก็มีการขัดแย้งกันเช่นกัน   ถ้าอย่างนั้นการขัดแย้งแสดงว่าไม่ใช่เรื่องใหม่กะนั้นหรือ    มีหลายคนสรุปว่าการทะเลาะกันหรือแตกแยกกันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้  เป็นเรื่องธรรมดา  จึงไม่แปลกใจที่เรายังเห็นผู้นำคริสเตียน หรือคณะธรรมกิจคริสตจักรทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา   อาจจะเพราะเรื่องที่คิดไม่ตรงกันบางเรื่องบางประเด้นเท่านั้นเอง    หรืออาจจะความอิจฉาตาร้อนและอีโก้สูงที่ไม่ถ่อมใจพอที่จะน้อมกายหรือก้มหัวให้ใคร  กูมาคนเดียกูดังคนเดียว   บางแห่งน่าเกลียดมากการขัดแย้งกันเพราะว่าแบ่งเค้กไม่ลงตัวประมาณนั้น  เฮ้ย...(ถอนหายใจ)  ถ้าตราบใดที่ผู้นำคริสตชนยังมีมุมมองเช่นนี้  แล้วทำไมพระคัมภีร์จึงย้ำเตือนให้รักและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไปทำไม

 


ฟิลิปปี2:3 อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4 อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์       นั่นแสดงว่าพระคัมภีร์ไม่ได้สนับสนุนให้คริสเตียนแตกแยกกัน  ตรงกันข้ามกลับปลุกใจให้มีความรัก และทำความดีต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวของพระเจ้าที่มีความเชื่อ   แต่คริสเตียนวันนี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือเราให้ราคากับการทุ่มเทเพื่การประกาศกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียนมากเป็นพิเศษ เพียงเพื่อหวังจะได้เขามารู้จักพระเจ้าเท่านั้นเอง   แต่คนที่เชื่อด้วยกันเรากลับละเลยที่จะแสดงความรักและเรียนรู้ที่จะให้อภัยโทษต่อกัน   70x7 ครั้งที่พระเยซูคริสต์พระอาจารย์ของเราสอนสั่งให้ยกโทษต่อกัน

 

 


เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือ

 

หลายคนเมื่อเห็นพี่น้องกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทะเลาะกัน แตกแยกกันไปตั้งโบสถ์ใหม่  บางแห่งน่าเกลียดมาก    แตกออกไปตั้งคริสตจักรห่างกันเพียง2ป้ายรถเมย์    ดันทะลึ่งตั้งชื่อคริสตจักรคล้ายๆกันอีก เอาเข้าไปประเทศไทยนะประเศไทย     ลองคิดดูดีๆว่า บางชุมชนในหมู่บ้านในชนบท ชาวบ้านเขารู้กันทั่วว่ามีอะไรเกิดขึ้นในหมู่พวกคริสต์บ้าง    มีหรือเขาจะไม่ทราบ ไม่เห็น    บางครั้งคนที่ไม่เชื่อก็ชักแปลกใจจึงทนไม่ได้ที่จะมาถามว่า  พวกที่เชื่อถือพระเยซูเป็นอะไรกัน    ทำไมเขาถึงแตกแยกกัน       เราเป็นคริสเตียนที่กลับมาเผชิญหน้ากัน  แข่งขันกันไปมา   บางแห่งใช้วิชามารเสียเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว   ดั่กปลาหน้าไซร์คนอื่นเสียเลยง่ายยิ่งกว่าแกะกล้วยเข้าปากลิงลพบุรี    วางยาคริสตจักรเดิมกับสมาชิกบางคนที่พอจะปั่นหูเขาได้  ขับรถมารับสมาชิกที่เดิม      ท่านเองก็คงจะเคยเห็นพฤติกรรมประมาณนี้เกิดขึ้นในสังคมคริสเตียนไม่มากก็คงน้อย      แต่ที่น่าเศร้าใจมากที่สุดก็คือว่ายังมีหลายคนพูดว่า? ก็ไม่เป็นไรขอบพระคุณพระเจ้า    พระเจ้าให้เกิดการแตกแยกขึ้นเพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า จะได้มีคริสตจักรเกิดขึ้นเยอะๆสนองนิมิต 2010 ?

 

ตราบใดที่คริสเตียนไทยยังมีขบวนการคิดเห็นแบบนี้ก็ทำนายได้เลยว่า  อีกไม่นานจริธรรมในหมู่คริสตชนจะหาแทบไม่เจอ  ระวังเกลือจะเน่า     ผู้เขียนไม่เชื่อว่าการแตกแยกกันในคริสตจักร หรือการทุบคริสตจักร หรือการขยายคริสตจักรออกไปโดยผ่านขบวนการขัดแย้งกันคือน้ำพระทัยพระเจ้า   พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเช่นนี้   และนี่คือคำสอนของซาตานที่ปล่อยข้าวชั่วในไร่นาข้าวดี      มีพระคัมภีร์ตอนไหนที่สอนว่าพระเจ้าประสงค์คือให้คริสตจักรขยายออกไปทั่วโลกโดยการทำให้พวกคริสเตียนทะเลาะกันเอง  มีแต่สอนว่าให้รักสามัคคีกัน  ให้เรียนรู้จักอภัย   รู้จักถ่อมใจต่อกันมิใช่หรือ   การพูดว่านี่น้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการให้คริสตจักรขัดแย้งกัน   ก็เท่ากับการใส่สีให้การร้ายต่อพระเจ้า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า  และยิ่งไปกว่านั้นเท่ากับเป็นการสนับสนุนเห็นดีเห็นชอบให้วงการคริสเตียนไทยขัดแย้งกันเองได้   ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดตกขอบ   หากต้องการเห็นพระเจ้าอวยพรประเทศไทย  อย่าริไปเห็นดีเห็นงามกับพวกแตกแยกออกไปตั้งคริสตจักรใหม่

 


อะไรคือตัวกระตุ้น"

 

คำนี้เป็นคำจริง คือว่าถ้าผู้ใดปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร ผู้นั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ" (1ทิโมธี 3:1)

คนหลายจึงปรารถนาที่จะทำงานเป็นผู้ปกครอง หรือเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักร   เพราะถือว่าเป็นงานที่ประเสริฐ  หลายคนจึงฝันอยากจะก้าวไต่เต้าขึ้นมาเส้นทางนี้ ทำทุกวิธีที่จะเป็น ที่จะได้มา  แม้ว่าจะต้องไปทุบคริสตจักรใดๆก็หน้าหนาที่จะจนได้

 

ปัญหามันคืออะไรหรือ ?   พระคัมภีร์ยากอบสรุปว่าปัญหาของการขัดแย้งกันคือการงานของเนื้อหนัง  เพราะความโลภเจ้ายศเจ้าอย่าง  เป็นคริสเตียนเนื้อหนังที่อยากได้ แต่ไม่ได้ก็ทะเลาะกัน  เอาแต่ใจตัวเอง   อยากมีลูกแกะ    บางครั้งปัญหาก็เพราะมือที่สามเข้ามาแทรกแซงในคริสตจักร  มีบางคนตีท้ายครัวคริสตจักรของคนอื่นเขา   มาหวังจะสวมเขาและอยากจะเป็นศิษยาภิบาล  อยากเข้ามาร่วมวงกับเขา      บางแห่งทะเลาะกันระหว่างศิษยาภิบาลกับคณะธรรมกิจคริสตจักร    หรือผู้นำฆารวาสกับผู้รับใช้เต็มเวลา      อาจจะเป็นเพราะว่าการคิดเห็นที่ต่างกัน     วิธีการต่างกัน    หลักการที่ยึดถือต่างกัน เพราะแต่ละคนมาจากบริบทที่แตกต่างกัน       ทั้งๆที่ทุกฝ่ายต่างก็มีความมุ่งหวังอยากจะเห็นงานของพระเจ้าก้าวไปอย่างเกิดผลทวีคูณ  บ้างก็อยากจะปกป้องจุดอ่อนแอหรือรูรั่วของคริสตจักร     บ้างก็อ้างหวังดีอยากจะร่วมกันพัฒนาองค์กรให้ดีกว่านี้เพื่อสานต่อนิมิตคริสตจักร       เพราะต่างคนต่างก็หวังดี  เลยต่างฝ่ายก็ดันไปตัดขากางเขนจนกระทั่งใส่ไม่ได้      บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรก็เกิดจากฆารวาสหรือพี่น้องบางคนพูดมากเกินไป  ว่างงานมากเลยเที่ยวไปยุ่งธุระคริสตจักรมากไปหน่อย   เข้าไปแทรกแซงงานพระเจ้าหนักไปหน่อย    ไม่นั่งไม่เรียนรู้จักวางใจผู้นำหรือวางใจพระเจ้า    อยากควบคุมการบริหารงาน  ชอบเช็คบิลผู้อื่นเสมอๆ      และคิดว่าผู้นำคริสตจักรไม่มีไฟ ไม่มีศักยภาพเหมือนตน          บางแห่งมองว่าตนเองมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจการงานมาก่อน     คิดว่าอยากเห็นคริสตจักรเติบโตเลยขอยืมเอาวิธีการของโลกมาบริหารงานคริสตจักรเสียเลย     บางครั้งปัญหาก็เกิดจากตัวผู้นำเองนั้นเอง    หรือภรรยาของผู้รับใช้พระเจ้าเองที่พูดมากเช่นกัน  วางอำนาจ  คิดว่าตนเองสำคัญนัก  และมีอิทธิพลเพราะบุกเบิกก่อตั้งองค์กรนี้มากับมือ     มันก็เลยเกิดปัญหาขัดแย้งกัน        เชื่อไหมว่าปัญหาคริสตจักรบางทีเป็นเรื่องเล็กๆในสำนักงาน   เป็นเรื่องของคนสองสามคนที่ตกลงกันไม่ได้    สุดท้ายก็มีการรวมฝูงชนออกเป็นกลุ่มๆ  แยกสี และเลือกข้างเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระเจ้า  วิพากวิจารณ์เรื่องคริสตจักรในกลุ่ม     กลุ่มเหล่านั้นอาจจะมาจากแคร์ หรือเซลล์กรุ๊ปนั่นเอง    เริ่มมีการเมืองในคริสตจักร     นั่งจับเข่าทานข้าวแบ่งเป็นกกๆ

 


ผู้เขียนเห็นว่าปัญหาการที่ผู้นำ และสมาชิกต่างลืมตระหนักให้ดีว่าแท้จริงแล้ว   คริสตจักรเป็นของพระเยซูคริสต์    สาวกในคริสตจักรก็คือสาวกของพระคริสต์ไม่ใช่ของศิษยาภิบาลหรืออาจารย์    เงินทั้งสิ้นในคริสตจักรเป็นทรัพย์สินของพระเจ้าไม่ใช่ของมัคนายก   หรือของภรรยาศิษยาภิบาล       การขาดจิตสำนึกดังกล่าวจึงทำให้เราประเมินตัวเองสูงเกินไป   แท้จริงทุกคนก็คือทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์    บางคริสตจักรคนถวายทรัพย์มากกว่าก็อยากแสดงว่าตนเองมือใหญ่เป็นเจ้าสัว   บางคริสตจักรบริหารงานอย่างกับเป็นธุรกิจครอบครัว   ตัดสินใจคนเดียว

 

เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันก็ขาดผู้ใหญ่จริงๆที่จะเข้าไปช่วยสมานรอยร้าวนั้นให้กลับคืนสู่สภาพที่ดีดังเดิม    ปัญหาบางคริสตจักรผู้ใหญ่กลับมีปัญหากับพี่น้องเสียเอง    แล้วใครจะเข้ามาช่วยพวกเขาที่จะทำให้เกิดการคืนดีกันได้  เมื่อขัดเคียงใจกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ  แต่บรรยากาศของคริสตักรก็เริ่มอับเฉา  ไม่พุดคุยกันเหมือนแต่ก่อน

 

แฟชั่นคริสตจักร


ทุกวันนี้ดูเหมือนการขัดแย้งกันก็ดี หรือแตกแยกคริสตจักรออกไปกลายเป็นเหมือนค่านิยม หรือแฟชั่นใหม่เสียแล้ว    แทบจะไม่มีที่ใดที่ไม่มีการแตกแยกกัน   สิ่งที่แปลกประหลาดไม่น้อยก็คือว่า  คริสตจักรพอมีสมาชิกประมาณ 50?100 คนก็จะเริ่มส่ออาการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่มา     โรคระบาดเริ่มขยายวงกว้างออกไปในครอบครัวของคริสตจักร     จากการพูดคุยของผู้นำพบว่าการแตกแยกกันเกิดขึ้นเพราะคริสตจักรมีกลุ่มเซลล์ และกลุ่มแคร์   มีมุ้งเล็กมุ้งน้อย โดยการนำของหัวหน้าเซลล์ต่างๆ    เมื่อผู้นำในกลุ่มใหญ่ขึ้น   มีการยอมรับกันในกลุ่มอยู่ในระดับที่สูงขึ้นก็เริ่มมีการขัดแย้งกันมากขึ้น

ได้มากกว่าเสีย หรือเสียมากกว่าได้?

แท้จริงแล้ว  การขัดแย้งกันเกิดความเสียมากกว่าได้    เราไม่จำเป็นต้องขยายคริสตจักรออกไปโดยการทะเลาะขัดแย้ง หรือโดยการแตกกกกันได้ไหม   มันพอจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้หรือไม่     ก่อนที่เราจะเริ่มเห็นการแตกแยกกันออกไปตั้งคริสตจักร  เป็นไปได้ไหมว่าคริสตจักรและผู้นำทั้งหลายจะใช้เวลานั่งคุยกัน และอธิษฐานร่วมกันโดยปราศจากความรู้สึกที่ขมขื่นข้างใน      พร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายคริสตจักรใหม่ๆ  เพื่ออย่างน้อยก็รองรับผู้นำกลุ่มต่างๆที่มากขึ้น     พวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะออกไปทำพันธกิจ    และพวกเขาก็อยากมีอานาคตของตนเองในงานรับใช้พระเจ้าด้วย  ดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นก่อน  แล้วในที่สุดคริสตจักรก็แตก       การที่คริสตจักรจะยึดมั่นถือมั่นว่าอยากจะมีสมาชิกเพิ่มพูนเป็นพันๆคน     บางทีอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการก็เป็นได้      มนุษย์ต้องการสะสมอำนาจและบารมีของตนเอง   ชอบอวดตัว   ดาวิดที่ทำบาปและพระเจ้าไม่พอพระทัยก็เพราะเหตุที่เขาเริ่มนับจำนวนประชากร     แล้วรู้สึกว่าตนเองมีกำลังและยิ่งใหญ่กว่าใครใดๆในพื้นฟ้านี้       พระเจ้ากลับปรารถนาให้เราถ่อมใจ   เรามักนิยมความรุนแรงต่อกัน  พระเจ้ากลับต้องการให้เราอ่อนโยน      การขัดแย้งมีแต่ทำให้คริสตจักรอ่อนแอ และภาพพจน์ของคริสตจักรก็ไม่ได้สง่างาม    ไม่ได้สำแดงสง่าราศรีของพระเจ้าเลย  มีแต่ความอับอายขายขี้หน้า    และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมไทยของเราที่มีการขัดแย้งกันอยู่มากพออยู่แล้ว  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก  มีการใช้ความรุนแรงต่อกันอยู่แล้ว     จะคุ้มค่าหรือหากเราจะมีคริสตจักรเกิดขึ้นเพราะผลจากการขัดแย้ง  การแตกแยกเป็นกกๆ เป็นเหล่ากัน

 


ความหวังของคริสตจักรไทยอยู่ที่ไหน


มาช่วยๆกันทำให้พระเจ้าของเรายิ้ม ตามพระคัมภีร์ยอห์นบทที่17 ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า ?ให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน?


ด้วยการเรียนรู้จักรักซึ่งกันและกัน  ถ่อมใจต่อกัน หันหน้ามาหากันเพื่อรักร่วมรับใช้  ด้วยจิตสำนึกเสมอว่า คริสตจักรเป็นของพระเยซูคริสต์  เราคือผู้ทาสรับใช้ของพระเจ้า  พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่ได้รับพระคุณพระเจ้าเหมือนๆกัน   ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ก็เนื่องด้วยพระคุณพระเจ้า    ไม่สมควรเลยที่เราจะขัดแย้งกัน หรือแตกแยกกันเอง    และจากนั้นก็พาพรรคพวกหรือสมุนออกไปตั้งคริสตจักร ขึ้นป้ายของตึกแถวห้องแถวว่าคริสตจักร.....          สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคริสเตียนต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่   อย่าคิดว่าพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติเหนือคริสตจักรที่ก่อตั้งออกมาจากความขัดแย้ง      คริสตจักรที่เกิดขึ้นมาใหม่เพราะแตกแยกออกไปจากที่หนึ่งก็เหมือนลูกที่คลอดออกมาจากพ่อมแม่ที่ไม่พร้อมที่จะมีบุตร  ไม่สง่างาม  ไม่สมบูรณ์       ในวันข้างหน้าท่านจะจารึกประวัติศาสตร์คริสตจักรนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือ        สิ่งที่คริสเตียนไม่ควรพลัดวันกระกันพรุ่งคือการแสดงความรับผิดชอบร่วมกันว่า    เราไม่เห็นด้วย หรือสนับสนุนให้คริสตจักรทะเลาะกันเอง   หรือแตกแยกกันออกไป

 

คงถึงเวลาแล้วหรือที่คริสเตียนจะหันหน้ามาจับไม้จับมือกันทำงานของพระเจ้า        แม้ว่าปี2010 หรือ 2020 จะไม่สามารถประกาศทั่วไทยได้สำเร็จ หากคริสเตียนไทยเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  ในสิ่งที่คริสตจักรเป็นก็สำคัญกว่าสิ่งใด   สำหรับคริสตจักรที่เคยแตกแยกออกมา จะด้วยเหตุผลอย่างไรก็แล้วแต่      สิ่งที่ท่านสามารถทำได้ในฐานะธรรมิกชนคนหนึ่ง   ท่านควรจะกลับไปสร้างสัมพันธภาพกับคริสตจักรที่เคยแยกตัวออกมา     และจับมือกันทำพันธกิจต่อไป    สำหรับกลุ่มคนที่กำลังคิดท้อแท้ใจกับคริสตจักร ระบบคริสตจักรและอยากจะขอแยกตัวออกมาเพื่อตั้งคริสตจักรใหม่ๆ   ขอหนุนใจว่าให้อธิษฐานดีๆ  และเริ่มคริสตจักรให้สง่างามไม่ดีกว่าหรือ         ให้มีการพูดคุยกันกับคริสตจักร  ไปลามาไหว้กันดีกว่าที่จะทำประหนึ่งว่า  มาทางไปอีกทาง     ถ้าอยากให้สง่างามก็ควรจะออกไปตั้งคริสตจักรใหม่โดยหาสมาชิกใหม่ๆดีกว่า      ประกาศกับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้ามาก่อนดีกว่าซึ่งยังมีอีกมากมายมิใช่หรือ         จะเที่ยวไปดึงลูกแกะที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาสายพันธุ์ใหม่  นอกจากไม่สง่างามแล้ว  ยังทำให้เกิดความัวหมองในสังคมคริสตชนไทยไปมากกว่านี้    และสงสารคนทำสถิติว่าจำนวนคริสเตียนไทยแกว่งไปแกว่งมา  โบสถ์หนึ่งฉลองขอบคุณพระเจ้าที่สมาชิกเพิ่มขึ้น 20 คนในปีนี้  แต่อีกโบสถ์บ่นว่าปีนี้สมาชิกหายไป 5 คน

สำหรับคนที่ชอบเที่ยวไปแย่งสมาชิก หรือผู้นำคริสตจักรอื่นๆ  ก็ควรจะกลับใจเสียใหม่   คิดเป็นไหมว่า     แม้คนไม่เชื่อเขาก็ไม่กระทำกัน    คริสตจักรคือเจ้าสาวของพระคริสต์ใช่หรือไม่    แต่หากคริสตจักรไม่ใช่เจ้าสาวของพระคริสต์คริสตจักรก็ไม่แตกกับหญิงแพศยา     เคยมีคนเขียนไว้ว่าคริสตจักรที่ดีควรประกอปด้วยหลักสำคัญ 3 อย่าง

1 .คริสตจักรที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

2.คริสตจักรที่มีนิมิตเป้าหมายในการทำพระมหาบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ

3.คริสตจักรที่มีผู้นำทุ่มเทไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนตัวทุ่มทั้งชีวิต


สำหรับผู้เขียนขอสรุปว่า คริสตจักรที่ดีควร  เป็นคริสตจักรที่มีพระคริสต์เป็นศรีษะ  และมีเราทุกคนก็เป็นพระกายนั้น  การขยายคริสตจักรโดยการขัดแย้งกันแล้วไปตั้งคริสตจักรใหม่ๆคงไม่ใช่แผนการหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่  นอกเสียจากจะเป็นน้ำพระทัยของส่วนตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดเท่านั้นเอง  วันนี้ยังมายที่เราจะหันมาทำพันธกิจอย่างสร้างสรรค์ด้วยความรักสมานสามัคคีของคริสตชนทั่วไทย

แก้ไขล่าสุด (วันพุธที่ 09 พฤษภาคม 2012 เวลา 20:30 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?