gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เรื่อง ความกระตือรือร้นของพระเจ้า อสย 9.1-7

เรื่อง  ความกระตือรือร้นของพระเจ้า   อสย 9.1-7


คริสต์มาสถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลก โลกได้เปลี่ยนมานับปีศักราชใหม่โดยเริ่มจากพระเยซูคริสต์  แม้จะไม่มีใครทราบวันที่แน่นอนของวันประสูติ   การฉลองไม่ใช่คำบัญชาแต่เราทำเพราะสำนึกในพระคุณ  แม้ไม่ได้บันทึกวันที่แต่ก็ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์พระคัมภีร์  คริสต์มาสไม่ได้เริ่มจากมนุษย์แต่เริ่มจากพระเจ้า  

พระธรรมอิสยาห์เขียนในช่วงเวลาที่อาหัสปกครองยูดาห์ 2พกษ16.1-3 ขณะอาหัสอายุเพียง16พรรษา เป็นกษัตริย์ที่ทำบาปอย่างมาก  เอาบุตรของตนเดินลุยไฟถวายพระต่างชาติ ถวายเครื่องบูชาแด่พระต่างชาติเพื่อเอาใจต่างชาติ

สภาพเบื้องหลังของพระคัมภีร์ อสย 9

-ชนชาติยิวทิ้งพระเจ้า  พระเจ้ายกเรื่องโค และลา  และร้องไห้กับเขา ตีสอนทั่วตัวก็ไม่ราบจำ  อสย 1.2-6
พวกเขากินดื่ม ฟังเพลงดนตรีคอนเสริต์  เลี้ยงสัตว์ในบ้าน  แต่กลับมิได้เอาใจใส่พระราชกิจพระเจ้า อสย 5.11-13
-ปัญหาการปกครอง มีการฆ่าผู้นำ โค่นล้มอำนาจ  ภายใน2-3ปีเปลี่ยนผู้นำหลายคน  อสย 3.16-25
-มีข่าวอัชซีเรียมาโจมตี และการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน  อสย 10.33
-มีปัญหาในด้านเศรษฐกิจ  อสย 5.9-10

 

แม้กษัตริย์อาหัสจะทำบาปชั่ว  ประชากรของพระเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหวัง   แต่พระเจ้าก็ยังระลึกคำสัญญาที่มีต่อดาวิด ทรงเปิดเผยให้ผู้รับใช้อิสยาห์ได้เห็นถึงภาพในอนาคตเพื่อเป็นความหวังใจแก่ประชากรของพระเจ้า ว่าเมืองที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทมใจ กลัดกลุ่มใจ อยู่ในสภาพที่อับอาย เหมือนคนที่แบกแอกที่หนัก เหมือนคนที่เดินในความมืด  แต่อีกไม่นานพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงให้พวกเขา   พระเจ้าทรงสำแดงถึงความกระตือรือร้นของพระเจ้า ที่จะกระทำการเพื่อมนุษย์ทุกคน  2 ประการ

 

ประการที่  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  อสย 9.1
เมืองนั้นจะไม่อยู่ในความแสนระทม จะไม่กลัดกลุ่ม  จะไม่เป็นที่ดูหมิ่นอีกต่อไป   แต่พระเจ้าจะให้เกิดความรุ่งโรจน์ มี
สง่าราศีใหม่อีกครั้ง  ( นี่คือถ้อยคำแห่งความหวัง)
-เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้า เริ่มจากอาดัมจนถึงผู้นำยุคต่อๆมาเดินหันหลังให้พระเจ้า ทำบาป (ไม่รักษาสะบาโต
แต่งงานกับคนต่างชาติ ต่างความเชื่อ  และกราบไหว้รูปเคารพ )  ชื่นชอบของต่างชาติจึงถูกเป็นทาสของต่างชาติ ทุกข์
ยากทรมาน ถูกทำร้าย ถูกกดขี่ข่มเหง  เร่ร่อน  บ้านเมืองถูกเผาทำลายเสียหาย 
-เป้าหมาย : ก็เพื่อเขาจะสำนึก  กลับใจใหม่  กลับมาเสาะแสวงหาพระเจ้าด้วยใจหิวกระหายอีกครั้ง  
-ปัจจุบันนี้  มนุษย์กำลังทำบาป เล่นกับบาปชั่วยิ่งกว่า ไม่เพียงไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่กลับประพฤติตนต่อต้านพระเจ้า
อย่างชัดเจนชัดเจน
เช่น   -    ประกาศว่ามนุษย์มาจากลิงไม่ใช่จากการทรงสร้าง    เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระเจ้าอย่างมหันต์

-       พระเจ้าทรงสร้างเพศชาย-หญิง  แต่ปัจจุบันมีเพศที่3  และยอมรับกันว่าชอบธรรมด้วย มีกฎหมายรับรอง

-       พระเจ้าห้ามล่วงประเวณี  แต่ปัจจุบันมีการทำแท้งมากมาย ตัวอย่าง ทำแท้งทิ้ง 2002ศพ ที่วัดไผ่เงิน

-       พระเจ้าห้ามฆ่าคน  แต่คนยุคนี้มีการฆ่าคนอื่นเหมือนของเล่นๆ  มีวิธีการที่โหดเหี้ยม อมหิต

-       อารมณ์ของคนยุคนี้สั้นๆ  ปฏิบัติตัวต่อกันเหมือนสัตว์ร้าย  (เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความดี เห็นผีเป็นพระเจ้า เห็นเหล้าเป็นโอวัลติน)

หากมนุษย์ยังขืนดื้อรั้นเช่นนี้ ปลายทางก็คือไม่ใช่แค่เป็นทาสประเทศเพื่อนบ้านต้องอับอาย  แต่มนุษย์จะต้องได้รับการลงโทษบาปจากกฎเหล็กของพระเจ้า  อับอายชั่วนิรันดรที่นรก หาความสุขสักนิดไม่มีเลย  นั่นคือผลของความบาป
เช่นเดียวกับอาดัม-เอวาหลังทำบาปก็หลบซ่อนตัวจากพระเจ้า   ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่อยากอธิษฐาน  หมดสง่าราศีไม่ได้รับการอวยพระพรจากพระเจ้า    ชีวิตทุกๆวันมีแต่ความทุกข์ใจ   และจะยิ่งเจ็บปวดเมื่อพระเจ้าปล่อยทิ้งเราไว้ชั่วขณะหนึ่ง     เช่นซาอูล  เช่นอิสราเอล   ได้รับความอับอายขายหน้า.... 

ตัวอย่างเรื่องขำขัน : มีคนเล่ากันว่าเป็นภาคที่มีความทุกข์กว่าภาคใดๆนั่นก็คือภาคอิสาน  สังเกตจากไหน ( ตอนเช้า-มื้อเศร้า พอเย็นลงก็บอกว่า มื้อแล้ง ถามว่าอร่อยไหม?ก็ตอบว่า แสบๆๆ เวลาร้องเพลงก็โอดครวญ...โอ๊ย...ด้วยความเจ็บปวด   และขนาดร้องเพลงก็ยังปิดหูตัวเองไม่อยากฟังเสียงตัวเอง )  ..... ฮาๆๆๆ


-เมืองนั้นจะไม่อยู่ในความแสนระทม จะไม่กลัดกลุ่ม  จะไม่เป็นที่ดูหมิ่นอีกต่อไป   แต่พระเจ้าจะให้เกิดความรุ่งโรจน์ มี
สง่าราศีใหม่อีกครั้ง     สิ่งเหล่านี้ทำให้พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราเจ็บปวด เสียพระทัย ร้องไห้   และนี่คือเหตุผลว่าพระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะกระทำการนี้เพื่อท่านและข้าพเจ้า     
ตัวอย่าง :   เราทุกคนเหมือนเด็กน้อยที่เล่นๆอยู่แล้วเงียบไป  ผู้เป็นแม่ก็จะเรียกหาว่าอยู่ไหนลูก  จะทิ้งงานทุกอย่างที่ทำแล้วตามหาจนกว่าจะเจอลูกปลอดภัยดี   เช่นเดียวกันพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้มนุษย์ที่รักยิ่งพินาศไป

จึงโปรดประทานพระบุตรลงมาบังเกิด   เพื่อนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่มนุษย์ทุกคน  มาสู่ท่านและข้าพเจ้าในวันนี้    ไม่ต้องกลัดกลุ่มใจ ไม่อับอาย แต่จะรุ่งโรจน์  แต่นำการเยียวยารักษา การช่วยเหลือมาให้เขา   ให้เป็นชนชาติผู้รับพระพร3ประการ

1.กาลิลีจะรุ่งโรจน์   
กาลิลีเป็นแคว้นเล็กๆในสายตาของคนยิวจึงมีคนสมัยก่อนพูดดูถูกว่าสิ่งดีใดจะมาจากกาลิลี?    ยอห์น 7:41. คนอื่นๆก็พูดว่า"ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์"แต่บางคนพูดว่า"พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ      แต่จากนั้นอีก 700กว่าปี พระเยซูก็บังเกิดและใช้กาลิลีเป็นที่อบรมสร้างผู้นำยุคใหม่ที่คาเปอร์นาอูม  และส่งสาวกออกประกาศข่าว  และทุกวันนี้ก็ยังมีผู้คนทั่วโลกท่องเที่ยวที่นั่น นำเงินมหาศาลเข้าประเทศอิสราเอล    
บทเรียนฝ่ายวิญญาณ :   ชีวิตของคุณในสายตาของคนอื่นอาจจะเล็กน้อย ไม่มีชาติตระกูล ไม่มีฐานะสูง ไม่ได้เรียนจบสถาบันดังๆ ไม่เก่งอะไรเลย   แต่พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงให้ท่านพบความสำเร็จได้   เกิดผลได้เช่นโยเชฟ แม้จะถูกพี่น้องกระทำอย่างรุนแรง  ไร้ความรัก ความปราณี   แต่พระเจ้าก็เมตตาอุ้มชูให้เขาได้ดีในไม่ปีสิบปีที่อียีปต์ คริสตจักรวันนี้อาจจะเล็กๆในสายตาของคนอื่นๆ    จำนวนคนก็ไม่มาก  เงินถวายก็อาจจะน้อย    แต่พระเจ้าสามารถอวยพระพรให้เติบโตขึ้นได้  ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านแล้วจะทรงกระทำให้สำเร็จ    ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทำไม่ได้.....

2.สว่างจะส่องมาบนเขา  อสย9.2

ความมืดบ่งบอกถึงชีวิตมืดมน ไร้หนทางออก  เต็มไปด้วยอันตรายน่ากลัว  บางครั้งเล็งถึงความตาย ความชั่วร้าย  ชีวิตของมนุษย์ทุกคนอยู่ในความมืดมาตลอด  ศาสนาทุกศาสนาก็มุ่งสอนให้คนทำการดี  แต่คนก็ยังอ่อนแอ ตัวอย่าง :ข้อความติดท้ายรถสิบล้อ “ ชั่วดีกูรู้รู้ แต่กูทำไม่ได้” มนุษย์เดินหลงทางในความมืด  สิ่งที่คนกำลังอยู่ในความมืดต้องการที่สุดคือแสงสว่างส่องนำทาง  
ยอห์น 8:12. อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า"เราเป็นความสว่างของโลกผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"     พระเยซูทรงบังเกิดเพื่อนำความสว่างส่องไม่ให้เราหลงทางผิดอีกต่อไป  ไม่ต้องเผชิญกับอันตรายของชาติหน้าอีกต่อไป     ไม่เพียงพระองค์เป็นความสว่างเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงให้เราเป็นความสว่างส่องไปยังสังคม ชุมชนอีกด้วย    ลำพังตัวเราเองไม่มีแสงในตัวเหมือนดวงจันทร์  แต่ที่เราส่องสว่างได้เพราะเรารับแสงจากพระเยซู   ด้วยเหตุนี้เองชนชาติใดที่ต้อนรับเอาพระเจ้า  การฟื้นฟูจะเกิดขึ้นกับชนชาตินั้น    ตัวอย่าง : เกาหลีใต้
ประเทศชาติจะเจริญขึ้น  เพราะจิตวิญญาณได้รับการเยียวยารักษา  คนชอบธรรม คนมีพระเจ้าได้เข้าไปนั่งบริหารงานองค์กร เข้าไปบริหารในรัฐบาลมากขึ้น   สังคมจึงเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง  อาชญากรรมลดลง  บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขเพราะสว่างของพระเจ้าส่องมาบนเขา   พี่น้องอยากเห็นประเทศชาติของเราเป็นเช่นนั้นไหม ?   จงอธิษฐานขอสว่างส่องเข้ามาสู่คนในชนชาติของเรา    ให้เราส่องแสงของพระเจ้าออกไป

3.เพิ่มความชื่นบานของเขา  อสย9.3-4

สภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนที่มีพระเจ้า  จะมีความสุขสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกนี้ให้   ชีวิตจะเต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีออกมา    ( ไม่ต้องปั้นหน้า )    โดยมีภาพความชื่นบานของคน 3 กลุ่ม
3.1 เหมือนชาวนา   ชื่นบานเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวได้มากมาย  หลังจากที่ตรากตรำทำงาน  
3.2 เหมือนนักรบ    ที่กลับมาพร้อมชนะในสงคราม และริบยึดของมาแจกจ่ายกัน   
3.3 เหมือนคนที่แบกภาระหนัก  ข้อ 4  แอกที่เป็นภาระหนักนั้นได้รับการปลดแอกโดยพระเจ้าแล้ว มัทธิว11:28.
บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข

มีพระเยซูผู้เดียวที่กล้าตรัสกับมนุษย์ทุกคนว่า  บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาหาเรา   ดังนั้นไม่ว่าคุณและผมจะอยู่ในสภาพใดๆ    ใครไม่ได้สวมรองเท้าคู่เดียวกับเราย่อมไม่เข้าใจปัญหา  ภาระอันหนักที่เราแบกไว้  แต่พระเจ้าทรงเมตตา   ทรงรู้ว่าเราแบกภาระไม่ไหว    จึงท้าทายว่าให้เรามาหาพระองค์    พระองค์จะปลดแอก ปลดภาระหนักให้เราเอา    เพื่อให้เราเดินสะดวกได้    ทรงประทานแรงกำลังให้เราสามารถบินสูงเหมือนนกอินทรีย์ได้

ดังนั้นในวันนี้หากท่านมีปัญหาหนัก มีความทุกข์ใจ มีปัญหาครอบครัว   มีปัญหาในที่ทำงาน  สับสนกับอนาคตของตนเอง   จงมาหาพระเจ้าวันนี้  และนำเอาภาระที่แบกหนักของคุณนั้นวางภาระปัญหานั้นมอบแด่พระเจ้า    พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงคุณและผม  จะช่วยปลดแอกที่แบกไว้ จะประทานสันติสุขให้ที่ไม่เหมือนความสุขที่โลกนี้มอบให้ 
นี่คือพระพรในวันคริสต์มาส   และเป็นความกระตือรือร้นของพระเจ้าที่จะกระทำการนี้เพื่อเราทุกคน  ทุกชาติ ทุกภาษา โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่าใดๆเลย

 

 

ประการที่ 2 ประทานชีวิต  เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์  อสย 9.-6-7

ข้อ 6 พระเจ้าทรงกล่าวสำแดงให้อิสยาห์ทราบว่า  แม้ว่าอิสราเอลสมัยนั้นจะมีกษัตริย์ที่ชั่วต่อพระเจ้า  มีสังคมที่ตกต่ำในการอธรรม   ดูเหมือนไร้ความหวัง  หรือไม่มีที่หวังได้  ไม่มีความชื่นชมยินดีได้เลย    ชีวิตมีแต่กลัดกลุ่มใจ เศร้าใจ  หมดหวังกำลังใจ    บางคนร้ายกว่า ชีวิตของเขาอยู่ในโลกนี้เพื่อรอวันตาย  

แต่สิ่งที่พระเจ้ากำลังจะกระทำนั่นก็คือ พระเจ้าจะประทานทารกน้อยคนหนึ่งเกิดมา  นั่นคือคำพยากรณ์ล่วงหน้า 700 ปีก่อนที่พระเยซูจะบังเกิด         เพื่อนำเอาการปกครอง    จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์    จะเป็นองค์ผู้นำสันติราชและสันติภาพสู่โลก  นำเอาความยุติธรรมที่แท้จริง  และความชอบธรรมมาสู่มนุษย์ประชากรของพระเจ้า 
เพราะบาปทำให้มนุษย์ต้องตายฝ่ายวิญญาณ  แต่พระเยซูได้มาเพื่อประทานชีวิตใหม่แก่ผู้เชื่อ 

ในโลกนี้เราไม่สามารถหาชีวิตที่มีความสุขครบสมบูรณ์ได้    เราได้อย่างก็เสียอีกอย่าง  บางคนมีครอบครัวน่ารักแต่ยากจน  บางคนร่ำรวยแต่มีปัญหาครอบครัวเยอะ     บางปีน้ำไม่มีเพียงพอ แต่บางปีก็น้ำมากเกินไปท่วมบ้านเรือนเสียหาย   แม้เราจะมีบ้านหลังใหญ่โตมีเตียงนอนสวยหรูแต่กลับนอนหลับไม่อิ่มไม่สุขใจ    มีแอร์เย็นช่ำแต่จิตใจก็ไม่เย็นสบายลง  เรามีเครื่องมือสื่อสารไฮเทคแต่ก็ยังมีปัญหาในการพูดคุยสื่อสารกัน    เรามีศาลพิจาณาคดีแต่ก็หาความยุติธรรมในโลกนี้ 100%ไม่ได้     เราปลุกใจสร้างสันติภาพโลกแต่สันติภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้น     ดังนั้นชีวิตปราศจากพระเจ้าก็ไม่มีความหวังอันใด   แม้ในโลกนี้เราจะมั่งมีมากมาย  แต่หากไม่มีพระเจ้า  ตายไปก็ไม่มีค่าอันใดเลย   

จากข้อความ อสย 9.6 จึงทำให้เราเห็นว่า  พระเจ้าผู้อยู่เหนือโลกนี้  ทรงเห็นปัญหาทุกๆอย่าง    ทรงรักและเข้าใจจึงได้ประทานเด็กน้อยคนหนึ่งนั่นหมายถึงพระเยซูคริสต์ เพื่อมาประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่   เพื่อให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์         ลก1.32 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ลงมาสำแดงเรื่องนี้แก่มารีย์ว่า  เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู (แปลว่าผู้ช่วยให้รอด)   บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด ท่านจะปกครองพงค์พันธ์ของท่านสืบไป และแผ่นดินของท่านจะไม่มีที่สิ้นสุดเลย..... โฮซันนา... สรรเสริญพระเจ้า


เปิดไปใน ลก 1.46 เปรียบเทียบดูว่ามารีย์เริ่มสรรเสริญพระเจ้าว่าอย่างไร ?     สังเกตสิ่งที่เขาขอบพระคุณพระเจ้าที่เลือกใช้เธอผู้เล็กน้อย และพระเจ้าผู้ห่วงใยฐานะต่ำต้อยด้อยค่า ผู้ทำการใหญ่เพื่อเรา    ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไรหรือ ?      
พระเจ้าไม่ได้ว่างงานนะครับพี่น้อง   ไม่ได้นึกสนุก ไม่ได้หวังที่จะมีบุญคุณต่อมนุษย์   แต่เพราะว่าพระองค์มีความรักอันยิ่งใหญ่ตาม ยน 3.16  รักมนุษย์มากมายจนกระทั่งยอมทำได้ทุกๆอย่าง   พี่น้องเคยรักใครสักคนไหม ? ตัวอย่างอาการของคนรักกันเป็นอย่างไง ?    สบตากัน ตักข้าวให้กัน  จับมือกันราวจะไม่พรากจากกัน  เดินเคียงคู่กัน  แต่นานวันรักที่เคยหวานชื่นก็จืดจางไป  ทานข้าวไม่คุยกัน  ตอนรักกันอะไรๆก็ฮันนี่ๆ แต่นานวันก็หันหนีๆ  

แต่ความรักของพระเจ้าเป็นความรักมั่นคง  นั่นแหละคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงยอมประทานพระบุตรลงมาบังเกิดอยู่ในฐานะต่ำต้อย  และเพื่ออะไร ?

มัทธิว20:28. บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขาและประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"   
ยอห์น  10:10. ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสียเราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์

นี่คือ ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้   คือเพื่อจะประทานชีวิตใหม่โดยผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์  เพื่อเราจะได้รับความรอด  ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง และจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ตลอดไป  นั่นคือหัวใจของเรื่องนี้ทั้งหมด   คือให้มนุษย์ได้มีชีวิตผ่านทางพระเยซู  เป็นชีวิตครบสมบูรณ์   ในโลกนี้เราก็มีพระเจ้า และอยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุข  เมื่อเราจากโลกนี้ไปเราก็ได้กลับไปหาพระเจ้าเพื่อชีวิตนิรันดร นั่นคือชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุด  แต่หลายคนที่หาเงินทองในโลกนี้  เขามีเพียงความสุข ความสำเร็จในโลกนี้เท่านั้น แต่ในสวรรค์พระคัมภีร์กล่าวว่า  พระบุตรคือพระเยซูเสด็จมาบังเกิดแล้ว  และหากเขาปิดใจ ไม่ยอมรับ   แม้ว่าโลกโลกนี้เขาจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ทรัพย์สินของเขาจะไม่เกิดประโยชน์ หรือช่วยเขาให้รอดเพื่อซื้อสวรรค์ไม่ได้เลย    พระเยซูทรงตรัสว่า  จะมีประโยชน์อะไร ?  หากคุณได้ทุกสิ่งในโลกนี้ แต่จบชีวิตลง.....

ประยุกต์ใช้ :  ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้มีค่ามาก  ดังนั้นเราต้องดำเนินชีวิตที่มีค่ากับสิ่งที่มีค่า   ใช้ชีวิตทุ่มเทเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า  ใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้อย่างคุ้มค่า


สรุป .....         ดังนั้นพี่น้องที่รัก  คริสต์มาสจึงสำคัญต่อเราทุกคน  ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนแล้วก็อย่าลืมความหมาย หรือสาระสำคัญหัวใจของคริสต์มาส  อย่าให้เราหันไปสนใจเพียงการตบแต่ง ต้นคริสต์มาส  การร้องเพลง การจัดหาของขวัญให้ผู้ใหญ่  หรือการเตรียมงานใหญ่โตโดยปราศจากความหมายแท้     เราต้องตระหนักและซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา  ความรักที่พระเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำเพื่อเรา  ขอให้เราแสดงออกกระตือรือร้นตอบสนองพระเจ้า  กระตือรือร้นที่จะมานมัสการ มาอธิษฐาน รับใช้พระเจ้าอย่างกระตือรือร้น  กระตือรือร้นที่จะเป็นพยานทั้งมีโอกาสและไม่มีโอกาส   กระตือรือร้นที่จะถวายทรัพย์   และมีท่าทีที่หิวกระหายหาพระเจ้า อย่าทำให้คริสต์มาสกลายเป็นเทศกาล  ชินชากับคริสต์มาส หรือถือว่าเป็นภาระสำหรับเรา  ให้ปลุกจิตสำนึกเสมอว่า   โดยพระคุณพระเจ้าจึงทำให้เรายิ้มได้  โดยพระคุณพระเจ้าจึงทำให้เรายืนอยู่วันนี้ได้    ดังนั้นชีวิตคนที่มีพระเจ้า  เราจึงมีความสุข แม้ว่าเราจะยังคงเผชิญกับปัญหามากมายอยู่  แต่เราก็เรียนรู้ที่เดินผ่านไปได้ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า    อย่าให้การเป็นคริสเตียนของเราเจริญรอยตามการกระทำของอิสราเอลที่ทอดทิ้งพระเจ้า  อย่ารอให้พระเจ้าเฆี่ยนตีลงวินัยจนตัวน่วมถึงกลับใจหรือหันมาแสวงหาพระเจ้า     ดังนั้นขอบคุณพระเจ้าคริสต์มาสเราได้เห็น 2 ประการที่พระเจ้าทรงกระตือรือร้นกระทำเพื่อมนุษย์

ประการที่  ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลง  อสย 9.1

1.กาลิลีจะรุ่งโรจน์  
2.สว่างจะส่องมาบนเขา  อสย9.2

3.เพิ่มความชื่นบานของเขา  อสย9.3-4
ประการที่ 2 ประทานชีวิต  เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์  อสย 9.-6-7

สำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้ตัดสินต้อนรับพระเยซู วันนี้โอกาสมีสำหรับท่าน  พระเจ้าทรงรักท่าน และกระตือรือร้นที่จะเตรียมการนั้นเพื่อช่วยเหลือ  เป็นพระเจ้าของท่าน  เพื่อให้ท่านลี้ภัยในพระองค์

 

สดด 46.1,10 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเราที่ปลอดภัย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก

วันนี้ ท่านพร้อมหรือยังที่จะเข้ามาลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?