ก้นหม้อไม่ทันดำ
ก้นหม้อไม่ทันดำ
ธวัช เย็นใจ
“ก้นหม้อไม่ทันดำ”
พูดแบบนี้กับคนสมัยใหม่คงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เพราะสมัยนี้ใช้เตาแก็สกับหมดแล้ว จึงมีโอกาสที่จะเห็นก้นหม้อดำยาก แต่สมัยก่อนโน้นไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะทุกบ้านจะใช้ฟืนหุงข้าว หม้อที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆเอาขึ้นตั้งเตาไฟไม่นานก้นหม้อก็ดำปี๋แล้ว
“ก้อหม้อไม่ทันดำ” หมายความว่า “คู่ครองที่เลิกร้างกันอย่างง่ายดาย อยู่กินกันก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลยก็เลิกกันแล้ว” พวกฝรั่งมักจะพูดว่า Oh Love It so soon : รักที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคู่รักเหมือนโคถึก(ที่คึกพิโรธ) ร้อนพล่านเหมือนหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ แต่เวลาผ่านไปไม่นานไฟก็มอด และความรักก็ค่อยๆเย็นลง และสูญหายไปในที่สุด
เราเห็นตัวอย่างจะจะจากพวกดารา นักร้อง นักกีฬาชื่อดังจำนวนมาก ที่จัดงานวิวาห์อย่างเอิกเกริกในโรงแรมระดับแพงระยับ ต่อหน้าแขกเรื่อนับจำนวนพันๆคนที่มาเป็นสักขีพยาน แต่เวลาผ่านไปนานนักเตียงก็หักซะแล้ว ด้วยข้ออ้างแบบง่ายๆว่า “เราไม่มีเวลาให้กัน” หรือเราเพียงอยากจะเป็นอิสระ แต่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ฯลฯ
พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับชีวิตสมรสที่ยั่งยืน “เพราะฉะนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกาย[1]อยู่และไม่อายกัน” (ปฐก. ๒.๒๔-๒๕)
“จงเปรมปรีดิ์อยู่กับภรรยาคนที่เจ้าได้เมื่อยังหนุ่มนั้น...จงดื่มด่ำอยู่กับความรักของนาง” (สภษ. ๕.๑๘-๑๙)
“เพราะพระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับภรรยา คนที่เจ้าได้เมื่อยังหนุ่มนั้น” (มลค. ๒.๑๔)
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านครอบครัวได้แบ่งช่วงเวลาของการแต่งงานออกเป็น ๓ ระยะ ระยะแรกเรียกว่า “ขัดแย้ง” ช่วงนี้กินเวลาประมาณ ๕ ปี ทั้งสามีภรรยาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงกันและกัน (แทนที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง) แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ระยะที่สองเรียกว่า “เยือกเย็น” ใช้เวลาราว ๕ ปีเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สมปรารถนาก็จะเข้าสู่ความมึนตึง
หันหลังให้กัน ต่างฝ่ายต่างมีปฏิสัมพันธ์น้อยลง บางครั้งจะเงียบจนบรรยากาศดูวังเวงน่ากลัว ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่า จะอยู่หรือจะแยกทางกัน
ระยะที่สาม เรียกว่า “ยิ่งแย่” ชีวิตคู่เป็นเหมือนกับม้าที่แบกรับน้ำหนักมามากแล้ว เพียงฟางอีกเส้นเดียวย่อมจะทำให้มันหลังหักได้ ต่างฝ่ายต่างมองหาทางออกสำหรับตนเอง แผลใจมันลุกลามกลัดหนอง เกินที่จะเยียวยาและหันมาพูดคุยกันได้ แล้วเขาทั้งสองก็มาถึงจุด “ยอมอยู่” เพื่อเห็นแก่ลูก หรือจะ “ยอมหย่า” ต่างคนต่างไป
ระยะที่สี่เรียกว่า “ยอดเยี่ยม” คือทั้งสองคิดได้ก็เริ่มหันหน้าเข้าหากัน คือเข้าใจความจริงว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ ยอมรับกันและกัน ตระหนักว่าเปลี่ยนนิสัยของคนอื่นไม่ได้(เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า) จึงขอพบกัน “ครึ่งทาง” ถ้อยทีถ้อยอาศัย ประนีประนอมและยอมอะลุ่มอล่วย “ความรักนั้นก็อดทนนาน กระทำคุณให้” แล้วชีวิตสมรสก็จะเต็มไปด้วยพระพรของพระเจ้า
พระคัมภีร์บอกถึงหลักการชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ในเอเฟซัส ๕.๒๑-๓๓ กล่าวไว้ดังนี้
(๑) สามีต้องรักภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และยอมสละพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
(๒) ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี เหมือนคริสตจักรที่เชื่อฟังพระคริสต์
(๓) ทั้งสองฝ่ายจะต้องยอมฟังซึ่งกันและด้วยความเคารพในพระคริสต์
(๔) สามีภรรยาจะต้องมีความเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่กันและกัน (๑ ปต. ๓.๗)
ทั้งสี่ประการนี้คือพระพรในครอบครัวคริสเตียน.
[1] มีการตีความหมายคำว่า “เปลือยกาย” (๑) ทั้งสองไม่ใส่เสื้อผ้า (๒) เปิดเผยต่อกันในทุกๆเรื่องและทุกๆด้านของชีวิต เช่น การเงิน การงาน เบื้องหลังของชีวิต ฯลฯ