gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

คำเทศนาเรื่อง ส่องสว่างด้วยความดี

คำเทศนาเรื่อง คนแห่งพระพร ตอน 5
เรื่อง  ส่องสว่างด้วยความดี
ข้อพระคัมภีร์ มัทธิว 5: 16      1 ทิโมธี 6: 17 – 19
2 ทิโมธี 3: 16 - 17; ทิตัส 2: 14

 

ทำไมต้องส่องสว่างด้วยความดี และคำว่าส่องสว่างหมายถึงอะไร
คำว่าส่องสว่างก็หมายถึงการมีชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดี  ชีวิตที่เป็นท่อพระพร  การมีชีวิตที่ส่งผลกระทบที่ดีต่อผู้อื่น การมีชีวิตเป็นแรงบันดาลใจ 

ชมดูวีดีโอ เรื่องปลา……. ถ้าเราคริสเตียนดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ เราก็จะเป็นเหตุทำให้คนทั้งปวงเห็นความแตกต่าง เห็นตัวอย่างวิธีแก้ไขปัญหา  เห็นความสัตย์ซื่อ เห็นความถ่อมจิตใจ เห็นความเสียสละ  เห็นน้ำใจ   เห็นลักษณะการกระต่อศัตรู    คนทั้งปวงก็จะตระหนักว่า....นั่นคือแบบอย่างที่ดีที่สังคมไทยจะต้องเอาเป็นตัวอย่างที่ดี     แต่ในความเป็นจริงท่านกระทำได้สม่ำเสมอเช่นนั้นจริงๆหรือไม่ ?

พระเยซูตรัสว่า  :     “ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มัทธิว 5: 16)

พระเยซูทรงต้องการให้คนของพระองค์อยู่อย่างคนแห่งพระพร    ทรงอวยพรแก่อัมราฮัมว่า   เขาจะมีชีวิตที่เป็นพระพรมากมายต่อผู้อื่น   และผู้อื่นก็ได้รับพระพรเมื่อสัมผัสกับชีวิตของเราจริงๆ     แต่หลายคนวันนี้ต่างกัน อยู่ไกลๆก็รู้สึกเป็นพระพรมาก และรู้สึกดี    แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ เข้ามาผูกพันใกล้ชิดกลับพบว่า....ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด นี่แหละคนก็ผิดหวัง   พยายามมองหาสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นพร แต่ก็หาไม่เจอ.... หากเป็นเช่นนี้ท่านก็จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระเยซูต้องการ   คริสเตียนจะต้องส่องสว่างด้วยคุณงามความดี

“ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทิโมธี 3: 16 – 17)
“พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี”  (ทิตัส 2: 14)

คริสเตียนเรารอดไปสวรรค์ได้รับการไถ่ และชีวิตนิรันดร์ไม่ได้มาโดยการกระทำดี หรือการทำบุญกุศลดี   แต่การกระทำดีคือชีวิตที่ธรรมดาของคนที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว    คริสเตียนเราต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของพระเจ้าไม่ว่าการมาคริสตจักร หรือการไปทำงาน หรืออะไรๆก็แล้วแต่    เราจะมีชีวิตเพื่อพระเจ้าได้รับเกียรติยศสูงสุดในชีวิตของเรา  ไม่ว่าเราจะอยู่คนเดียว  หรืออยู่กับหลายๆคน  พักอยู่ในเมืองใหญ่หรือชนบท  ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่เราพูด  สิ่งที่เราคิด  พระเจ้าจะได้รับเกียรติยศสูงสุดในชีวิตของเราตลอดไป....อาเมน.

 

คริสเตียนต้องเป็นคนที่มั่งคั่งในการทำดี  และพระเจ้าก็ทรงพอพระทัยอยากจะเห็นคนของพระองค์ร่ำรวยด้วยการกระทำดี เพราะพระเจ้าประสงค์ที่อยากจะเห็นลูกของพระองค์มีพลานามัยที่แข็งแรง  มั่งมีทั้งความรอบรู้ในสารพัดสิ่ง  และมั่งมีในทรัพย์อันมากมายด้วย   แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ปรารถนาที่จะเห็นชีวิตของเราส่องสว่าง  พระพรไหลผ่านจากชีวิตของเราไปสู่มหาชน     ดังนั้นแม้ว่าเราไม่ได้เป็นคนที่มั่งมี  ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ไม่ได้ร่ำเรียนเก่งกล้า  ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลที่สูงส่ง  แต่เราก็สามารถส่องสว่างด้วยการกระดีได้     
“...จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว อย่างนี้จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง” (1 ทิโมธี 6: 17 - 19)

พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของเรา  ทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องเหล่านี้ ทรงเป็นพระฉายาของพระบิดา  พระคริสต์ไม่ต้องเพียรพยายามที่จะกระการดี  แต่การทำดีของพระองค์คือชีวิตพื้นฐานของพระองค์  ทรงกระทำการดีออกมาโดยธรรมชาติ เพราะพระองค์คือพระผู้ประเสริฐ  พระเจ้าแสนดี  ทรงเป็นแหล่งแห่งความดี  พระเยซูคริสต์ทรงกระทำการดี

พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการทำความดี
“พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย”
(มัทธิว 9: 35) “คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์ และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกมารเบียดเบียน เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์” (กิจการ 10: 38)

คริสเตียนทุกคนควรจะมีชีวิตเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย  เราไม่ใช่ว่ามารับเอาแต่พระคุณพระเจ้าเท่านั้น  หรือพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อความอยู่รอดสำหรับตัวเอง  แต่พระเจ้าทรงเรียกให้เราสะท้อนความดีของพระเจ้า  ดังนั้นเราควรจะกระตืนรือร้นขวนขวายพัฒนาการกระทำคุณความดี  คริสเตียนเราไม่ได้ทำดีเพื่อจะได้รับความรอด  แต่เรารอดแล้วก็จะไม่มีใครไม่กระทำการดี

คริสเตียนหลายคนเป็นคริสเตียนประเภท  “ ความชั่วไม่มี  ความดีไม่ปรากฏ “    หลายคนตั้งแต่เป็นคริสเตียนมาไม่เคยลักเล็กขโมยน้อย    แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้อะไรใคร   ไม่เคยทำชั่วช้าสามานกับใคร  แต่ก็ไม่เคยกระทำการดีต่อใคร   ไม่เคยดุด่าว่าร่ายใคร  แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เคยอวยพรใคร    เราเข้ามาพึ่งพระคุณพระเจ้าไม่เพียงเท่านั้นเอง  เราไม่ต้องคิดฝันที่จะทำดี  แต่ว่ามันกลายเป็นชีวิตของเราไปเสียแล้ว  เพราะความดีที่ล้นอยู่ภายในเรา        ลองหันไปถามตัวเองดูสิว่า  ตั้งแต่เป็นคริสเตียนมานี้  ท่านได้ทำดีอะไรเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าบ้าง?....       เมื่อเราพูดถึงการกระทำการดี บางที่เป็นสิ่งที่กว้างเกินไป   ดังนั้นจึงใคร่ขอสรุปให้ฟังง่ายๆ ให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้นอีกสักเล็กน้อย   โดยจะให้เห็นว่าเราสามารถที่จะกระทำการดีได้ใน 3 ด้านใหญ่ๆในชีวิต

 

ประการที่ 1 กระทำดีกับคนในครอบครัว

“ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 5: 22)
“ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร”

“เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร”
(เอเฟซัส 5: 28 – 29)
“ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดาอย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า”   (เอเฟซัส 6: 1 – 4)

การกระทำดีจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นในครอบครัวของเราก่อน  จะไม่มีคุณค่า หรือเกิดประโยชน์อันใดหากเราจะข้ามน้ำ ข้ามภูเขา เพื่อไปทำดีต่อคนอื่นๆที่เราแทบไม่รู้จักมักจี่เขามาก่อนเลย  หรือไปทำดีกับคนอื่นๆ ในคริสตจักร  แต่ภายในครอบครัวของเราเรากลับละเลย เพิกเฉย  และทอดทิ้ง   จะดูแปลกประหลาดที่สุดหากเป็นเช่นนั้น ....    ให้เรารู้จักที่จะทำการดีให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเราเป็นรูปธรรม      ทำกับคนที่อยู่ใกล้ชิดชีวิตเรา    ให้พัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ  จนเป็นวิถีชีวิต        หลายครั้งที่เรามักจะเพลิดเพลินช่วยกิจกรรมในคริสตจักร  หรือสนุกกับงานรับใช้ในพันธกิจต่างๆ  จนลืมครอบครัว    ลืมพ่อแม่ของเรา ลืมคู่สมรสของคุณกลับไม่ได้มีเวลาพูดคุยกันเลย      เขาจะเข้าใจผิดไปว่า ศาสนาคริสต์ทำให้คนในครอบครัวพลัดพรากจากกัน      ทำให้พ่อแม่ลูกสัมพันธ์ภาพแตกแยกจากกัน      พระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติยศเลยหาก  ผู้คนต่างมองว่าคริสตจักรคือผู้ทำลาย   ทำลายความสงบสุขของสถาบันครอบครัว  ........

พ่อแม่บางคนหนัก...ขับไล่ลูกๆให้มาอยู่เสียที่คริสตจักร    บางคนซ้ำร้ายตอนเช้ามาที่คริสตจักร   บ่ายๆไปเที่ยวกับเพื่อน    และนอนค้างที่บ้านเพื่อน   พ่อแม่ก็คิดว่าคริสตจักรชักนำลูกๆให้มาพักอยู่ที่คริสตจักร   พ่อแม่ไม่เข้าใจก็ตำหนิอาจารย์ได้..... และมองคริสตจักรผิดๆ  ต่อไปภายหน้าก็ไม่ยอมให้ลูกๆมาคริสตจักร  ทำให้เกิดเสียระบบ             ท่านผู้เป็นบิดามารดา เราจะต้องส่งเสียในการเรียนของลูกๆ    ต้องฝึกที่จะเอาใจใส่ลูกของเรามากขึ้น    ไม่ใช่ปล่อยลูกให้คนอื่นดูแลแทน     ไม่ใช่จะดูแลเพียงแค่ 1-2 ปี  แต่หลายสิบปี       จนเรารู้สึกแย่เหนื่อยอ่อนกับการดูแลลูกๆได้      แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า    พระเจ้ามองว่านั่นคือการรับใช้พระเจ้าด้วยเช่นกัน      เพราะคุณกำลังดูแลคนของพระเจ้าอีกคนหนึ่ง  เมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นเขาจะออกไปกระทำการดี    และเรียนรู้จักอยู่เพื่อคนอื่น    และรับใช้พระเจ้า   
ตัวอย่าง คุณมลที่เอาใจใส่ดูลูกสาว เลี้ยงเหมือนเพื่อน ห่วงใย

มีคนกล่าวว่า  13 ปีแรกหากเราไม่ได้ใช้เวลากับลูกๆ   เราจะหมดโอกาสอยู่กับเขาตลอดชีวิต...   ทำไม ? เพราะว่า หลังจาก 13 ปีของลูกเขาก็เริ่มมีสังคมเพื่อน    หลังจากที่ลูกเข้าสู่มหาวิทยาลัยลูกก็อยู่ระบบหรือภายใต้กฎระเบียบมหาลัย   ก่อนจะจบลูกๆก็จะใช้เวลาพูดคุยกับแฟน....    หลังจากที่แต่งงานแล้วเขาก็จะออกไปทำงาน และสร้างครอบครัว  เวลาที่จะพูดคุยกับเราจะมีจริงๆก็คือ 13 ปีแรกๆของลูกๆ เท่านั้นเอง    ดังนั้นคนใดก็ตามที่ต้องเลี้ยงดูแลลูกตลอดเวลา  จงภูมิใจเถิด  เพราะคุณคือผู้โชคดีที่สุด  ที่ได้ใช่เวลากับคนที่น่ารักของคุณ

ส่วนลูกๆพระคัมภีร์ก็มีคำสอนให้รู้จักทำดี  เช่นการให้เกียรติ  การให้เวลา  การให้ความสนใจกับผู้มีพระคุณต่อเราเอง  หากเราจะทำดีตอบแทนพระคุณไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าพ่อแม่ตายแล้ว

ลูกๆหลายคนปล่อยพ่อแม่ทิ้งไว้  ไม่ได้ช่วยงานบ้าน   ไม่ได้ลืมตาที่จะมองดูบ้างว่าพ่อแม่ทุกข์ยากลำบากมากมายเพียงใด  กี่ครั้งที่พ่อแม่หลั่งน้ำตาอาบแก้มเพราะลูก โดยที่ลูกๆแทบไม่รู้ว่าพ่อแม่ทุกข์ใจแค่ไหน    พ่อแม่ผ่านความยากลำบากมาแล้วอะไรบ้าง    หากเราไม่รู้จักการุนรู้คุณ      วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะให้เราได้รับการละเลยจากบุตรหลานของเราเอง    เราจะได้รู้สึกบ้าง......       
พี่น้องที่รัก   แต่เราเป็นคนของพระเจ้า  เป็นคนที่พระเจ้าได้สร้างใหม่เปลี่ยนชีวิตของเราจากคนบาปเป็นคนดี   จากลูกผีมาเป็นลูกของพระเจ้า    จงให้พระเจ้าได้รับเกียรติยศสูงสุดจากชีวิตของเรา    ให้เรากลับไปฝึกมีน้ำใจต่อพ่อแม่   ต่อคนในครอบครัวของเราให้มากขึ้น     ลูกหลายคนเชื่อฟังครูบาอาจารย์   หรือผู้รับใช้พระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังพ่อแม่ของตนเองก็มี     ดังนั้นถ้าเราคิดจะทำการดี    ให้เริ่มทำการดีในทุกช่วงอายุของเรา     การทำดีต่อคู่รักเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์      Ex  สามีภรรยาบางคู่ที่ไม่เคยบอกรักกันเลย....ก็จงกลับบอกรักกันเสีย   ให้เราเจริญมั่งคั่งในการกระทำการดี   กับคนในครอบครัวของเรา  เป็นรูปธรรมเสียแต่วันนี้เพระนั่นคือพระพร

หลายครอบครัวเรามักจะคิดเองว่าเราเหนื่อย เรายากลำบาก เราต่อสู้ลำพัง  ดูเหมือนอีกฝ่ายใจแคบและไม่ห่วงใย หรือใยดี   อย่าลืมว่าทุกคนก็อาจจะมองในมุมของตัวเอง  นี่คือเหตุผลทำให้ครอบครัวอ่อนแอ  และเราจะผ่านไปได้อย่างไร   การกระทำการดีต้องเริ่มจากภายในครอบครัวก่อน   จากนั้นไปสู่ผู้อื่น และสังคมวงกว้าง....

ถ้าเรากระทำการดีต่อกันในครอบครัวมากขึ้น พระเจ้าก็ทรงพอพระทัย  ก็อวยพระพร

ประการที่ 2 การกระทำดีต่อคริสตจักร  ยก 1:27

“ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก” (ยากอบ 1: 27)

“ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่มและอาหารประจำวัน และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้สิ่งที่เขาขัดสนนั้นจะเป็นประโยชน์อะไร ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล” (ยากอบ 2: 15 – 17)

“ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูดก็ให้กล่าวเหมือนหนึ่งกล่าวพระภาษิตของพระเจ้า ถ้าคนใดกระทำบริการก็จงให้บริการตามกำลังซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้เกียรติในการทั้งปวงโดยทางพระเยซูคริสต์” (1 เปโตร 4: 10 - 11)

 

เราแต่ละคนคือผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม ได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้ายิ่งใหญ่  เราหลุดพ้นจากบาปมาสู่ชีวิตใหม่  เราจึงไม่ได้เป็นคนของความมืด   ความบาปอีกต่อไป   แต่เป็นพลเมืองของพระเจ้า    เป็นคนของพระเจ้า     เข้ามาร่วมกันในคริสตจักรครอบครัวของพระองค์    พระเจ้าจัดเรามาวางไว้ในคริสตจักร    เราต่างก็เหมือนส่วนหนึ่งของภาพจิ๊กซอส์   ล้วนมีความสำคัญขาดกันไปไม่ได้      พระเจ้าเจิมตั้งเราไว้ในส่วนที่เหมาะสมแล้ว เราเป็นอวัยวะของพระกายโดยมีพระองค์คือศีรษะของกายนั้น       ดังนั้นสมาชิกทุกคนต่างควรจะพวงกัน   พึ่งพาอาศัยกันและกัน   เสริมสร้างกัน   อุดหนุน ชูกำลังใจกันขึ้น   เราจะต้องทำการดีต่อกันและกันท่ามกลางมวลสมาชิก    เราจะต้องพัฒนาความรักของเราใหญ่เติบโตขึ้น  รู้รัก-สามัคคี    ให้อภัยเมื่อทำผิดต่อกัน   มีน้ำใจต่อกัน
เอเฟซัส บทที่ 4: 2 คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก

ฟีลิปปี บทที่ 2:3 อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว

 

ในคริสตจักรเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับปฏิคมต้อนรับ รอยยิ้มแรกที่เราจะได้รับประตูหน้า  ขอบคุณสำหรับคนที่ทำสูจิบัตรวันอาทิตย์  คนที่ดูแลเครื่องเสียง   คนที่เปิดประตูคริสตจักรตอน8 โมงเช้า   ขอบคุณสำหรับคนที่ทำความสะอาดคริสตจักร   คนที่คอยจัดการงานต่างๆให้เรียบร้อยดี    ขอบคุณกลุ่มสตรีที่รับใช้ทุกๆอย่าง  คณะกรรมการคริสตจักร  ครูรวีฯที่คอยอบรมลูกหลานของเราทุกสัปดาห์    ที่เขาได้อุทิศตนในการทำดีต่อคริสตจักร  รับใช้พระเจ้า     ( ขอให้เราปรมมือขอบคุณพระเจ้าสำหรับเขาทุกๆคน)

อยากหนุนใจพี่น้องว่า เราเป็นคริสเตียนเราต้องรู้ว่าเราถนัด หรือมีความสามารถในด้านไหน  ให้เราเข้ามาบอกคริสตจักร และเข้ามาช่วยกันทำงานของพระเจ้า  อย่าเก็บไว้  คริสตจักรของเราจะเติบโตยิ่งๆขึ้น    ให้เรามีหัวใจอย่างอาจารย์เปาโล  อยู่ก็เพื่อเสริมสร้างคนอื่นๆ  การตายก็ได้กำไร      ให้เราฝึกที่จะกระทำการดีต่อคริสตจักร งานของพระเจ้า  ก่อนที่เรี่ยวแรงของเราจะหมดไป ..... เมื่อเวลานั้นเราไม่มีแรงกำลัง ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรได้อีกต่อไป .......ให้เรารักคริสตจักรศิโยนเพราะนี่คือพระกายของพระเจ้า   เป็นครอบครัวใหญ่  ที่มีหลายคนแต่ละคนก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป  คิดไม่เหมือนกัน  นิสัยต่างกัน  ถูกสอนเลี้ยงดูมาต่างกัน   ผ่านเรื่องราวมาต่างกันไป   เราจะต้องรักซึ่งกันและกัน    มีอะไรที่เราช่วยกันได้ก็ให้ช่วยกัน  หากมีอะไรที่จะเป็นเหตุให้เราว่ากันไปมาทำให้เกิดการขัดเคืองใจก็ให้ระงับเสีย   อะไรที่ไม่ดีก็ให้พระเจ้าแก้ไข  ยกโทษให้กัน  ให้คิดเสมอว่าขอพระเจ้าให้เรามีส่วนในคริสตจักรมากขึ้น 
ตัวอย่าง คุณนี เห็นคริสตจักรไม่มีถ้วย ไม่มีแก้วก็ไปหาซื้อมาให้   แม่สาลี่ก็ขายกาแฟหน้าคริสตจักร และได้มอบเงินขายได้วันแรกทั้งหมดให้คริสตจักร    เมื่อวานเราผู้ชายคุยกันหลังทานลาบว่า  อยากมีเงินเราจะสร้างโบสถ์ให้มีสง่าราศีของพระเจ้าจริงๆ    บางครั้งเราอาจจะไม่ได้พูดออกมาว่าเรารักคริสตจักร  แต่มันจะถูกสำแดงออกมาเป็นการกระทำว่า  จริงๆแล้วเราก็รักคริสตจักร    ถามว่าทำไมเรารักคริสตจักร ก็เพราะเราเรียนรู้ว่าพระเยซูทรงรักคริสตจักรมาก ทรงเสด็จมาจนยอมตายเพื่อคริสตจักร   เพื่อที่ได้คริสตจักรเกิดขึ้นมา  ....  เราจึงรักคริสตจักร   แม้ว่าคริสตจักรจะมีคนหลายแบบ  มีทั้งคนมีและไม่มี มีคนใจร้อน และใจเย็น  มีคนทุกชนิด  เราก็ต้องยอมรับกัน และรักคริสตจักร   เราจะไม่ยอมทำให้อะไรมาทำลายบรรยากาศของความอบอุ่นในคริสตจักร 
รักคริสตจักรก็ต้องอธิษฐานเผื่อมากๆ รักคริสตจักรก็ต้องร่วมกันถวาย  รักคริสตจักรก็ดูแลอนุชนดีๆ

 

ประการที่3 การกระทำดีต่อผู้อื่น

เราทั้งหลายเป็นคริสเตียนไม่ต้องจำกัดความดีเฉพาะครอบครัวของเรา   หรือคริสตจักร ครอบครัวของพระเจ้า  เท่านั้น      แต่เราต้องทำดีต่อคนอื่นๆ    Ex แบบอย่างรายการคืนนี้กับสายสวรรค์   คนมีปัญหาเมื่อแบ่งปันความทุกข์ยาก  เป็นโรคลูคีเมีย     คนที่มีภาระใจก็เข้ามาช่วยกัน แม้จะไม่ได้มากมาย  แต่ก็แสดงออกถึงหัวใจคนไทยที่มีให้กันเสมอ   จนคนไข้บอกว่าพอแล้วการช่วยเหลือมากมายพอแล้ว  ให้ไปช่วยคนที่อื่นๆด้วยที่กำลังต้องการ

คนไทยเวลาโกรธกันก็เหมือนจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง   แต่ยามมีปัญหาเดือดร้อนขึ้นมา  คนไทยก็ช่วยกัน และมีน้ำใจมากจริง   นานาชาติก็ชื่นชมพวกเรา

คริสเตียนของเราอยู่ที่ไหนเมื่อฝูงชน  หรือสังคมร้องไห้ หรือต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์  อย่าให้ความเห็นแก่ของเรา  หรือบางทีเรามักจะคิดไปว่า  ตัวเราเองก็เอาตัวเองไม่ไหวอยู่แล้ว..... หันไปดูคนข้างบ้านของเราว่า  เขาเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้างไหม   เราน่าจะเป็นคนที่กระทำการดียิ่งกว่าคนไม่รู้จักพระเจ้า   โดยการฝึกส่องสว่างด้วยความดีออกไป  เพื่อคนที่ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม  คนที่เร่ร่อน คนที่ไร้ที่พักพิง  คนที่มีปัญหา  คนที่ตกทุกข์ได้ยาก  คนที่ด้อยโอกาส     บางทีเราอาจจะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยมายาวนานแล้ว  แต่ยังขาดการกระทำการดี  หากเราจะลงมือพากันทำคนละไม้คนละมือ  งานของพระเจ้าจะรุดหน้าขยายต่อไปอย่างมากมาย     บางทีเราก็รู้สึกละอายใจเมื่อเราเห็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้อุทิศชีวิต  ทุ่มเทแรงกาย แรงใจเพื่อส่วนรวมมากกว่าเรา    ตั้งแต่วันนี้ขอให้เราคิดบ้างว่า  เราจะตอบแทนพระคุณพระเจ้าอย่างไรบ้าง

 

มธ 25: 40 ขอให้การกระทำการดีของเราเป็นที่ประจักษ์  เพราะเราเป็นคนของพระเจ้า คนแห่งพระพร  อาเมน.

แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 เวลา 00:16 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?