เรื่อง " วันเวลาที่ใกล้เข้ามา" ฮีบรู 10:19-25
วันเวลาที่ใกล้เข้ามาแล้ว การฉลองคริสต์มาสที่ใกล้มากๆ ปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา วันแห่งพระเจ้าที่ใกล้เข้ามา ทำให้แง่คิดสอนใจเราหลายประการ เช่นว่า เราจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมชีวิต เพื่อที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น พระคัมภีร์ฮีบรูหลายคนสรุปว่า อ.เปาโลเขียน เพื่อจะส่งไปถึงพี่น้องชาวฮีบรูในสมัยนั้น และขณะเดียวกันก็กำลังจะเตือนสติพวกเราในวันนี้ เนื้อหามีหลายประเด็นที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ 9-10 ซึ่งพอจะสรุปไว้ดังนี้ว่า
พระเยซูคือ One stop service ที่พระองค์เท่านั้น ทรงมาเกิดเกิดเป็นพระที่ติดดิน เป็นพระรอด และเป็นผู้กลางระหว่างคนกับพระเจ้า นำคนกลับคืนดีพระเจ้า เป็นผู้กลางซึ่งพระคัมภีร์บุว่ามาถึงแล้ว บทที่ 9:11 เพราะการพลีชีพจึงเกิดพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาเพื่อไถ่บาป และเป็นผู้จำกัดบาปมลทินหมดสิ้น พระเยซูจึงทำให้เกิดการหยุดพิธีกรรมการรอดบาปที่โดยเครื่องเซ่นไหว้หรือเครื่องบูชาแบบเดิมๆ แต่โดยการถวายชีวิตครั้งเดียวของพระเยซูทุกอย่างก็จบสมบูรณ์ คนมาถวายเครื่องบูชา และคนประกอบพิธีต่างก็ไม่เหนื่อยยาก ไม่ยุ่งยาก ไม่สิ้นเปลือง ไม่เสียเวลา ที่สำคัญคือที่สวรรค์ได้ประกาศเลิกระบบเดิมนี้แล้ว ..... ตัวอย่าง เงินที่อิสราเอลแบบโบราณ เขาไม่ใช้กันแล้วใครได้มาจากการทอนก็เสียหายโดนหรอก.... ดังนั้นผู้เขียนฮีบรูจึง
ท้าทายพี่น้องว่า เพราะเหตุนี้ ขอให้พวกเขาทำ 2 อย่างดังนี้คือ
ประการที่ 1 ความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อพระเจ้า ให้เข้าใกล้ชิดสนิทพระเจ้า ยึดมั่นคงไว้ในความเชื่อ ฮร 10:19-23
การใกล้ชิดสนิทพระเจ้าคือท่าทีอย่างไร คือให้มีใจที่กล้าหาญ ไม่ใช่มากลัวคนอื่นว่า หรือกลัวยากลำบาก กลัวขาดทุนขาดกำไร ยังติดนั่นติดนี่ไม่จริงจังไม่สุดๆกับพระเจ้า เสียที หลายครั้งที่คริสเตียนปันจุบันก็ติดปัญหาแบบนี้ คือเกือบจะถึงประตูสวรรค์อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าไปใกล้เสียที แทนที่จะเติบโตจำเริญขึ้นมากกว่านี้ แต่เราก็ยังเป็นคนประเภทวงนอกของพระเจ้า หรืออยู่รอบๆนอกคริสตจักร
ผู้เขียนฮีบรูท้าทายว่า เราต้องกล้าหาญที่จะเข้ามาใกล้สถานที่บริสุทธิ์ที่สุดโดยเลือดที่ไหลไถ่บาป เป็นเส้นทางสายใหม่ทางแห่งชีวิต เป็นหนทางที่พระเจ้าคือผู้แหวกผ้าม่านที่ปิดบังคนกับพระเจ้าเสีย ทำลายกำแพงกั้นลงเสีย กำลังย้ำว่ามันไม่มีอะไรติดขัดเหมือนแต่ก่อนแล้ว พระเจ้าคือผู้พยายามแสวงหาหนทางคืนดีกับมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้เป็นไท ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง ดังนั้นเอง.....เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว ที่เราจะต้องหิวกระหาย จิตใจของเราควรจะอยากเข้าหาคนดัง เข้าหาพระเจ้า เหมือนกวางน้อยหิวโซต้องการน้ำ แต่ตรงกันข้ามคนสมัยนี้ หิวโซเงินทอง หิวเกียรติ หิวการยอมรับ หิวอำนาจ หิวหน้าตา มากกว่าจะหิวโหยหาพระเจ้า นับวันใจของเรายิ่งถูกทำให้ไกลพระเจ้า ดังนั้นวันนี้เราจะต้องพิจารณาอีกครั้ง เราต้องมั่นใจ เชื่อว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ น่ารักที่สุด ทรงรักและห่วงใยเราเพียงใด ทรงรู้จักเราอย่างละเอียดแม้เส้นผมก็นับไว้แล้ว
อะไรที่ทำให้เราห่างไกลจากความเชื่อ วันนี้ไม่แปลกที่เราอาจจะเหนื่อย ล้า ท้อใจบ่อยๆ เพราะเราเจอการทดลอง เราต้องแบกกางเขนของเราทุกวันตามพระเจ้าไป เราเจอพิษเศรษฐกิจของโลกนี้ แต่เราก็อย่าลืมพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ อย่าลืมว่าพระเจ้าทำการใหญ่ได้ พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราดอก ปัญหาบาปที่ใหญ่โตพระเจ้าก็ยังแก้ไขให้ได้ จัดการให้ได้ ปัญหาของเราไม่ยากลำบากเลยสำหรับพระเจ้า พอแล้วหรือยังที่เราจะใช้ชีวิตนี้แบบสบายๆ ไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตนี้แบบว่าอย่างไงก็ได้... ได้ทั้งนั้น แต่ลึกๆเราก็ไม่ได้สนิทกับพระเจ้าอะไรมากนัก ไม่ได้ยึดมั่นคงในพระเจ้าอะไรเลย
ถามว่าทำไม : เพราะว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว วันของพระเจ้าใกล้เต็มทีแล้ว อุทกภัย สงคราม โรคภัยไข้เจ็บ บอกเราว่าใกล้พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา เราจะรอดไปสวรรค์โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระเจ้าในโลกนี้หรือ ? อย่าไปแค่รอดเท่านั้น แต่จงทำหน้าที่ของเราอย่างดี เกรงว่าเราจะสาระวนกับสิ่งของในโลกนี้ หากถามว่าอยากได้ไหมเงินน่ะ....ใครจะไม่อยากได้..... แต่พระเยซูคริสต์ถามว่าหากเราได้สารพัดสิ่งในโลกนี้ แต่ต้องตายไปวันนั้น สิ่งที่ได้มาจะมีค่าอะไรหรือ ? มันไม่มีความสำคัญ และมีค่าสำหรับเราเลย แต่แปลกไหมว่าคนเราก็ยังสาระวนกับสิ่งของอนิจจังอยู่ดี...ระบบของโลกนี้กลืนความคิด ชีวิตของเราหมดแล้ว ดังนั้นเราจำเป็นต้องสะกิดเตือนจิตใจเจ้าของเสมอว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้าใกล้ชิดสนิทพระเจ้า ยึดมั่นคงในพระเจ้า มีจิตวิญญาณที่หิวกระหายพระเจ้า อยากอยู่กับพระเจ้า อยากรับใช้งานพระเจ้าทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ขอมีได้ส่วนร่วมรับใช้ ขอได้มีหุ้นส่วน ขอได้ร่วมวง ขอได้ร่วมแอก ขอได้ร่วมขันกับงานของพระเจ้า โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆกับพระเจ้า ........ เข้ามาหาพระเจ้าด้วยไว้ใจพระเจ้า ไว้ใจว่าพระเจ้าจะอำนวยอวยพร จะดูแล นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า การเข้ามาใกล้สถานศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าที่ไม่ได้นึกเสียใจ เสียดาย ไม่มีสักครั้งเดียวที่พระเยซูตรัสว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าเราคิดผิดไป ไม่น่ามาตายแทนคนพวกนี้..... แต่พระองค์กลับบอกตลอดเวลาว่า พระองค์มาเพื่อการงานนี้ มาเพื่อยอมสละสารพัดสิ่งเพื่อพวกเรา นี่คือหัวใจของพระเจ้า วันนี้จึงกลับมาถามใจของเราเองว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า ถึงเวลาไหมที่เราจะตื่นขึ้น ลุกขึ้นทำงานของพระเจ้า มาร่วมแอกร่วมภาระใจกัน และถึงเวลาแล้วที่เราจะแสดงออกว่าเรายึดมั่นในพระเจ้าโดยไม่บ่นเพื่อต้องพบความยากลำบาก เมื่อเราต้องเจอเรื่องไม่สบายใจ เราต้องอดทนได้ เราต้องผ่านไปได้แน่นอน สู้ได้ ยอมยากลำบากเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย ....... พระเจ้าของเราสัตย์ซื่อ....
ผลเป็นอย่างไร มาลาคี 1:6-14 3:13 ตัวอย่าง : พระเจ้าอ่อนละอาใจกับเครื่องบูชา และท่าทีของมนุษย์ที่ตีราคาพระเจ้าต่ำไปปัญหาในเรื่องนี้คือการชาวยิวมองพระเจ้าเป็นภาระที่ต้องปฏิบัติ เขาจึงให้สิ่งที่ไม่ดี ให้แบบไม่เต็มใจจะให้ ไม่เต็มใจทำ ไม่เต็มใจถวาย เขาจึงพลาดพระพร บทที่ 3:13 พวกเขายังเถียงพระเจ้าว่าเขาไม่ได้เป็นคนอย่างที่พระเจ้าว่า.... ดังนั้นชาวยิวจึงขาดพระพร และเล่นกับพระเจ้า
ดังนั้น.... วันนี้เช่นเดียวกัน ขอให้เรามีใจกล้าหาญที่จะเสาะแสวงหาพระเจ้าด้วยใจร้อนรน และอยากเข้าใกล้พระเจ้า ให้เราคิดพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นส่วนตัว ว่าความสัมพันธ์ของเราต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร ?
ประการที่ 2 ความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อผู้อื่น โดยให้เราพิจารณา 3 ประการคือ
1) ทำอย่างไรที่จะปลุกใจกันและกัน ( ความรัก ทำการดี )
-ในยุคสุดท้ายความรักของคนส่วนมากจะเหยือกเย็นลง ความรักมีอันเป็นไป ความรักติดขัด พี่และน้องในพระคริสต์ก็จะอายัดกันโรงพัก และศาลแพ่ง ศาลอาญา และศาลปกครอง ความเป็นพี่เป็นน้องกันในพระคริสต์ก็จะไม่กล่าวถึง ไม่สนใจ คนจะเรียกร้องหาสิทธิอันชอบธรรมของตนเอง ( แม้เราจะมีเครื่องโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารไฮเทคขึ้น แต่พบว่าคนเราคุยกันไม่รู้เรื่อง มีห้องนอนติดแอร์เย็นช่ำ แต่จิตใจของเรากลับร้อนลุ่ม )
-ผู้เขียนฮีบรูเตือนพี่น้องให้ช่วยๆกันสะกิดใจกันให้รักกัน และให้รู้จักทำการดีด้วย ( แม้ว่าการไปสวรรค์จะไม่ใช่โดยการทำความดี แต่....การไปสวรรค์ก็ไม่ควรจะทิ้งการดีเสีย) มีคนกล่าวว่าสังคมแย่ทุกวันนี้เพราะคนดีท้อใจ ดังนั้นวันนี้จงปลุกใจกันให้ตื่นขึ้น เรียนรู้ที่จะทำการดี อะไรเป็นการดีอย่าถามว่าทำได้ไหม ? ทำไปอย่าอายใคร.... สังคมไทยกำลังเผชิญภัยน้ำท่วม คริสเตียนก็น่าจะมีส่วนช่วย มีการดีอะไรบ้างที่เราพึ่งทำได้ ? เช่น การทำดีต่อคนจน ทำดีต่อเด็ก ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ทำดีต่อรัฐบาล คริสตจักรน่าจะเป็นศูนย์รวมแห่งการทำการดี ทำดีเพื่อถวายพระเจ้า
-ให้เรามั่นปลุกใจกันเสมอๆ เพราะบางทีตัวเก่าของเราก็ตื่นมา อีโก้สูง ความเป็นตัวกูก็มากมาย รักตัวตน รักเพื่อนพ้อง รักความสะดวกสบาย ทำไมเราต้องมีความรัก และทำการดี เพราะว่าวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
2) ทำอย่างไรที่จะไม่ขาดประชุม ( เหมือนบางคน ) บางคนนั้นคือใคร
-คริสเตียนสมัยก่อนกับปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกัน มักมีข้ออ้างเยอะ มีธุรกิจก็เยอะ จนบางทีทำให้เราหลงลืมพระเจ้า และงานตนเองเป็นหลัก เห็นพระเจ้าเป็นแค่กิจกรรมอดิเรก เหมือนคนที่แต่งงานกันนานๆแล้วเห็นคนที่บ้านเป็นของตาย....ยังไงก็ได้ไม่เป็นไร คนกันเอง หลายคนจึงบอกว่าไม่เป็นไร....พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเข้าใจ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณอยู่กับเราทุกที่ แต่ทำไมรู้ไหมว่าพระเยซูตั้งคริสตจักรไว้ทำไม ทำไมพระเยซูไปพระวิหาร แสดงว่ามีความสำคัญที่สุดในพระคัมภีร์เดิม อพยพ 20 พระเจ้าเตือนโมเสสว่า จงระลึกถึงวันสะบาโต.... ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานการงานของเจ้า 6 วัน แต่วันที่เจ็ดให้พัก.... พระเจ้าจะอวยพระพรให้ ที่พระเจ้าพักไม่ใช่พระเจ้าเหนื่อย แต่เพื่อเราจะมีเวลากับพระเจ้า มีเวลาได้พักผ่อนกับพี่น้อง กับครอบครัว -คนที่หาเรื่องไม่หยุดวันสะบาโต และบ้างาน บ้านัดเพื่อน พระเจ้าจะให้เขาเหนื่อยล้ากับงาน และเหนื่อยกับเพื่อน และที่สำคัญคือขาดพระพร ยังแสดงออกว่าเขาไม่เชื่อพระเจ้า ดังนั้นอย่าขาดการนมัสการพระเจ้า....... ให้เรามาเพื่อเสริมสร้างกัน อย่าเอาคนอื่นๆมาอ้าง มานมัสการจะโบสถ์เล็กโบสถ์ใหญ่ไม่สำคัญ เรามาโบสถ์ไม่ใช่ทำกิจกรรม เรามานมัสการพระเจ้า มาเพื่อเสริมสร้างกัน อย่าขาดการนมัสการ.... มาๆขาดๆ มาบ้างถ้ามีเวลา.... นี่คือท่าทีไม่ถูก (อย่าเอาเยี่ยง)
-ให้วันสะบาโตเป็นวันที่ได้ฟังพระคำ ได้ติดสนิทกับพระเจ้า และพี่น้องในพระคริสต์ แต่ถ้าเรามาหาพระเจ้าแล้วมีเงื่อนไขอื่นๆพระเจ้ามองเราด้วยความรู้สึกอย่างไรรู้ไหม ? อิสยาห์ 1:12-15 พระเจ้าเบื่อหน่าย อยากเอาหน้าหันหนีไป.....
3) ทำอย่างไรที่จะสามารถหนุนน้ำใจซึ่งกันและกัน ข้อ 25
ชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเรื่องยากลำบาก และเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกัน การมองแค่ตาและทักทายกันธรรมดาตามธรรมเนียมไม่พอ เราจะเป็นต้องนั่งลงคุยกัน อธิษฐานเผื่อกัน แสดงความห่วงใยกัน หนุนใจกันเสมอ ไม่มีใครเข้มแข็งเสมอไป เราทุกคนก็ต้องการกำลังใจ คนที่รักๆๆๆ และอดทนกับคนอื่นๆ ต้องแบกภาระหนักเสมอๆ ใครจะทนไหว... ดังนั้นจำเป็นต้องหันไปมองหาคนอื่น พูดเพื่อเพิ่มแรงกำลังใจกัน พูดเพื่อก่อพูดเพื่อเป็นสิริมงคล เป็นคำแห่งชีวิต พูดให้คนรู้สึกสบายใจ รู้สึกมั่นใจในตัวเอง ให้คนรู้สึกว่าพระเจ้าแสนดี และรักเขามากมาย ในโลกนี้มีคนมากมายที่เก่งในการวิพากวิจารณ์ แต่อ่อนเรื่องการหนุนใจ ตัวอย่าง บารนาบัส ได้ชื่อว่าเป็นลูกแห่งการหนุนใจ เขาเห็นใครพบใคร คนได้กำลังใจจากเขา กจ 12: 23-24 บารนาบัสหนุนใจพี่น้องให้มั่นคงในพระเจ้า คริสตจักรจึงเติบโตและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ มีคนเพิ่มขึ้น แต่บางคนไม่เป็นอย่างนี้ไปไหนแสบ....เกิดเรื่องที่นั่น ใช้ปากที่พระเจ้าประทานให้นินทาว่าร้าย กล่าวถึงความแย่ๆของคนอื่นๆเก่ง รู้ดีเรื่องไม่ดีของคนอื่นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ในโลกนี้มีคนประเภทนี้เยอะแล้ว เราอย่าได้ไปลอกเลียนแบบเขาเลย แต่ให้เราเป็นคนมีถ้อยคำแห่งสติปัญญา ถ้อยคำแห่งพระคุณ ถ้อยคำแห่งการหนุนจิตชูใจผู้อื่น ให้ระลึกเสมอว่า.... ถ้าพูดในทางดีไม่ได้ก็เงียบเสียก็ดีกว่า เราต้องฝึกที่จะเริ่มหนุนใจคนอื่นก่อน อย่ารอให้คนอื่นเข้ามาหาเราเพื่อหนุนใจเราก่อน คนที่มองโลกในแง่ร้ายเขาจะไม่สามารถเป็นคนที่หนุนน้ำใจคนอื่นได้เลย เราต้องหยุดพฤติกรรมนั้นเสีย เพื่อท่าทีใหม่ จะเกิดขึ้นมาในเรา การหนุนใจซึ่งกันและกัน การหนุนใจไม่ ใช่เรื่องยากเลย เราอาจจะทำได้ด้วยการมีน้ำใจ การอธิษฐาน การกล่าวชมและดีใจที่ได้พบพวกเขาให้อธิษฐานเสมอๆว่า ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ แสดงออกถึงการชื่นชมและหนุนใจผู้อื่น เพื่อพระองค์จะ
ได้อวยพระพรคนเหล่านั้นผ่านชีวิตข้าพระองค์ ในนาม พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมนลักษณะคนที่จะชูใจคนอื่นคือ คนที่สามารถหนุนใจคนอื่นได้ คนนั้นเขาจะต้องได้รับการชูใจจากพระเจ้ามากด้วย เขาได้เรียนรู้ว่าในความยากลำบากนั้น พระเจ้าแสนดี และไม่ทอดทิ้ง แต่ทรงนำการชูใจมาตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงเรียนรู้ที่จะชูใจ หนุนจิตคนอื่นต่อๆไปด้วย ดังนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เต็มไปด้วยการชูใจ พระเจ้าอวยพรให้เราเรียนรู้กับปัญหาสารพัด ปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่เข้ามาในชีวิต เพื่อว่าเมื่อเราผ่านได้ เราจะมีเรื่องราวที่จะชูใจคนอื่นได้ ดู 2 คร 1:4-5 ขอให้เราอดทนเอา
พี่น้องที่รัก วันของพระเจ้าใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว เหตุการณ์ทางธรรมชาติ สภาพจิตใจของคนก็บ่งบอกให้เราทราบว่า วันเวลาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว หากคริสเตียนยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ จิตวิญญาณของเราก็ถอยหลัง มันจะคงทีไม่เติบโตไปถึงไหน และเราเองก็เตรียมชีวิตจิตใจเพื่อรับวันของพระเจ้าที่กำลังจะมา เราจะต้องตื่นขึ้นมาฉายแสง มีชีวิตเป็นคนแห่งพระพร เป็นคนแห่งการหนุนน้ำใจคนอื่นๆ เป็นคนอบอุ่นที่คนอื่นๆรู้สึกมีความสุข อยากอยู่ใกล้ชิด ดังนั้นเราควรจะมีชีวิตที่ต้องพิจารณา ต้องใช้เวลาคิดว่าทำอย่างไรที่ชีวิตของเราจะเป็นพระพรมากยิ่งขึ้น เพราะใกล้วันของพระเจ้าจะเสด็จมาแล้ว
ดังนั้นขอให้เราทำสองประการคือ
1.ใกล้ชิดติดสนิทพระเจ้า พิจารณาความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
2.คิดพิจารณาว่า จะทำอย่างไรที่เราจะมีความรัก และทำการดี ไม่ขาดนมัสการ แต่จะมีชีวิตแห่งการหนุนน้ำใจคนอื่น
แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 09 มิถุนายน 2012 เวลา 01:11 น.)