ประวัติความเป็นมาคริสต์มาสแท้ แก่นแท้และหัวใจของคริสต์มาส
ประวัติความเป็นมาคริสต์มาสแท้
เรียบเรียงโดย อาจารย์เรวัฒน์ เทพจักร์
ศิษยาภิบาลคริสตจักรศิโยนกรุงเทพ Pastor : Zion of Bangkok Church
จุดเริ่มต้นของคริสต์มาสแท้
.........หากจะกล่าวถึงต้นตอและปฐมเหตุของคริสต์มาส ความหมายแท้เห็นทีจะต้องย้อนกลับไปดูที่มาแรกๆของประวัติศาสตร์นี้ ตามหลักฐานจากพระคัมภีร์โบราณของชาวยิวบันทึกไว้ว่า พระเจ้าพระเยโฮวาห์ทรงสร้างสรรพสิ่งและจักรวาล แกแลคซี่นี้ใน 6 วัน และวันที่7 ทรงพักจากการงาน และทรงกำชับให้มนุษย์คู่แรกคืออาดัมและเอวาให้รักษากฎเกณฑ์ และดูแลสรรพสิ่ง โดยให้สรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ใต้อาณัติมนุษย์ แต่ต่อมามนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและหันไปเชื่อฟังซาตานที่มาล่อลวง จนในที่สุดมนุษย์ต้องถูกลงโทษขับไล่ออกจากสวนเอเดน และทำงานตรากตรำด้วยเหงื่ออาบหน้า และต้องตายกลายเป็นผงธุลีเพราะมนุษย์มาจากดินต้องกลับไปเป็นดิน ส่วนจิตวิญญาณก็จะต้องรอการพิพากษาโทษจากพระเจ้า
.........หลังจากที่มนุษย์คู่แรกทำบาปและตกอยู่ใต้อำนาจของซาตาน และสำนึกว่าตนเปลือยกายน่าอายจัง พระเจ้าเมตตาจึงทรงตัดเสื้อผ้าหนังสัตว์ให้ปกปิดกายมนุษย์คู่แรก และกล่าวว่าสาปแช่งงูร้ายว่าจะต้องกินผงคลีดินและเดินด้วยท้องตลอดไป และพระเจ้าจะให้พงศ์พันธุ์ของหญิงนี้ทำให้หัวซาตานแหลก ปฐมกาล3:14-24 (คำพยากรณ์เล็งถึงพระเยซูจะทรงปราบซาตาน) ส่วนผู้หญิงจะต้องทรมานนักเมื่อตั้งครรภ์และคลอดบุตร ส่วนผู้ชายจะต้องทำงานอาบเหงื่อท่วมกาย
นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็ออกจากสวนเอเดนต่อสู้ดิ้นรน และมีลูกหลานเต็มแผ่นดินโลก และเริ่มมีการเข่นฆ่า การทะเลาะขัดแย้ง และกระทำทารุณต่อกัน มนุษย์ยิ่งเดินห่างไกลไปจากพระเจ้าก็ยิ่งทำบาปและไม่มีที่พึ่งพิง มนุษย์คิดถึงพระเจ้าพยายามเสาะแสวงหาทางออกของชีวิตที่จะหลุดพ้นโดยตั้งศาสนาขึ้นมา แต่มนุษย์ก็ยังจ่มลงในบาปยิ่งขึ้น มีการทำผิดประเวณี ดูปฐมกาล 6:5 จนพระคัมภีร์กล่าวไว้พระเจ้าเสียใจที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา และในความคิดมีแต่บาปชั่วสิ้น จึงที่มีพระดำริไว้ว่าจะทรงเยียวยารักษา แก้ไขปัญหาความบาปชั่วในจิตวิญญาณมนุษย์ เพื่อให้ทุกคนที่ยอมจำนนและเชื่อฟัง หันกลับมาหาพระเจ้า จะได้รับชีวิตอมตะนิรันดรในสวรรค์อีกครั้ง
คำพยากรณ์ก่อนการประสูติของพระเยซู
.........ต่อมาก่อนคริสตศักราช หรือราว กคศ. 700 ปี ในพระคัมภีร์หนังสือ อิสยาห์9:6-7 พระเจ้าทรงตรัสสัญญาไว้กับชาวยิวคือชนชาติอิสราเอลว่า วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงประทานเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อมาเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ มาเป็นองค์สันติราช มาเป็นพระบิดานิรันดร มาเพื่อปกครองมนุษย์ และนำสันติสุขสันติภาพถาวรมาสู่โลก และตามหลักฐานในพระคัมภีร์หนังสือมีคาห์ 6:2 กล่าวพยากรณ์ว่าพระเจ้าได้เลือกเอาหมู่บ้านชื่อ เบธเลเฮ็ม เป็นสถานที่ประสูติเจ้านายผู้หนึ่งจะเกิดมา และพระองค์จะทำหน้าที่เสมือนผู้เลี้ยงแกะที่ดี
.........พระคัมภีร์ลูกา 1:26 ต่อมาพระเจ้าทรงใช้เทวทูตหรือทูตสวรรค์กาเบรียลลงมาแจ้งข่าวแก่หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อว่า มารีย์ ซึ่งเธอได้มีคู่หมั้นไว้กับชายคนหนึ่งคนธัมมะชื่อโยเชฟเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด แต่เขายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน ทูตองค์นั้นได้แจ้งว่า พระเจ้าทรงโปรดปรานหรือสวรรค์โปรดเธอ มารีย์จะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อนั้นว่า เยซู Jesus เพราะบุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และเป็นองค์พระผู้ช่วยไถ่บาปของมวลมนุษย์ แรกๆเธอก็กังวลใจว่าจะถูกสังคมเกลียดชังและฆ่าให้ตาย และต้องโทษถึงตายตามกฎหมายสมัยนั้น แต่เมื่อทูตองค์นั้นได้อธิบายว่าพระเจ้ามีอิทธิฤทธิ์กระทำทุกสิ่งใด เธอก็ตัดสินใจยอมรับฐานะนั้น และในขณะเดียวกันที่โยเชฟกำลังคิดกลุ้มใจในเรื่องนี้อยู่ว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดกับมารีย์คู่หมั้น และกำลังคิดจะถอนหมั้นแบบลับๆ ทูตของพระเจ้าก็ไปหาเขาและกล่าวว่าอย่ากลัวหรือรู้สึกหนักใจที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาเลย เพราะผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้า เธอจะประสูติบุตรชายและจงตั้งชื่อว่า เยซู Jesus เพราะท่านจะเกิดมาเพื่อช่วยชนชาติของท่านให้รอดพ้นขากบาปผิด และอ้างถึงพระคัมภีร์โบราณตอนหนึ่งใน อิสยาห์ 7:14 เมื่อโยเชฟเข้าใจพระดำริของพระเจ้าเช่นนั้นก็ยินยอมรับมารีย์มาเป็นภรรยา
.........ต่อมาในสมัยมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วแผ่นดิน คีรินิอัสเจ้าเมือซีเรียก็รับพระราชโองการ และคนทั้งปวงที่เป็นชาวยิวต้องกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่อทำทะเบียนราษฎร์ ตามคำของจักรพรรดิแห่งโรมัน (ยุคโรมันเรืองอำนาจ) ดูจาก ลูกา2:17 ในเวลานั้นผู้คนต่างก็เดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเอง บ้างก็อาศัยหยุดงานเพื่อกลับไปพบญาติพี่น้องที่จากกันไปนาน ถนนทุกสายเต็มไปด้วยผู้คนและไม่มีที่พักแรม เนื่องจากโรงแรมและสถานที่ต่างๆเต็มไปหมด ในเวลานั้นเองมารีย์ซึ่งตั้งครรภ์ได้เก้าเดือนเต็มก็ถึงเวลาคลอดบุตรชาย โดยได้คลอดที่โรงวัวคอกสัตว์ และนางก็เอาผ้าอ้อมพันทารกน้อยเยซูไว้ ( พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่ทรงเลือกสถานที่ประสูติในรางหญ้าอันต่ำต้อย) บ่งบอกให้รู้ว่าพระเจ้ามิได้มาเกิดเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติและช่วยมนุษย์คนบาปให้พ้นจากบาป
.........ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาที่เบธเลเฮ็มเฝ้าฝูงแกะในเวลากลางคืน และได้มีทูตมาแจ้งข่าวดีนี้แก่เขาว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง” และเมื่อทูตจากเขาไปพวกเขาต่างก็ไปเข้าเฝ้าพระกุมารน้อยตามคำบอกเล่าก็ได้เห็นเป็นจริง ลูกา2:8-20 และพวกเขาต่างก็เข้าไปป่าวร้องให้คนคนรู้ด้วยความยินดี
ในเวลาเดียวนั้นก็ได้มีนักดาราศาสตร์ หรือโหราจารย์มาจากทิศตะวันออก เดินทางติดตามดาวอันสุกใส ซึ่งบ่งบอกถึงว่าเป็นดาวประจำตัวของกษัตริย์ผู้ใหญ่ใหญ่จะเสด็จลงมาประสูติในเมืองเบธเลเฮ็มซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ในไบเบิล จนกระทั่งดาวดวงนั้นได้นำพวกเขามาหยุดถึงที่ประสูติของพระเยซู พวกเขาต่างปีติยินดีนักเมื่อเห็นกับตา จึงได้นำของมาถวายนมัสการประกอบด้วย ทองคำ กำยาน มดยอบ
.........ภายหลังที่พระเยซูประสติ โยเชฟและมารีย์ต่างก็พากันไปอาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ แคว้นสะมาเรีย หลังจากที่พระเยซูทรงเจริญเติบโตขึ้น และได้เริ่มพระราชกิจเทศนาสั่งสอน และอบรมสร้างสาวก 12 คนทั่วแว่นแคว้นต่างๆ ทรงกระทำปาฏิหาริย์และสั่งสอนแตกต่างกับรับบีอาจารย์ในสมัยนั้น เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดและเป็นถ้อยคำแห่งชีวิต และนำการเปลี่ยนแปลงชีวิต พระเยซูทรงเปิดเผยพระคัมภีร์โบราณของชาวยิวว่าแท้จริงก็เล็งถึงพระองค์เอง และทรงอธิบายตรงไปตรงมา และชี้นำให้คนหันหลังจากบาปของตนเอง และเสาะแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้ และทางกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงถูกส่งมาจากสวรรค์ให้บังเกิดมาเพื่อช่วยไถ่ปวงประชา และให้ผู้คนทั้งหลายสนใจจิตวิญญาณไม่ใช่พิธีรีตองหรือ หรือขนบธรรมเนียมสืบสอดกันมาของศาสนา จนกระทั่งผู้นำศาสนายิวคือฟาริสีและธรรมมาจารย์ได้ร่วมมือกันต่อต้านพระเยซู และสาวกอย่างรุนแรงโดยใส่ร้ายป้ายสีว่าพระเยซูจะก่อกบฏ และนำพาคนแข็งกระด้างต่อรัฐบาลโรม และยืมอำนาจทหารมาทำการปราบปรามคำสอนของพระเยซู ในที่สุดก็จับพระเยซูส่งให้ทางผู้ปกครองเมืองในเวลานั้นตัดสินประหารชีวิตโดยการตรึงที่บนไม้กางเขน (เป็นการลงโทษตามแบบโรมัน) หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วเหล่าสาวกก็ขอพระศพนำมาบรรจุไว้ในอุโมงค์หิน และในวันที่สามคือเช้ามืดวันอาทิตย์ พระเยซูทรงคืนชีพและทรงหนุนใจชูใจสาวกอยู่หลายวัน และทรงปรากฏต่อหน้าผู้คนกว่า 500คนในสมัยนั้น จากนั้นก็กำชับสาวกให้ตั้งใจประกาศเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้านี้ต่อไป และดูแลฝูงแกะของพระเจ้า หมายถึงผู้คนที่ศรัทธาให้มั่นคงในความเชื่อ เพื่อรอคอยวันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จลงมาเพื่อรับผู้ที่เชื่อวางใจกลับไปอยู่ในสวรรค์
.........นับตั้งแต่นั้นมาสาวกชื่อเปโตร และสาวกอื่นๆก็เริ่มตั้งต้นป่าวประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐข่าวดีตามที่พระเยซูบัญชาอย่างไม่ย่อท้อ แม้ในช่วงแรกๆจะถูกต่อต้านจากชาวยิว และศาสนายิวอย่างหนัก มีผู้เชื่อหลายคนถูกรินรอนเสรีภาพและถูกจับเข่นฆ่า ทรมานให้ต่อสู้กับสัตว์ร้าย การติดตามพระเยซูในสมัยนั้นต้องหลบๆซ่อนๆ แต่ต่อมาเปาโลที่อดีตต่อต้านผู้ที่เชื่อถือในพระเยซูและจับคนที่เชื่อเข้าคุกก็ได้กลับใจใหม่ ท่านหันกลับมาศรัทธาอย่างยิ่งในพระเยซู ท่านเริ่มค้นหาความจริง จนกระทั่งได้เริ่มป่าวประกาศสั่งสอน และกลายเป็นบุคคลที่ก่อตั้งคริสตจักรหรือโบสถ์ใหม่ๆมากที่สุดในสมัยนั้น และนับจากนั้นมาเป็นต้นมาก็ได้มีคนเรียกกลุ่มที่เชื่อนี้ว่า คริสเตียนเป็นครั้งแรก โดยมีหลักความเชื่อ และการปฏิบัติแยกออกมาจากศาสนายิวอย่างชัดเจน ดูกิจการ 11:26 และยุคต่อๆก็กลายเป็นคริสตจักรแบบคาทอลิกมีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ต่อมาได้มีการแยกตัวออกมาชื่อว่าโปรเตสเตนท์ ศาสนาคริสต์จึงกลายเป็น 2 นิกายใหญ่ๆ
คำว่าคริสต์มาส
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า ตามเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ส่วนในภาษาไทย " คริสต์มาส " ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน" คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความในภาษาไทยได้ว่า พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน
แต่เดิมนั้นวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ กระทำกันมาตั้งแต่ปีค.ศ.274 โดยชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่จะฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูคริสต์แท้หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ.64-313
.........แต่เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรมมันได้กลับใจเปลี่ยนมารับนับถือคริสต์ศาสนา จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสเตียนจึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย และกล่าวคำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่นขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมานิยมแต่งเพลงเฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลก
สิ่งที่คริสเตียนจะทำในวันคริสต์มาสคือ
.........การร้องเพลงคริสต์มาสอวยพรตามบ้าน Caroling การตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม และการให้ของขวัญที่มีค่าแก่คนที่รักและนับถือ และออกไปมอบของขวัญแก่คนยากคนจน เด็กด้อยโอกาส และลุกหลานก็พากันมาพบปะกันในครอบครัวที่บ้านอีกครั้ง ทานอาหารร่วมกัน และก็จะพากันไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร เพื่อขอบคุณที่ทรงโปรดประทานพระเยซูมาประสูติ เพื่อสำแดงพระลักษณะพระเจ้าแท้ให้เห็นได้ และเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้เพื่อตายไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน เพื่อนมัสการระลึกถึงพระเจ้าผู้ยอมสละฐานะราชาในสวรรค์มาบังเกิดในฐานะต่ำต้อย พระเจ้าผู้ทรงเต็มด้วยความรัก ตามพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร “ คริสต์มาสไม่ใช่ปีใหม่ของฝรั่ง หรือวันของซานต้าแต่อย่างใด
.........ส่วน "ซานตาคลอส" หรือเซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซึ่งไม่ได้เป็นที่มาของคริสต์แต่อย่างใดเลย อาจจะพูดได้ว่าเขาเป็นเพียงคุณลง ( พลอย ) คือพลอยดังไปด้วยกับวันสำคัญของพระเยซู
ในช่วงคริสต์มาสคริสเตียนจะร้องเพลงที่มีการแต่งเพลงเพื่อร้องในช่วงคริสต์มาสในอดีต ซึ่งมักแต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส และร้องเป็นภาษาลาติน เพื่อระลึกถึงความรักของพระเจ้าราวปีค.ศ.1274 และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เช่นเพลง Oh Come, และเพลง Silent Night, Holy Night ซึ่งแต่งขึ้นราวศตวรรษที่ 19 ที่ประเทศเยอรมันและอังกฤษ
สีต่างๆที่นำมาใช้ในคริสต์มาส
สีแดง : เป็นสีที่แสดงถึงความตื่นเต้น สีเดือนธันวาคม สัญลักษณ์หมายถึงไฟ, เลือด การไถ่บาป
สีเขียว : เป็นสัญลักษณ์ของ ความหวังที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์
สีขาว : คือสัญลักษณ์ทางศาสนา ความสว่าง, ความบริสุทธิ์, ความสุขและความรุ่งเรือง สะเก็ดของหิมะ
สีทอง : เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว
.........ในความเข้าใจของคริสเตียนนั้น วันคริสต์มาสถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เจ้าของงานของวันคริสต์มาสที่แท้จริงนั่นก็คือ องค์พระเยซูคริสต์ เป็นวันที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์โลก และทรงกระทำให้คำพยากรณ์ต่างๆนั้นได้สำเร็จ ทรงรักจนกระทั่งยอมเสียสละพระบุตรคือองค์พระเยซูคริสต์ เสด็จลงมาบังเกิดเพื่อคนบาปหนา เพื่อจะแก้ไขปัญหาบาปของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนกระวันปัจจุบัน และนี่แหละคือแก่นแท้และหัวใจของคริสต์มาสที่โลกกำลังเฉลิมฉลองกันอยู่
เรียบเรียงโดย อาจารย์เรวัฒน์ เทพจักร์
ศิษยาภิบาลคริสตจักรศิโยนกรุงเทพ Pastor : Zion of Bangkok Church
ขอพระเจ้าอวยพระพร ต้องการรู้จักพระเจ้ามากกว่านี้ปรึกษา โทร 087-3340769