ยกฟ้อง ลัทธิ "มูนิซึ่ม"
ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง ลัทธิ "มูนิซึ่ม" เผยแพร่ลัทธิกระเดื่องต่อพ่อแม่
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องลัทธิ"มูนิซึ่ม" เผยแพร่ลัทธิกระเดื่องต่อพ่อแม่ หลังต่อสู้มา 21ปีชี้พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก เจ้าตัวดีใจหลังพ้นมลทิน
ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนพ.เล็ก ทวีเติมสกุล ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี หรือลัทธิ "มูนิซึ่ม" กับพวกซึ่งเป็นสมาชิกรวม 8 คน เป็นจำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ อั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกง อัยการโจทก์ระบุฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งได้ศึกษาและมีความเลื่อมใสในลัทธิ "มูนิซึ่ม" จากประเทศเกาหลีใต้ มีแนวคิด 3 ประการคือ คนอุดมคติ ครอบครัวอุดมคิด และ เหนือสรรพสิ่ง
โดยจะนำคนอุดมคติมาสมรสกันเป็นครอบครัวอุดมคติ จึงได้จัดตั้งมูลนิธิวัฒนธรรมแห่งความสามัคคี เผยแพร่ลัทธิ โดยการให้สมาชิก ชักชวนด้วยวาจา และแจกแผ่นปลิวโฆษณาให้เข้าร่วมโดยเรียกเก็บค่าสมาชิก 40 บาทต่อคนต่อปี
โดยการกระทำของจำเลยทั้งแปด มีเจตนาที่จะให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยวิธีประกาศ โฆษณา แจกจ่ายเอกสาร เผยแพร่สิ่งตีพิมพ์ ชักชวนด้วยวาจาแก่ประชาชน ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2546 โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งแปดเป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ต่อมา โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2547 พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งแปด ได้ร่วมกันสอนให้สมาชิกกระด้างกระเดื่อง ไม่เคารพเชื่อฟังบิดามารดา โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและวัยรุ่นเข้าร่วมทำกิจกรรมในมูลนิธิซึ่งมี หลายด้าน จนลืมหน้าที่การศึกษาเล่าเรียน ประกอบอาจถูกบังคับให้เลิกติดต่อกับเพื่อนสมาชิก จึงเป็นพฤติกรรมส่วนตัว การกระทำของพวกจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน.
ภายหลัง น.พ.เล็ก กล่าวว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 21 ปี ที่แล้วสมัย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นเหมือนตราบาปติดตัว ทำให้พวกตนเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งที่การก่อตั้งมูลนิธิฯมุ่งเน้นทำงานส่งเสริมความรัก ความสามัคคีของสถาบันครอบครัว ชุมชน และสังคม เพื่อให้เกิดสันติสุข รู้สึกดีใจที่คำพิพากษาทั้งสามศาลออกมาเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า พวกตนและมูลนิธิฯ ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับความผิดเรื่องความมั่นคง อั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกง เพราะ ทำงานในเรื่องส่งเสริมการศึกษา ยกระดับมาตรฐานด้านศีลธรรม จริยธรรม และความสามัคคีของคนในชาติ เพื่อสาธารณประโยชน์ อย่างแท้จริง ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองใดๆ