แบ๊บติสต์(พวก)ที่ถูกลืม
แบ๊บติสต์(พวก)ที่ถูกลืม(555)
ธวัช เย็นใจ
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีการประชุมของคริสตจักรแบ๊บติสต์แบบเข้มข้น ผู้นำมีความภาคภูมิใจในคณะของตนเองมาก จึงได้ตะโกนถามผู้คนว่า “พวกเราทุกคนเป็นแบ๊บติสต์แท้ใช่ไหม?”
มีเสียงตอบรับจากที่ประชุมดังอึงคะนึง “ใช่ ใช่ พวกเราเป็นแบ๊บติสต์แท้ อาเมน”
ทันใดนั้น ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่แถวที่สามได้ลุกยืนขึ้น พร้อมกับพูดว่า “ดิฉันเป็นเมธอดิสท์ค่ะ”
ผู้นำอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วจึงถามกลับไปว่า “ทำไมคุณเป็นเมธอดิสท์?”
“คืออย่างนี้” เธออธิบาย “เราเป็นเมธอดิสท์กันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่และคุณพ่อแล้วค่ะ”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะถามคุณ” ผู้นำพยายามแก้เกมส์ “ถ้าคุณปู่ของคุณเป็นคนไม่เต็มเต็ง และคุณพ่อของคุณเป็นพวกปัญญาอ่อน แล้วคุณจะเป็นอะไร?”
เธอตอบว่า “ดิฉันก็จะเป็นแบ๊บติสต์ค่ะ”
???!!
เรื่องของเรื่องก็คือผมได้อ่านบทความของ ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ประธานของสหคริสตจักรแบ๊บติสต์)เรื่อง “แบ๊บติสต์พันธมิตรของสหกิจฯ”[1] อ่านสนุกครับ ท่านร่ายยาวตั้งแต่สมัยเมื่อยังเป็นหนุ่มแน่น ตั้งแต่ปี ๑๙๗๐ โน่นเป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกคริสเตียนถือพวกถือคณะกันอย่างเข้มงวด ท่านได้รวบรวมคนหนุ่มสาวจากทั้งฝ่ายสภาคริสตจักรฯ สหกิจคริสเตียนฯและสหคริสตจักรแบ๊บติสต์ จัดตั้งองค์การขึ้นชื่อ “ยุวคริสเตียนแห่งประเทศไทย”
จากนั้น อาจารย์ธงชัยก็กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไป และความสัมพันธระหว่างสหกิจคริสเตียนกับตัวท่านเอง ผมจะไม่เล่ารายละเอียดในเรื่องนี้ซ้ำอีก แต่ขอให้ผู้อ่านไปหาดูได้จากนิตยสารพระคริสตธรรมประทีปเล่มล่าสุดเอาเอง ที่ติดใจอยู่นิดหน่อยก็คือ ข้อมูลของอาจารย์ธงชัยตกหล่นไปครับ
ท่านบอกว่า
“แท้จริงแล้ว...พวกแบ๊บติสต์ในประเทศไทยมีอยู่ ๔ กลุ่มหลักๆ โดยในปัจจุบันมี ๓ กลุ่มเป็นสมาชิกที่สังกัดอยู่ในสภาคริสตจักรในประเทศไทย คือภาค ๑๒ (คริสตจักรจีน) ภาค ๑๘ (คริสตจักรลาหู่) และภาค ๑๙ (คริสตจักรกะเหรี่ยง)
ส่วนคณะแบ๊บติสต์ที่ยืนหยัดอยู่เป็นเอกเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ได้เริ่มต้นพันธกิจในประเทศไทยร่วมกับแบ๊บติสต์อื่นๆ(ในสมัยที่ยังไม่เป็นแบ๊บติสต์เหนือ-ใต้) ตั้งแต่ปี คศ. ๑๘๓๓ แต่ที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งภายใต้ชื่อ “แบ๊บติสต์ใต้” (Southern Baptist Convention) นั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงปี คศ. ๑๙๔๙-๑๙๕๐ ซึ่งต่อมาใช้ชื่อว่า “สหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย” ในปี คศ. ๑๙๗๐”
รับทราบครับ แต่มีข้อมูลที่ผมอยากจะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์คือ ยังมีแบ๊บติสต์อีกพวกหนึ่งที่อาจารย์ธงชัยยังไมได้
กล่าวถึง (ชักจะน้อยใจแล้วนะเออ) คือพวกแบ๊บติสต์อิสระ ซึ่งผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย[2] คริสตจักรแบ๊บติสต์ที่ว่านี้แตกแขนงมาจากคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่มีอยู่แล้ว แต่บางแห่งมาจากต่างประเทศ เช่น ฟีลิปปินส์ ยุโรปและอเมริกา ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เห็นว่าแบ๊บติสต์ที่มีอยู่ไม่เข้มข้นในพระวจนะของพระเจ้าอย่างเพียงพอ
แบ๊บติสต์พวกนี้มีหนังสือเล่มเล็กๆสีแดง ที่กล่าวถึงความเป็นมากำพืดของตนเอง ตั้งแต่ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนักครั้งดำรงชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ สาหัสสากรรจ์ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ เมื่อทนเกือบไม่ไหวแล้วก็เลยเสาะหาทางหนีไปตายเอาดาบหน้า ในที่สุดพวกเขาก็ล่องเรือรอนแรมมาถึงแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เรียกกันในทุกวันนี้ว่าอเมริกา และตั้งรกรากที่นั่นด้วยความยากลำบาก ตราบจนถึงทุกวันนี้และกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกไป
นี่คือแบ๊บติสต์แท้ หลายคนเรียกพวกเขาว่า แบ๊บติสต์หัวแข็ง(บ้างล่ะ) แบ๊บติสต์ใจแคบ แบ๊บติสต์โบราณคร่ำครึ
(มั่งล่ะ)เพราะยึดหลักการในพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัด มีบางคนให้ฉายาแก่ผมว่า “นายธวัช เย็นใจ แบ๊บติสต์นอกคอก!” (ฮา) แต่ก็ยอมรับว่า มีแบ๊บติสต์บางกลุ่มที่ “ตกขอบ” จริงๆ (คือชอบแสดงอาการประหลาดๆ ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง พิธีการบางอย่างมันน่าหัวร่อจริงๆ) หรือบางพวกที่ไม่ยอมใช้พระคัมภีร์ฉบับอื่น นอกจากฉบับคิงเจมส์เท่านั้น (King James Only) นี่ก็เกินไปล่ะ
ในประเทศไทยเราพบว่า คริสตจักรแบ๊บติสต์เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เข้าสังกัดอยู่ภายใต้สหกิจคริสเตียนฯ เพราะง่ายและสะดวกสบาย เนื่องจากสหกิจคริสเตียนฯไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามในการบริหาร ขอเพียงจ่ายค่าการเป็นสมาชิก และมาประชุมประจำปีซะก็หมดเรื่อง ขออย่างเดียวอย่าไปทำรุ่มร่ามอะไรที่มันผิดศีลธรรม จริยธรรมและกฎหมายของบ้านเมืองก็พอ พูดตรงๆก็คือ พวกเราแบ๊บติสต์อิสระชอบ สคท.ก็ตรงนี้แหละ! (555)
พวกแบ๊บติสต์นี่มักจะพูดกันเล่นๆว่า ตนเองสืบเชื้อสายมาจากยอห์นผู้ให้บัพติสมา(แบ๊บติสต์) เป็นคนที่มีลักษณะแปลกๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขนอูฐ กินจั๊กจั่นกับน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร ยอมถวายหัวแด่พระเจ้า อุทิศตนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เอาจริงเอาจังในการประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ประนีประนอมกับความเชื่อใดๆ สังเกตรู้ได้ในทันทีว่าเชื่อศรัทธาจริงใจหรือแกล้งทดสอบ ขวานผ่าซาก ไม่กลัวต่ออำนาจของรัฐและศาสนา ขนาดฟาริสีที่ถือธรรมบัญญัติยิว
อย่างเคร่งครัดยังหน้าหงายไป เมื่อถูกยอห์นชี้หน้าเรียกว่า “เจ้าชาติงูร้าย” เพราะรู้ว่าคนพวกนี้หน้าไหว้หลังหลอก “หน้าซื่อใจคด”
ต่อมาพวกแบ๊บติสต์ที่ว่านี้จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ชอบโดดเดี่ยว หัวแข็ง ดุดัน ดื้อรั้น ไม่มีน้ำใจ ไม่ยอมอะลุ่มอล่วย ขาดความรัก(เขาหาว่า) ไม่รักษาไว้ซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อะไรที่มันหยวนๆกันได้ก็(ไม่)ปล่อยมันไป เพื่อเห็นแก่ความสงบ อย่างที่ท่านอาจารย์ธงชัยว่าไว้ถึง “การประสานร่วมมือกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเป็นเอกภาพของสังคมคริสเตียน” และมีอุดมการณ์ “ไม่ถือพวก ไม่ถือคณะ”
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ธงชัยเด๊ะเลย แต่ถ้าสิ่งที่เราทำร่วมกันมันขัดแย้งกับคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า มันก็ประสานสามัคคี(ภาษานักการเมืองว่า “ปรองดอง”)กันไม่ไหวเหมือนกันครับท่าน!
อย่างแรกที่จะต้องคำนึงถึงอย่างมากคือ ถูกต้องตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์หรือไม่ อย่างที่สอง สิ่งนี้ทำแล้วพระเจ้าทรงได้รับการถวายพระเกียรติหรือไม่ (เพราะเท่าที่เห็น สิ่งที่หลายคนเย้วๆทำกัน และมีคริสเตียนเฮโลทำตาม
กันตรึม มันน่าอันอายขายหน้าในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า เรากลายเป็นพวกไม้หลักปักเลน โอนเอนไปตามกระแสของรัฐบาลและสังคม) อย่างที่สาม เราต้องแยกระหว่างความเชื่อกับความรัก พระเยซูทรงรักคนบาป แต่ไม่เห็นด้วยกับความผิดบาป!
คริสเตียนย่อมแตกต่างจากพวกดารานักร้องและนักแสดง ที่ยืนอยู่บนเวทีส่งจูบแล้วพูดกรอกลงไปในไมโครโฟนว่า “ฉันรักทุกโค้น..น..” (ฮา!) เพื่อเงินและชื่อเสียง และเพื่อจะได้ยึดใจของแฟนคลับไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มีเบื้องที่ชั่วร้ายขนาดไหนไม่สน?
แบ๊บติสต์แท้คือผู้ที่ยืนหยัดในพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์อย่างมั่นคง.
[1] วารสารพระคริสตธรรมประทีป ฉบับที่ ๓๓๖ กันยายน-พฤศจิกายน ๒๐๑๐ หน้า ๘-๑๑
[2] ผมเกิดในครอบครัวที่บอกว่าเป็นคริสเตียน สังกัดสภาคริสตจักรฯ เมื่อกลับใจบังเกิดใหม่แล้ว ก็ไปดเรียนพระคัมภีร์กับพระคริสตธรรมที่สังกัดคณะโอเอ็มเอฟ(สหกิจคริสเตียนฯ) แล้วไปทำงานรับใช้พระเจ้าร่วมกับโอเอ็มเอฟ คณะซีเอ็มเอตามลำดับ และในที่สุดก็ไปอยู่กับคณะแบ๊บติสต์อิสระ (เข้าข่ายชายสามโบสถ์รึปล่าวเนี่ยะ!)