ต้องใช้หลักธรรมเป็นโคมส่องทางชีวิต

และด้วยหัวข้อของงานดังกล่าวนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความประทับใจและได้ข้อคิดที่จะนำมาเขียนในสัปดาห์นี้อีกด้วยเนื่องเพราะอยู่ในช่วงของ "วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ" พอดีนั่นเอง และ
"รัฐธรรมนูญ" ที่ว่านี้ได้ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดมีความสำคัญต่อการกำหนดบทบาท การทำหน้าที่ ความรับผิดชอบและเป็นกรอบเกณฑ์(ที่เด็ดขาดชัดเจนและเป็นที่สิ้นสุด)ทั้งในการปฏิบัติงานด้านต่างๆของหน่วยงาน องค์กร และแต่ละบุคคลในทุกๆภาคส่วนของสังคมไทยเป็นอย่างดี โดยจะไม่มี ไม่ใช้หรือทำอะไรที่นอกเหนือไปจากกฎหมายนี้ไม่ได้เลยฉันใดในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน หากชีวิต "ไร้หลักธรรมคำสอน" หรือ"ไม่มีธรรมมะ" เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหรือชี้นำทางในจิตใจ การใช้ชีวิตของคนคนนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรไปจากที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
"...ผู้ใดขาดธรรมเหล่านี้ ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น
และลืมไปว่าตนได้รับการชำระให้พ้นจากความผิดบาปแล้ว" (๒ เปโตร ๑:๙)
ฉันนั้น
และเมื่อเป็นเช่นนั้น การดำเนินชีวิตก็คงจะเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบาก
หรือก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้าด้วยเป็นแน่ และคงจะย่ำแย่ ทุลักทุเลเต็มทน
ไม่ต่างไปจากคนตาบอด ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสไว้ว่า
"ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปรกติ
ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปรกติ
ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้น
ถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป
ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ" (มัทธิว ๖:๒๒-๒๓)
บางคนอาจคิดว่า ก็แค่ "ขาด" หรือ "พร่อง" ธรรมไปเพียงนิดๆ
ชีวิตจะเป็นอะไรไป? ไม่น่าจะเสียหายอะไรเท่าไรหรอก?
แต่ท่านจะต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
"สำหรับคนที่บริสุทธิ์นั้น ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่ชั่วช้า
และคนที่ไร้ความเชื่อนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย
แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็เสื่อมทรามไป
เขาแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ทว่าในการกระทำของเขาก็ปฏิเสธพระองค์
เขาเป็นคนน่าชัง ไม่เชื่อฟังใคร
และไม่เหมาะที่จะกระทำกรรมดีใดๆเลย" (ทิตัส ๑:๑๕-๑๖) นั่นหมายความว่า
ถ้าขาด ท่านก็หมดความสามารถและหมดสิทธิ์ในการกระทำกรรมดีใดๆ
แม้ท่านจะมีความตั้งใจอย่างเต็มร้อยแล้วก็ตามที!!
เราต้องหันมาหาหลักธรรมคำสอนของพระเจ้าเพื่อนำเอามาใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
และใช้เป็นเครื่องชี้นำทางให้กับชีวิต
เพราะหลักธรรมเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตได้ก้าวเดินไปอย่างสะดวกและราบรื่น
นั่นเพราะว่า "พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์
และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์" (สดุดี ๑๑๙:๑๗๕) และที่สำคัญ
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ได้ทรงตรัสไว้ว่า "เราเป็นความสว่างของโลก
ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินไปในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยอห์น
๘:๑๒) ซึ่งเราสามารถที่จะใช้เป็น "ทางออก" หรือ "ทางเดิน"
ให้กับตัวเราได้อีกด้วยเช่นกัน นั่นคือ
การตัดสินใจดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระองค์นั่นเอง
เราจะต้องไม่ปล่อยให้สังคมไทยเพียงแค่อุดมไปด้วยปัญญาหรือร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองแค่นั้น
แต่เราจะต้องช่วยกันทำให้สังคมนี้เต็มไปด้วย "หลักธรรมคำสอน"
ที่เป็นพรต่อชีวิต นำประโยชน์สุขมาให้มวลมหาชนอย่างแท้จริง
ดังที่มีเขียนไว้ว่า "ที่ใดๆที่ไม่มีการเผยธรรม
ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย
แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข" (สุภาษิต ๒๙:๑๘)
และด้วยพระวจนะหรือหลักธรรมคำสอนเท่านั้น
จะช่วยทำให้ชีวิตของเรามีขีดความสามารถที่จะประกอบการดี เพราะ
"พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เป็นประโยชน์ในการสอน
การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง" (๒ ทิโมธี
๓:๑๖-๑๗) ดังนั้น ท่านอยากจะมีชีวิต หรืออยากจะเห็นสังคมเป็นแบบไหน
ขึ้นอยู่กับ "วิธีคิด" และ "การตัดสินใจ" ของท่านเองแล้ว ว่าไหม?
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 289 วันที่ 11 - 17
ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ศจ.สมเกียรติ วรรณศรี
แก้ไขล่าสุด (วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2010 เวลา 10:15 น.)