พระเจ้าหรือเงินทอง มัทธิว ๖.๑๙-๒๑,๒๔
ธวัช เย็นใจ
พระเจ้าหรือเงินทอง มัทธิว ๖.๑๙-๒๑,๒๔
คำนำ
สมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีเผด็จการของไทย
มีคำขวัญกรอกหูประชาชนทุกเช้าเย็นทางวิทยุก่อนเคารพธงชาติว่า "งานคือเงิน
เงินคืองาน บันดาลสุข" และหลายคนก็เชื่อเรื่องนี้ว่า "เงินดีงานเดิน
เงินเกินงานวิ่ง เงินนิ่งงานชะงัก เงินพักงานถอย เงินน้อยงานกวน
เงินรวนงานเร เงินเก๊งานกลาย เงินหายงานยุ่ง..."
เงินคืออำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
บางครั้ง(ที่จริงบ่อยครั้ง)เงินเข้ามามีอิทธิพลในคริสตจักรของพระเจ้าด้วย
ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูกำลังสอนเรื่อง "ทรัพย์สมบัติในสวรรค์"
หรือทัศนะคติของคริสเตียนเกี่ยวกับเงินๆทองๆ คนไทยมักพูดว่า
"เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่" ถ้าคิดได้อย่างนี้จริงก็ดีนะสิ
แต่ที่เห็นเดินขบวนหรือชุมนุมประท้วงกันเย้วๆ และฆ่ากันอยู่โครมๆ
พร้อมกับเผาบ้านเผาเมืองจนวอดวายก็เพราะเงินมิใช่หรือ?
พระเจ้าหรือเงินทอง
"ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้
เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่งรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง
และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง
ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (ข้อ ๒๔)
ทรัพย์สมบัติเงินทองให้ทั้งคุณและโทษ มีคำพูดเกี่ยวกับเงินว่า
"เงินเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ แต่เป็นนายที่เลวมาก" "มีเงินก็นับเป็นน้อง
มีทองก็นับเป็นพี่" "เงินสามารถซื้อได้ทุกอย่างยกเว้นความสุข
เงินพาไปทุกที่ทุกแห่งได้ นอกจากสวรรค์"
ชาวโลกส่วนใหญ่มุ่งหน้าหาเงินและสะสมเอาไว้
แต่คนที่น่าสงสารมากคือรู้จักใช้เงิน แต่หาเงินไม่เป็น
แต่ที่น่าเวทนายิ่งกว่านั้นคือ คนที่รู้จักเก็บสะสมเงิน
แต่ไม่รู้จักแบ่งปันให้คนอื่น!
๑)เป็นข้าสองเจ้า
อย่างแรก "ข้า"ในภาษาเดิม douleuo (ดูลือโอ)
ในพระคัมภีร์แปลออกหลายคำคือ บ่าว, ผู้ปรนนิบัติ,
การเชื่อฟัง,ทาสหรือผู้รับใช้ พระเยซูทรงหมายถึง
"รับใช้เงินเหมือนกับทาสรับใช้ผู้เป็นนาย" (อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่รวยที่สุดได้ฉายาว่า
"นายทาส") อย่างที่สอง "จะรัก(agapao-อากาปาว คือรักเหมือนกับรักพระเจ้า)
และนับถือ (antecho-อานเทโค
คือชูกำลังและยึดมั่น1)"สองคำนี้มีความหมายว่าจะซื่อสัตย์ต่อฝ่ายหนึ่งและต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง
๒)เงินทอง
คำนี้ในภาษาเดิม mammon (แมมมอน)
มีความหมายรวมไปถึงทรัพย์สมบัติพัสถานต่างๆด้วย
ดังนั้นจะเห็นว่าพระเยซูกำลังสอนเรื่องที่ยากมากแก่คริสเตียน
เรามาถึงทางสองแพร่งที่จะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเอาอะไรดี
ระหว่างพระเจ้ากับเงินทอง อย่าเป็นคน "เหยียบเรือสองแคม"
หรือรักพี่เสียดายน้อง
รักเงินคือให้ความสำคัญแก่เงินมากกว่าพระเจ้า
ขอให้สังเกตพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า
การมีเงินหรือเก็บเงินเป็นความผิดบาป แต่
"การรักเงินทองนั้นเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งปวง
หลายคนต้องห่างไกลจากความเชื่อและตรอมตรมด้วยความทุกข์ใจ" (๑ทธ. ๖.๑๐)
ตัวอย่าง : คนสมัยก่อนอยากจะกินไก่
ก็จะเอาข้าวสารหว่านที่พื้นดินและร้องเรียกกุ๊กๆ
พอพวกไก่ได้ยินและเห็นอาหารก็จะกรูกันมาจิกกิน
ขณะที่พวกมันกำลังเพลิดเพลินอยู่ลาภปากนั้น
แล้วเจ้าของบ้านก็จะเอาสุ่มที่เตรียมไว้ครอบลงไปทันที
และจับเอาตัวที่ต้องการไปฆ่าเป็นอาหาร -
มารซาตานก็ทำวิธีเดียวกันนี้กับมนุษย์ (ทั้งคริสเตียนและผู้ไม่เชื่อ)
ส่ำสมทรัพย์สมบัติ
ย้อนกลับไปในพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่า
"อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิทและแมลง
กินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุกช่องลักเอาไปได้
แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินไม่มีสนิทจะกัด
และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติอยู่ที่ไหน
ใจของท่านก็อยู่ที่นั่น" (ข้อ ๑๙-๒๐)
๑)ซ่อนเงินทองไว้ที่ไหน?
ในภาษากรีกใช้สองคำ คือ thesaurizo (เธเซาริโซ)
หมายถึงการเก็บรักษาเงินไว้อย่างดี เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจเลยล่ะ
อีกคำหนึ่งคล้ายกัน คือ thesaros (เธเซารอส)
พระคัมภีร์แปลว่าทรัพย์สมบัติ(ลก. ๑๒.๓๓-๓๔) คลัง, ขุมทรัพย์(มธ. ๑๓.๔๔)
ของมีค่า (๒ คร. ๔.๗)
ในสมัยโบราณไม่มีธนาคาร หรือตู้เซฟที่ปลอดภัย
ชาวยิวจึงเจาะเป็นช่องที่ผนังบ้าน(ซึ่งทำด้วยดินเหนียว)
และซ่อนสิ่งมีค่าไว้ พอขโมยรู้แกวก็จะแอบมาขุดเจาะลักเอาไปได้
หรือบางคนอาจจะฝังไว้นานจนกระทั่งเป็นสนิทและพวกมอดปลวกมากินทำลายเสีย
มีคนบอกว่า "พวกขโมยส่วนใหญ่เป็นนักจิตวิทยา
ซึ่งสามารถอ่านใจเจ้าของบ้านได้ว่า จะซ่อนเงินไว้ที่ไหน"
มีคำเตือนสำหรับคริสเตียนว่า "ท่านจะเก็บเงินไว้ที่ไหนก็ได้
ยกเว้นในจิตใจ"
๒)ใจอยู่ที่ทรัพย์สมบัติ
พระเยซูตรัสว่า "ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน
ใจของท่านก็อยู่ที่นั่น" (ข้อ ๒๐) ถ้าเงินของเราอยู่ที่ธนาคาร
ใจของเราก็อยู่ที่นั่น ถ้าเงินทองของเราอยู่ในโลกนี้
ใจของเราก็ปักอยู่กับโลกนี้ แต่ถ้าเงินทองของเราอยู่ในสวรรค์
(มอบถวายแด่พระเจ้า) แน่นอน ใจของเราก็อยู่กับพระองค์ในสวรรค์ด้วย
ทำไมเศรษฐีหนุ่มคนนั้นไม่สามารถติดตามเป็นสาวกของพระเยซูได้?
ทั้งๆที่เขามีความตั้งใจสูงมาก
ทำคุณงามความดีนานาประการเหมือนดังผู้ชอบธรรม
แต่เขาต้องเดินหน้าเศร้าคอตกกลับไป เพราะรับเงื่อนไขของพระเยซูไม่ได้
เมื่อพระองค์ตรัสว่า "จงไปขายสิ่งของทั้งปวง และแจกจ่ายให้แก่คนอนาถา
แล้วจงตามมาเป็นสาวกของเรา" เนื่องจากใจของเขาอยู่เงิน (มธ. ๑๙.๒๑) -
เราพบความจริงว่า หลายคนมาเป็นคริสเตียนไม่ได้
และหลายคนรับใช้พระเจ้าไม่รุ่งก็เพราะเงินเช่นกัน!
ส่ำสมไว้ในสวรรค์
พระคัมภีร์สอนว่า
ทรัพย์สมบัติเงินทองในโลกนี้ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า
และสอนให้คริสเตียนถวายทรัพย์คืนแด่พระองค์อย่างน้อย ๑๐ เปอร์เซ็นต์
เพื่อแสดงถึงการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
พระเจ้าตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาลาคีดังนี้ "จอมโยธาตรัสว่า
จงนำทศางค์2เต็มขนาดมาไว้ในคลังของเรา เพื่อจะมีอาหารในนิเวศของเรา
จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่าง3ในฟ้าสวรรค์
และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่" (มลค. ๓.๒๐)
นักเทศน์ท่านหนึ่งกล่าวว่า
"คริสเตียนหลายคนเชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่าง ยกเว้นการถวายทรัพย์"
เขาทำตามพระคัมภีร์ทั้งสิ้น นอกจากเรื่องการถวายเงินสิบลด!
คริสเตียนที่รัก ท่านไม่ต้องคิดถึงเรื่องการตายเพื่อพระคริสต์หรอก
ถ้าแค่เงินเต็มขนาดยังไม่ยอมถวายแด่พระองค์
สรุป
ข่าวที่วี : วันหนึ่ง ลิงตัวหนึ่งในอุทยานลงมารื้อถังขยะ
และเอามือล้วงลงไปในกระป๋องถั่ว และเอาออกไม่ได้
ฝากระป๋องบาดข้อมือมันจนเลือดไหล มันจึงลากกระป๋องนั้นติดไปด้วย
เจ้าหน้าที่อุทยานกำลังไล่จับลิงตัวหนึ่ง
มันหนีอย่างสุดชีวิตโดยปีนป่ายไปตามกิ่งไม้สูงๆ
จนถึงใช้ปืนยิงลูกดอกยาสลบ
สาเหตุเป็นเพราะว่า ลิงมันเจออาหารในกระป๋องจึงกำไว้แน่น
ไม่ยอมปล่อย ทำให้ได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ทำให้คิดถึงชีวิตของคริสเตียน
เป็นไปได้ที่บางครั้งเรากำทรัพย์สมบัติเงินทองไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
ทำให้ได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ
"ห่างไกลจากความเชื่อและตรอมตรมด้วยความทุกข์"
ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน?.