gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ผู้รับใช้พระเจ้า สายพันธ์ใหม่

ผู้รับใช้พระเจ้า สายพันธ์ใหม่ 
โดย  : ซุนโร


ปี คศ 2010 เป็นปีที่คริสเตียนไทยตั้งความหวังไว้สูงมาก นั่นก็คือการรวมพลังนำข่าวประเสริฐ และตั้งคริสตจักรไปทั่วทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกหมู่บ้าน การที่คริสตชนไทยจะสานให้ฝันนั้นเปิดเป็นจังได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญช่วยกระตุ้น ปลุกเร้าให้คริสเตียนไทยมีจิตวิญญาณเยี่ยงเดียวกัน ผู้นำคริสตจักรในยุคปัจจุบันเปรียบเสมือนทัพหน้าในการรุกสู่แผ่นดิน สร้างเครือข่าย ขยายแผ่นดินออกไป ซึ่งสำคัญที่มาก็คือการเร่งสร้างพัฒนาบุคลากรเพื่อทำให้เป้าหมายของประเทศสัมฤทธิ์ผล เพื่อให้ได้บุคคลซึ่งมีขีดความสามารถในการทำพันธกิจเหนือศัตรูของเราคือมารซาตาน การสร้างนักเทศน์ และนักบริหารองค์กรพันธุ์ใหม่ ก็เปรียบได้กับการที่เราเอาเมล็ดพืชชนิดหนึ่งมาทำการปรับเปลี่ยนสายพันธ์ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ มีความทนทาน ให้ผลผลิตมากตลอดปี ผู้รับใช้ของพระเจ้าควรจะมีลักษณะชีวิตในลักษณะดังต่อไปนี้คือ

1. ทันการณ์ ทันโลก ทันสมัย มีความฉลาดเฉลียว มีข้อมูลข่าวสารทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แม้กระทั้งด้านกีฬาต่างๆ ทำไมก็เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะทำงานประกาศข่าวประเสริฐกับเขา เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลซึ่งมีโลกทัศน์ที่กว้างขวาง มีการศึกษาสูง มีระบบเครือข่ายที่สับซ้อนมาก แน่นอนถ้าผู้รับใช้พระเจ้ายังมัวแต่ชื่นชมกับระบบการทำงาน การบริหารงานแบบเก่าๆ อยู่ นอกจากเราจะก้าวไปไม่ทันโลกแล้ว เรายังชักช้าเกินกว่าไปให้ถึงฝันของปี คศ 2010 ยากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในยุคปัจจุบันคริสตจักรต่างๆจำเป็นจะต้องมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ในสำนักงานกันได้แล้ว ซึ่งแน่นอนหากคริสตจักรทั่วประเทศไทยสามารถส่งอีเมล์ถึงกันได้ทั้งหมด การที่เราจะประสานงาน ประสานใจกันก็ง่ายนิดเดียว งานของเราก็จะรวดเร็วขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องมานั่งลงหวังระบบการติดต่อสื่อสารแบบโบราณอีกต่อไป ซึ่งนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียเงินมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ก้าวไปสู่ความทันโลกทันสมัยด้วย เงินไม่ใช้ปัญหาของการก้าวไปสู่การทันโลก ถ้าเราเชื่อพระเของเราทรงยิ่งใหญ่ ทรงเป็นเจ้าเหนือสารพัดสิ่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีหน่วยใหญ่จัดการสัมนาให้ความรู้ด้านการบริหารงานยุคใหม่ เพื่อสร้างผู้นำสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา และสร้างระบบเครือข่ายให้เกิดขึ้นในโลกคริสตชนไทยเรา มีระบบศูนย์ข้อมูลข่าวสารคริสเตียนไทยที่ดี สามารถรู้ได้ทุกอย่างในการเริ่มพันธกิจใหม่ๆ สามารถหาแหน่งสนับสนุนในการเริ่มพันธกิจแห่งใหม่ได้ สามารถมีพี่เลี้ยงในการคอยให้คำแนะนำในการเริ่มปลูกคริสตจักรใหม่ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างไปหาการสนับสนุนต่างประเทศกันเอง มาถึงนี้แล้วพวกเราก็น่าจะหันมาถามตัวของเราว่า การที่จะฝันไปถึงปี2010 นั้น ผู้นำในองค์กรของเราได้มีโลกทัศน์ที่กว้างพอหรือยัง

2. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี Customer Relationship Management
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า วิญญาณของผู้นำคริสตจักรจะต้องมีลักษณะที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี แน่นอนสิ่งแรกที่ผู้คริสตจักรจะต้องพึงกระทำก็คือ มีการจัดการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะเข้าไปทำพันธกิจอย่างระเอียด เช่นจำนวนประชากร จำนวนครัวเรือน จำนวนสถานศาสนากิจ ความต้องการของคนในชุมชนนั้นๆ หรือแม้กระทั้งสิ่งที่คนในชุมชนนั้นๆปฏิเสธ ข่าวประเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการจัดทำเป็นฐานข้อมูลให้เป็นระบบเพื่อการทำความเข้าใจทุ่งนาที่เรากำลังหว่านข้าว จะต้องมีการทำวิจัย ติดตามผลการทำงานอย่างเป็นระบบจริงๆ ซึ่งแน่นอนการที่เราจะทำได้ถึงระดับนี้ได้ หมายความว่าเราได้สร้างความพร้อมในตัวของผู้นำสายพันธุ์ใหม่เรียบร้อยแล้ว การที่จัดสัมนาเพื่อท้าทายผู้นำให้ออกไปทำพันธกิจอย่างเดียวจะไม่มีผลมากมาย เพราะผู้นำยุคเก่าที่ถูกผลักดันก็เหมือนกับเรารถรุ่นเก่าทำสีใหม่ ซึ่งถ้าให้ดีจำเป็นต้องมีการยกเครื่องใหม่ ในบางคริสตจักรระบบความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มเป้าหมายยังไม่ดีพอเลย สังคมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า คริสตจักรคืออะไร ทำงานเกี่ยวกับศาสนา แต่ว่าวัตถุประสงค์เพื่ออะไร เมื่อมีคนใหม่ๆเข้ามาในคริสตจักร คริสตจักรก็ไม่สามารถมีการต้อนรับที่เกิดความประทับใจ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการติดตามผลในโอกาสต่อไป ซึ่งปัญหาคริสตจักรการหาลูกแกะใหม่ๆเป็นสิ่งที่ยาก แต่ความจริงแล้วการที่จะรักษาสภาพสมาชิกเก่าๆ เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากกว่า เพราะสมาชิกเก่าๆฉลาดขึ้น มักจะออกเดินไปเที่ยวหาทุ่งหญ้าที่เขียวสด แอร์เย็นๆ ดนตรีเพราะๆ ที่จอดรถสะดวก ในที่สุดจะก่อให้เกิด การพูดปากต่อปาก Word of Mouth กระจายวงกว้างไปสู่มวลสมาชิก จุดตรงนี้แหละที่ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จำต้องมีการปรับตัวเองเพื่อ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคมชุมชนที่เรากำลังบุกเบิกพันธกิจอยู่ จนทำให้เกิดการยอมรับจากสังคมนั้นๆให้จงได้ ตัวอย่าง สถานีโทรทัศน์ช่อง3 และITV มีการปรับปรุงผังรายการใหม่เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ช่องสามงดข่าวแต่เพิ่มละครหวังดันเรตติ้งไล่บี้ช่องอื่นๆ แถมยังมีการจัดโปรโมชันลด แจก แถมอีกต่างห่าง หกเราจะเข้าไปทำงานช่วยสังคมนั้นๆ เรารู้จักสภาพที่แท้จริงของสังคมนั้นได้ดีหรือยัง

3. เรียนรู้ตลอดชีวิตรับใช้ Long Life Education การเป็นผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะไม่มีคำว่าหยุดการพัฒนาชีวิตของตนเอง จำต้องมีการฝึกวิทยายุทธ์ตลอดเวลา แต่ไม่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ท่านจะต้องไปร่วมเสียทุกการสัมนา ทุกการประชุมฟื้นฟู เพราะปัญหาเรามีสัมนาดีๆเยอะเกินไป เดี๋ยวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้จัด แล้วเราก็กลายเป็นพวกที่ชอบปริโภคอาหารฝ่ายวิญญาณ ทำให้การพัฒนาตัวเองขาดคุณภาพ ไปรับเอาข้อมูลมากมายมาเก็บไว้ จนในที่สุดไม่รู้จะเอาหลักการใดมาใช้ในพันธกิจของตนเอง แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองมีพระวิญญาณช่วยสอนแล้วไม่จำเป็นจะต้องไปรับการอบรมที่ไหน เพียงอ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐาน แล้วขึ้นเทศนาได้เลย ทำให้คำเทศนามีแต่เนื้อ สมาชิกกลืนเข้าไปไม่ไหว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่อาศัยประสบการณ์เดิมของตนเอง หรือของผู้นำรุ่นเก่าๆ มาเป็นกลยุทธ์ของตนเอง เนื่องจากสภาพสังคมในที่ๆที่เราทำงานอยู่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกองค์กรจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่เสมอๆเพื่อเสนอพระกิตติคุณ เพื่อเราสามารถดึงใจของกลุ่มเป้าหมายได้ ผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการอบรมสร้างเสริมทักษะตลอดเวลาเป็นการสร้างตาข่ายความคิดให้แตกแขนง รู้จักคิดค้นวิธีการนำเสนอข่าวประเสริฐ การสัมนาต่างๆที่เราเข้าไปร่วมอย่าคิดว่านั่นคือยาขมหม้อใหญ่ ที่จะสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด แต่มันเป็นเพียงยากระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ผู้นำคริสตจักรรู้สึกตื่นตัวที่จะลุกขึ้นไปทำพันธกิจ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ตัวจริงกระทิงแดง จะไม่มีวันหยุดการพัฒนาตนเองเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหยุดการเรียนรู้ คุณจะหมดอนาคตการรับใช้ทันที คงไม่มีสมาชิกคนไหนภูมิใจในตัวของผู้นำของตน หากผู้นำคนนั้นยังคงเป็นเพียงผู้นำคริสตจักรที่ซื่อบื้อ

4. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น High Technology
ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะต้องทันโลกทันเหตุการณ์แล้ว จะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นด้วย ไม่ใช่ว่าเราพยายามวิ่งตามเทโนโลยี แต่เรากลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ก็เท่ากับว่าเราได้จ่ายค่าสิ่งนั้นมาด้วยราคาที่แพงมหาโหด คอมพิวเตอร์มีประโยชน์มากกว่าการพิมพ์งาน พิมพ์คำเทศนาเท่านั้น องค์กรจะต้องส่งผู้นำคริสตจักรของตนออกไปรับประสบการณ์ใหม่ๆในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มารซาตานมันยังเรียนรู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการทำพันธกิจของมัน มันนำจานดาวเทียมมาเพื่อการสื่อสารในองค์กรของมัน แต่คริสตจักรยังมัวมานับจำนวนดาวไถอยู่ ทำให้พันธกิจ 175 ปีไปได้ไม่ไกล ในอดีตขอเพียงคุณมีความรู้พระคัมภีร์เล็กน้อยคุณก็สามารถนำคนมากมายรับเชื่อได้แล้ว แต่ในยุคปัจจุบันการพูดอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว จำเป็นจะต้องเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆอำนวยความสะดวกในพันธกิจของเราด้วย น่าเศร้าใจที่หลายคริสตจักรมีวัตถุดิบ มีปัจจัยแต่ผู้นำกลับขาดศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จำต้องคล่องแคล่วในการใช้อิเล็กฯ ก้าวไปให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เราจะสามารถก้าวตามเทคโนฯได้ก็จะต้องมีการเรียนรู้เข้าไปศึกษาหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อนำวิทยาการใหม่ๆเข้ามาใช้ในองค์กรของคริสตจักรต่อไป

5. ผู้นำสายพันธ์ใหม่ทำงานเป็นเครือข่าย Team Work
ในวงการคริสเตียนไทยเรามีศิลปินเดี่ยวเสียมาก ออกลุยประกาศคนเดียว สำเร็จคนเดียว เจอปัญหาคนเดียว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นเครือข่าย เป็นทีมงาน ไม่ใช่ฉายเดี่ยว ชอบทำงานเป็นทีมเลิก มากว่าทีมเวิรด์ แน่นอนคนที่จะทำงานกับคนอื่นๆได้จะต้องมีจิตใจกว้างขวาง คนที่มีจิตใจแคบไม่มีทางที่จะทำงานเป็นทีมกับคนอื่นได้ การทำงานเป็นทีมจะต้องคิด และอธิษฐานมองเห็นนมิตร่วมกัน ปัญหาผู้องค์กร ณ วันนี้นั้นชอบเขียนรายชื่อหน่วยงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ มองดูน่าเชื่อถือ แต่ระบบการเงิน การตัดสินใจเจ้าพี่ลุยเองหมด หมกเม็ดกับลูกทีม บางคนชอบทำงานกับคนในตระกูลของตนเองมากกว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายยิ่งต่อคริสตจักรไทย ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะมุ่งทำงานกับคนอื่น เปิดใจยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ไม่ใช่มองคนอื่นยังเด็กกว่าตนเอง ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการถ่ายทอดเทคนิค ความรู้ วิธีการ ข้อมูลต่างๆแก่เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนต่างองค์กรด้วยใจกว้างขวางอย่างพระอาจารย์ของเรา อย่างนี้จึงจะเข้าข่ายเป็นผู้นำยุคใหม่พันธ์ใหม่ตัวจริง

6. มีจรรยาบรรณ Ethics
ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะต้องมีจริยธรรมประจำใจอยู่ข้างใน ไม่ใช่มุ่งเอาแต่ผลงาน ทำผลงานเข้าองค์กรของตนเท่านั้น ไม่ใช่พยายามสร้างหอบาเบลขึ้นในองค์กรของตนเอง จนไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองดูคนอื่นๆบ้าง ความถูกต้อง ความใสสะอาดโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นผู้นำคน ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะต้องมีจรรยาบรรณในการนำเสนอพระกิตติคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ทำทุกวิธีเพื่อจะได้ดวงวิญญาณมารวมกันในคริสตจักรเพื่อภาคภูมิใจว่า ว่าฉันทำงานประสบความสำเร็จกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่จะต้องดำเนินไปอย่างมีจรรยาบรรณ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่ประกาศข่าวประเสริฐในเชิงลบหลู่ศาสนาอื่นๆ ผู้นำบางคนหยิบฉวยเอาความอ่อนแอของกลุ่มเป้าหมาย ไปหาผลประโยชน์ หาการเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเข้าในองค์กรของตนเอง ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วก็ย่อมมีภาระใจกับประเทศที่ด้อยการพัฒนา พระเยซูคริสต์มิได้กระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่พระองค์มีโอกาสบ่อยครั้งที่จะกระทำเช่นนั้น คุณธรรมประจำใจของผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่ใช่เพียรพยามมุ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกคริสเตียนในประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ แต่ควรจะออกมาจากภาระใจข้างใน ที่อยากจะเห็นประเทศไทย มีคริสตจักรเพื่อพระคริสต์ เหตุฉะนั้นผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่มาเสียเวลากับการทะเลาะถกเถียงสำคัญว่าตนถูกต้อง แต่ผู้นำจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม มีจรรยาบรรณ ต่อลูกแกะ และต่อเพื่อนร่วมงานในองค์กรและต่างองค์การ ต้องไม่เป็นคนกินเล็กกินน้อยกับลูกแกะ หรือมัวแต่รีดนมลูกแกะกินทุกวัน หรือ มีอะไรแอบแฝงอยู่ภายในลึกๆ หากเราเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เราทุ่มเทออกไป ผู้รับใช้พระเจ้าอย่ารักษาอีโก้ไว้ในตัวเองมากเกินไป

7. มีความเชื่ออย่างพระเจ้า
เรามักจะพยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเองขึ้นมา จึงทำให้ความเชื่อของเราไปไม่ยาวไกล มีขีดจำกัด ไม่สามารถไปตามที่เราฝันไว้ เพราะเราพยายามปั้นความฝันขึ้นมากันเอง ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ มุ่งที่จะเสาะหาการมีความเชื่อตามอย่างพระเจ้า ความเชื่ออย่างพระเจ้า เป็นความเชื่อที่สามารถเคลื่อนภูเขาไปสู่ทะเลได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าสามารถแยกน้ำทะเลแดงออกจากกันเพื่อให้ชาวยิวกว่า 3 ล้านคนเดินผ่านได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าคือสามารถสั่งห้ามลมพายุใหญ่ให้สงบลงได้ แต่หลายครั้งที่ผู้นำมักจะถูกสมาชิกบ่นว่าต่างๆนาๆ ว่าไม่มีฤทธิ์เดช คำเทศนาที่ไม่ฤทธิ์เดช คำอธิษฐานที่แห้งๆ ขาดพลังบ้าง ถ้าจะกระตุ้นให้เป้าหมายสำเร็จ ผู้นำจะต้องมีความเชื่อ และผู้นำต้องขอความเชื่อจากพระเจ้าเป็นส่วนตัว งานของมนุษย์เราสามารถบริหารงานไปด้วยมันสมอง และวิธีการใหม่ๆ แต่งานของพระเจ้าเป็นงานสูง การที่จะพบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยความเชื่ออย่างพระเจ้า ผู้นำที่ปราศจากความเชื่อก็เหมือนกับขวานทื้อๆ ทำงานบริหารองค์กร ทำให้องค์กรเสียประโยชน์เสียมากกว่า นำภาระหนักมาสู่คริสตจักรเปล่าๆ ทำงานของพระเจ้าเป็นผู้นำใจเสาะไม่ได้ จะต้องเปี่ยมด้วยพลังแห่งความเชื่อ

8. มีการปรับคนในองค์กรอยู่เสมอ
รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักจะมีการปรับคณะ ครม.สม่ำเสมอ หากเห็นว่าบุคลกรทำงานไม่เวิรด์ เท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทุกฝ่ายต่างก็ต้องยอมรับความจริงๆ เช่นเดียวกันหน่วยงานองค์กรคริสเตียน ก็ต้องมีการพิจารณาตนเองว่าทำงานนั้นๆก้าวไปได้ดีเป็นที่พอใจหรือไม่ ไม่ใช่ว่าได้ก้าวขาขึ้นเก้าอี้แล้วจะไม่มีคำว่าก้าวขาลง รักษาการตำแหน่งอยู่อย่างนั้นตลอดปีตลอดชาติ ทำให้คริสตจักรไทยเติบโตได้ไม่เต็มลูกสูบ ไม่หนำใจยังพยายามสร้างรั้วป้องกันตำแหน่งของตนเองอีกต่างหาก ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะไม่ยึดติดกับคำว่าตำแหน่ง แต่จะพิจารณาดูว่าตนเองมีกิ๊ฟท์ในด้านไหน ของประทานได้มาไม่เหมือนกัน หรอก พระเจ้าทรงวางเราไว้ในพระกายที่ต่างกัน แต่ก็เพื่อสนองด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันในพระคริสต์ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จะไม่ยอมรับการเป็นกรรมการที่นั่นที่นี่ จนเวลาที่จะทำพันธกิจในท้องถิ่นไม่มี แต่เราจะออกไปทุ่มเทจิตวิญญาณลงเพื่อคริสตจักรท้องถิ่น ด้วยหัวใจผู้รับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง องค์กรต่างๆจะต้องไม่ควบคุมนิมิตของผู้นำแต่ละคน และผู้แต่ละคนก็ต้องเปิดใจกว้างที่จะให้โอกาสแก่คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานแทนตนเองบ้าง  

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?