gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เรื่อง " วันเวลาที่ใกล้เข้ามา" ฮีบรู 10:19-25

วันเวลาที่ใกล้เข้ามาแล้ว   การฉลองคริสต์มาสที่ใกล้มากๆ  ปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา   วันแห่งพระเจ้าที่ใกล้เข้ามา  ทำให้แง่คิดสอนใจเราหลายประการ   เช่นว่า   เราจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมชีวิต  เพื่อที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น    พระคัมภีร์ฮีบรูหลายคนสรุปว่า อ.เปาโลเขียน  เพื่อจะส่งไปถึงพี่น้องชาวฮีบรูในสมัยนั้น  และขณะเดียวกันก็กำลังจะเตือนสติพวกเราในวันนี้    เนื้อหามีหลายประเด็นที่สำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ 9-10   ซึ่งพอจะสรุปไว้ดังนี้ว่า

พระเยซูคือ One stop service ที่พระองค์เท่านั้น   ทรงมาเกิดเกิดเป็นพระที่ติดดิน เป็นพระรอด และเป็นผู้กลางระหว่างคนกับพระเจ้า  นำคนกลับคืนดีพระเจ้า    เป็นผู้กลางซึ่งพระคัมภีร์บุว่ามาถึงแล้ว บทที่ 9:11 เพราะการพลีชีพจึงเกิดพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาเพื่อไถ่บาป   และเป็นผู้จำกัดบาปมลทินหมดสิ้น    พระเยซูจึงทำให้เกิดการหยุดพิธีกรรมการรอดบาปที่โดยเครื่องเซ่นไหว้หรือเครื่องบูชาแบบเดิมๆ    แต่โดยการถวายชีวิตครั้งเดียวของพระเยซูทุกอย่างก็จบสมบูรณ์    คนมาถวายเครื่องบูชา และคนประกอบพิธีต่างก็ไม่เหนื่อยยาก ไม่ยุ่งยาก ไม่สิ้นเปลือง ไม่เสียเวลา ที่สำคัญคือที่สวรรค์ได้ประกาศเลิกระบบเดิมนี้แล้ว ..... ตัวอย่าง เงินที่อิสราเอลแบบโบราณ     เขาไม่ใช้กันแล้วใครได้มาจากการทอนก็เสียหายโดนหรอก....     ดังนั้นผู้เขียนฮีบรูจึง
ท้าทายพี่น้องว่า  เพราะเหตุนี้  ขอให้พวกเขาทำ 2 อย่างดังนี้คือ

ประการที่ 1 ความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อพระเจ้า ให้เข้าใกล้ชิดสนิทพระเจ้า  ยึดมั่นคงไว้ในความเชื่อ  ฮร 10:19-23
การใกล้ชิดสนิทพระเจ้าคือท่าทีอย่างไร  คือให้มีใจที่กล้าหาญ ไม่ใช่มากลัวคนอื่นว่า  หรือกลัวยากลำบาก กลัวขาดทุนขาดกำไร  ยังติดนั่นติดนี่ไม่จริงจังไม่สุดๆกับพระเจ้า  เสียที    หลายครั้งที่คริสเตียนปันจุบันก็ติดปัญหาแบบนี้     คือเกือบจะถึงประตูสวรรค์อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าไปใกล้เสียที    แทนที่จะเติบโตจำเริญขึ้นมากกว่านี้  แต่เราก็ยังเป็นคนประเภทวงนอกของพระเจ้า หรืออยู่รอบๆนอกคริสตจักร 
ผู้เขียนฮีบรูท้าทายว่า เราต้องกล้าหาญที่จะเข้ามาใกล้สถานที่บริสุทธิ์ที่สุดโดยเลือดที่ไหลไถ่บาป   เป็นเส้นทางสายใหม่ทางแห่งชีวิต เป็นหนทางที่พระเจ้าคือผู้แหวกผ้าม่านที่ปิดบังคนกับพระเจ้าเสีย    ทำลายกำแพงกั้นลงเสีย     กำลังย้ำว่ามันไม่มีอะไรติดขัดเหมือนแต่ก่อนแล้ว  พระเจ้าคือผู้พยายามแสวงหาหนทางคืนดีกับมนุษย์  ทำให้มนุษย์ได้เป็นไท   ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง      ดังนั้นเอง.....เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว     ที่เราจะต้องหิวกระหาย  จิตใจของเราควรจะอยากเข้าหาคนดัง เข้าหาพระเจ้า   เหมือนกวางน้อยหิวโซต้องการน้ำ      แต่ตรงกันข้ามคนสมัยนี้  หิวโซเงินทอง หิวเกียรติ  หิวการยอมรับ   หิวอำนาจ   หิวหน้าตา     มากกว่าจะหิวโหยหาพระเจ้า   นับวันใจของเรายิ่งถูกทำให้ไกลพระเจ้า       ดังนั้นวันนี้เราจะต้องพิจารณาอีกครั้ง   เราต้องมั่นใจ เชื่อว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ  น่ารักที่สุด  ทรงรักและห่วงใยเราเพียงใด    ทรงรู้จักเราอย่างละเอียดแม้เส้นผมก็นับไว้แล้ว  
อะไรที่ทำให้เราห่างไกลจากความเชื่อ วันนี้ไม่แปลกที่เราอาจจะเหนื่อย ล้า ท้อใจบ่อยๆ  เพราะเราเจอการทดลอง เราต้องแบกกางเขนของเราทุกวันตามพระเจ้าไป   เราเจอพิษเศรษฐกิจของโลกนี้   แต่เราก็อย่าลืมพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  อย่าลืมว่าพระเจ้าทำการใหญ่ได้  พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราดอก  ปัญหาบาปที่ใหญ่โตพระเจ้าก็ยังแก้ไขให้ได้  จัดการให้ได้   ปัญหาของเราไม่ยากลำบากเลยสำหรับพระเจ้า  พอแล้วหรือยังที่เราจะใช้ชีวิตนี้แบบสบายๆ  ไปเรื่อยๆ  ใช้ชีวิตนี้แบบว่าอย่างไงก็ได้... ได้ทั้งนั้น  แต่ลึกๆเราก็ไม่ได้สนิทกับพระเจ้าอะไรมากนัก  ไม่ได้ยึดมั่นคงในพระเจ้าอะไรเลย  
ถามว่าทำไม :    เพราะว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว  วันของพระเจ้าใกล้เต็มทีแล้ว    อุทกภัย สงคราม โรคภัยไข้เจ็บ  บอกเราว่าใกล้พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา       เราจะรอดไปสวรรค์โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระเจ้าในโลกนี้หรือ ?   อย่าไปแค่รอดเท่านั้น     แต่จงทำหน้าที่ของเราอย่างดี     เกรงว่าเราจะสาระวนกับสิ่งของในโลกนี้        หากถามว่าอยากได้ไหมเงินน่ะ....ใครจะไม่อยากได้..... แต่พระเยซูคริสต์ถามว่าหากเราได้สารพัดสิ่งในโลกนี้ แต่ต้องตายไปวันนั้น  สิ่งที่ได้มาจะมีค่าอะไรหรือ ?    มันไม่มีความสำคัญ และมีค่าสำหรับเราเลย      แต่แปลกไหมว่าคนเราก็ยังสาระวนกับสิ่งของอนิจจังอยู่ดี...ระบบของโลกนี้กลืนความคิด ชีวิตของเราหมดแล้ว     ดังนั้นเราจำเป็นต้องสะกิดเตือนจิตใจเจ้าของเสมอว่า    ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้าใกล้ชิดสนิทพระเจ้า ยึดมั่นคงในพระเจ้า มีจิตวิญญาณที่หิวกระหายพระเจ้า  อยากอยู่กับพระเจ้า  อยากรับใช้งานพระเจ้าทุกอย่าง    ทำอะไรก็ได้ขอมีได้ส่วนร่วมรับใช้   ขอได้มีหุ้นส่วน   ขอได้ร่วมวง  ขอได้ร่วมแอก ขอได้ร่วมขันกับงานของพระเจ้า โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆกับพระเจ้า ........ เข้ามาหาพระเจ้าด้วยไว้ใจพระเจ้า  ไว้ใจว่าพระเจ้าจะอำนวยอวยพร  จะดูแล                    นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า  การเข้ามาใกล้สถานศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า    พระเจ้าที่ไม่ได้นึกเสียใจ เสียดาย  ไม่มีสักครั้งเดียวที่พระเยซูตรัสว่า  ไม่น่าเลย ไม่น่าเราคิดผิดไป  ไม่น่ามาตายแทนคนพวกนี้.....  แต่พระองค์กลับบอกตลอดเวลาว่า     พระองค์มาเพื่อการงานนี้ มาเพื่อยอมสละสารพัดสิ่งเพื่อพวกเรา       นี่คือหัวใจของพระเจ้า    วันนี้จึงกลับมาถามใจของเราเองว่า   ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า  ถึงเวลาไหมที่เราจะตื่นขึ้น    ลุกขึ้นทำงานของพระเจ้า  มาร่วมแอกร่วมภาระใจกัน      และถึงเวลาแล้วที่เราจะแสดงออกว่าเรายึดมั่นในพระเจ้าโดยไม่บ่นเพื่อต้องพบความยากลำบาก   เมื่อเราต้องเจอเรื่องไม่สบายใจ  เราต้องอดทนได้  เราต้องผ่านไปได้แน่นอน  สู้ได้     ยอมยากลำบากเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย  .......   พระเจ้าของเราสัตย์ซื่อ.... 
ผลเป็นอย่างไร  มาลาคี 1:6-14    3:13 ตัวอย่าง : พระเจ้าอ่อนละอาใจกับเครื่องบูชา และท่าทีของมนุษย์ที่ตีราคาพระเจ้าต่ำไปปัญหาในเรื่องนี้คือการชาวยิวมองพระเจ้าเป็นภาระที่ต้องปฏิบัติ   เขาจึงให้สิ่งที่ไม่ดี ให้แบบไม่เต็มใจจะให้  ไม่เต็มใจทำ  ไม่เต็มใจถวาย   เขาจึงพลาดพระพร    บทที่ 3:13 พวกเขายังเถียงพระเจ้าว่าเขาไม่ได้เป็นคนอย่างที่พระเจ้าว่า.... ดังนั้นชาวยิวจึงขาดพระพร  และเล่นกับพระเจ้า    
ดังนั้น.... วันนี้เช่นเดียวกัน  ขอให้เรามีใจกล้าหาญที่จะเสาะแสวงหาพระเจ้าด้วยใจร้อนรน และอยากเข้าใกล้พระเจ้า ให้เราคิดพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นส่วนตัว   ว่าความสัมพันธ์ของเราต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร ?

ประการที่ 2 ความสัมพันธ์ที่พึงมีต่อผู้อื่น   โดยให้เราพิจารณา  3 ประการคือ

1)  ทำอย่างไรที่จะปลุกใจกันและกัน  ( ความรัก  ทำการดี )


-ในยุคสุดท้ายความรักของคนส่วนมากจะเหยือกเย็นลง  ความรักมีอันเป็นไป  ความรักติดขัด  พี่และน้องในพระคริสต์ก็จะอายัดกันโรงพัก และศาลแพ่ง ศาลอาญา และศาลปกครอง     ความเป็นพี่เป็นน้องกันในพระคริสต์ก็จะไม่กล่าวถึง  ไม่สนใจ  คนจะเรียกร้องหาสิทธิอันชอบธรรมของตนเอง    ( แม้เราจะมีเครื่องโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารไฮเทคขึ้น แต่พบว่าคนเราคุยกันไม่รู้เรื่อง  มีห้องนอนติดแอร์เย็นช่ำ แต่จิตใจของเรากลับร้อนลุ่ม )  
-ผู้เขียนฮีบรูเตือนพี่น้องให้ช่วยๆกันสะกิดใจกันให้รักกัน และให้รู้จักทำการดีด้วย  ( แม้ว่าการไปสวรรค์จะไม่ใช่โดยการทำความดี  แต่....การไปสวรรค์ก็ไม่ควรจะทิ้งการดีเสีย)   มีคนกล่าวว่าสังคมแย่ทุกวันนี้เพราะคนดีท้อใจ ดังนั้นวันนี้จงปลุกใจกันให้ตื่นขึ้น เรียนรู้ที่จะทำการดี   อะไรเป็นการดีอย่าถามว่าทำได้ไหม ?   ทำไปอย่าอายใคร....  สังคมไทยกำลังเผชิญภัยน้ำท่วม คริสเตียนก็น่าจะมีส่วนช่วย    มีการดีอะไรบ้างที่เราพึ่งทำได้  ?  เช่น  การทำดีต่อคนจน  ทำดีต่อเด็ก   ทำดีต่อเพื่อนบ้าน  ทำดีต่อรัฐบาล   คริสตจักรน่าจะเป็นศูนย์รวมแห่งการทำการดี   ทำดีเพื่อถวายพระเจ้า    
-ให้เรามั่นปลุกใจกันเสมอๆ  เพราะบางทีตัวเก่าของเราก็ตื่นมา  อีโก้สูง ความเป็นตัวกูก็มากมาย  รักตัวตน รักเพื่อนพ้อง  รักความสะดวกสบาย    ทำไมเราต้องมีความรัก และทำการดี เพราะว่าวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว


2) ทำอย่างไรที่จะไม่ขาดประชุม   ( เหมือนบางคน )  บางคนนั้นคือใคร


-คริสเตียนสมัยก่อนกับปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกัน  มักมีข้ออ้างเยอะ มีธุรกิจก็เยอะ  จนบางทีทำให้เราหลงลืมพระเจ้า และงานตนเองเป็นหลัก  เห็นพระเจ้าเป็นแค่กิจกรรมอดิเรก    เหมือนคนที่แต่งงานกันนานๆแล้วเห็นคนที่บ้านเป็นของตาย....ยังไงก็ได้ไม่เป็นไร คนกันเอง    หลายคนจึงบอกว่าไม่เป็นไร....พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเข้าใจ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณอยู่กับเราทุกที่       แต่ทำไมรู้ไหมว่าพระเยซูตั้งคริสตจักรไว้ทำไม    ทำไมพระเยซูไปพระวิหาร  แสดงว่ามีความสำคัญที่สุดในพระคัมภีร์เดิม อพยพ 20 พระเจ้าเตือนโมเสสว่า จงระลึกถึงวันสะบาโต.... ถือเป็นวันบริสุทธิ์  จงทำงานการงานของเจ้า 6 วัน แต่วันที่เจ็ดให้พัก.... พระเจ้าจะอวยพระพรให้  ที่พระเจ้าพักไม่ใช่พระเจ้าเหนื่อย   แต่เพื่อเราจะมีเวลากับพระเจ้า  มีเวลาได้พักผ่อนกับพี่น้อง กับครอบครัว -คนที่หาเรื่องไม่หยุดวันสะบาโต และบ้างาน บ้านัดเพื่อน  พระเจ้าจะให้เขาเหนื่อยล้ากับงาน และเหนื่อยกับเพื่อน  และที่สำคัญคือขาดพระพร  ยังแสดงออกว่าเขาไม่เชื่อพระเจ้า     ดังนั้นอย่าขาดการนมัสการพระเจ้า....... ให้เรามาเพื่อเสริมสร้างกัน  อย่าเอาคนอื่นๆมาอ้าง   มานมัสการจะโบสถ์เล็กโบสถ์ใหญ่ไม่สำคัญ    เรามาโบสถ์ไม่ใช่ทำกิจกรรม  เรามานมัสการพระเจ้า  มาเพื่อเสริมสร้างกัน     อย่าขาดการนมัสการ....  มาๆขาดๆ   มาบ้างถ้ามีเวลา.... นี่คือท่าทีไม่ถูก   (อย่าเอาเยี่ยง)   
-ให้วันสะบาโตเป็นวันที่ได้ฟังพระคำ ได้ติดสนิทกับพระเจ้า และพี่น้องในพระคริสต์     แต่ถ้าเรามาหาพระเจ้าแล้วมีเงื่อนไขอื่นๆพระเจ้ามองเราด้วยความรู้สึกอย่างไรรู้ไหม ?   อิสยาห์ 1:12-15    พระเจ้าเบื่อหน่าย อยากเอาหน้าหันหนีไป.....

3) ทำอย่างไรที่จะสามารถหนุนน้ำใจซึ่งกันและกัน   ข้อ 25
ชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเรื่องยากลำบาก และเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกัน  การมองแค่ตาและทักทายกันธรรมดาตามธรรมเนียมไม่พอ  เราจะเป็นต้องนั่งลงคุยกัน อธิษฐานเผื่อกัน  แสดงความห่วงใยกัน   หนุนใจกันเสมอ   ไม่มีใครเข้มแข็งเสมอไป  เราทุกคนก็ต้องการกำลังใจ   คนที่รักๆๆๆ และอดทนกับคนอื่นๆ ต้องแบกภาระหนักเสมอๆ ใครจะทนไหว... ดังนั้นจำเป็นต้องหันไปมองหาคนอื่น พูดเพื่อเพิ่มแรงกำลังใจกัน  พูดเพื่อก่อพูดเพื่อเป็นสิริมงคล เป็นคำแห่งชีวิต   พูดให้คนรู้สึกสบายใจ  รู้สึกมั่นใจในตัวเอง  ให้คนรู้สึกว่าพระเจ้าแสนดี และรักเขามากมาย     ในโลกนี้มีคนมากมายที่เก่งในการวิพากวิจารณ์  แต่อ่อนเรื่องการหนุนใจ ตัวอย่าง  บารนาบัส ได้ชื่อว่าเป็นลูกแห่งการหนุนใจ   เขาเห็นใครพบใคร  คนได้กำลังใจจากเขา    กจ 12: 23-24  บารนาบัสหนุนใจพี่น้องให้มั่นคงในพระเจ้า    คริสตจักรจึงเติบโตและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ  มีคนเพิ่มขึ้น     แต่บางคนไม่เป็นอย่างนี้ไปไหนแสบ....เกิดเรื่องที่นั่น  ใช้ปากที่พระเจ้าประทานให้นินทาว่าร้าย  กล่าวถึงความแย่ๆของคนอื่นๆเก่ง  รู้ดีเรื่องไม่ดีของคนอื่นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า  ในโลกนี้มีคนประเภทนี้เยอะแล้ว  เราอย่าได้ไปลอกเลียนแบบเขาเลย   แต่ให้เราเป็นคนมีถ้อยคำแห่งสติปัญญา ถ้อยคำแห่งพระคุณ ถ้อยคำแห่งการหนุนจิตชูใจผู้อื่น    ให้ระลึกเสมอว่า.... ถ้าพูดในทางดีไม่ได้ก็เงียบเสียก็ดีกว่า  เราต้องฝึกที่จะเริ่มหนุนใจคนอื่นก่อน  อย่ารอให้คนอื่นเข้ามาหาเราเพื่อหนุนใจเราก่อน       คนที่มองโลกในแง่ร้ายเขาจะไม่สามารถเป็นคนที่หนุนน้ำใจคนอื่นได้เลย      เราต้องหยุดพฤติกรรมนั้นเสีย  เพื่อท่าทีใหม่               จะเกิดขึ้นมาในเรา                การหนุนใจซึ่งกันและกัน      การหนุนใจไม่ ใช่เรื่องยากเลย เราอาจจะทำได้ด้วยการมีน้ำใจ การอธิษฐาน การกล่าวชมและดีใจที่ได้พบพวกเขาให้อธิษฐานเสมอๆว่า  ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์   แสดงออกถึงการชื่นชมและหนุนใจผู้อื่น เพื่อพระองค์จะ
ได้อวยพระพรคนเหล่านั้นผ่านชีวิตข้าพระองค์ ในนาม  พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมนลักษณะคนที่จะชูใจคนอื่นคือ คนที่สามารถหนุนใจคนอื่นได้   คนนั้นเขาจะต้องได้รับการชูใจจากพระเจ้ามากด้วย    เขาได้เรียนรู้ว่าในความยากลำบากนั้น   พระเจ้าแสนดี และไม่ทอดทิ้ง  แต่ทรงนำการชูใจมาตลอดเวลา      ดังนั้นเขาจึงเรียนรู้ที่จะชูใจ หนุนจิตคนอื่นต่อๆไปด้วย   ดังนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เต็มไปด้วยการชูใจ   พระเจ้าอวยพรให้เราเรียนรู้กับปัญหาสารพัด  ปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่เข้ามาในชีวิต  เพื่อว่าเมื่อเราผ่านได้  เราจะมีเรื่องราวที่จะชูใจคนอื่นได้   ดู 2 คร 1:4-5 ขอให้เราอดทนเอา

พี่น้องที่รัก วันของพระเจ้าใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว    เหตุการณ์ทางธรรมชาติ  สภาพจิตใจของคนก็บ่งบอกให้เราทราบว่า  วันเวลาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว     หากคริสเตียนยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ    จิตวิญญาณของเราก็ถอยหลัง   มันจะคงทีไม่เติบโตไปถึงไหน     และเราเองก็เตรียมชีวิตจิตใจเพื่อรับวันของพระเจ้าที่กำลังจะมา     เราจะต้องตื่นขึ้นมาฉายแสง      มีชีวิตเป็นคนแห่งพระพร      เป็นคนแห่งการหนุนน้ำใจคนอื่นๆ     เป็นคนอบอุ่นที่คนอื่นๆรู้สึกมีความสุข  อยากอยู่ใกล้ชิด        ดังนั้นเราควรจะมีชีวิตที่ต้องพิจารณา  ต้องใช้เวลาคิดว่าทำอย่างไรที่ชีวิตของเราจะเป็นพระพรมากยิ่งขึ้น      เพราะใกล้วันของพระเจ้าจะเสด็จมาแล้ว

 

ดังนั้นขอให้เราทำสองประการคือ


1.ใกล้ชิดติดสนิทพระเจ้า  พิจารณาความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า


2.คิดพิจารณาว่า จะทำอย่างไรที่เราจะมีความรัก  และทำการดี  ไม่ขาดนมัสการ  แต่จะมีชีวิตแห่งการหนุนน้ำใจคนอื่น

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 09 มิถุนายน 2012 เวลา 01:11 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?