gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ประวัติความเป็นมาคริสต์มาสแท้ แก่นแท้และหัวใจของคริสต์มาส

ประวัติความเป็นมาคริสต์มาสแท้
เรียบเรียงโดย  อาจารย์เรวัฒน์  เทพจักร์
ศิษยาภิบาลคริสตจักรศิโยนกรุงเทพ Pastor : Zion of Bangkok Church




จุดเริ่มต้นของคริสต์มาสแท้
.........หากจะกล่าวถึงต้นตอและปฐมเหตุของคริสต์มาส  ความหมายแท้เห็นทีจะต้องย้อนกลับไปดูที่มาแรกๆของประวัติศาสตร์นี้   ตามหลักฐานจากพระคัมภีร์โบราณของชาวยิวบันทึกไว้ว่า     พระเจ้าพระเยโฮวาห์ทรงสร้างสรรพสิ่งและจักรวาล แกแลคซี่นี้ใน 6 วัน และวันที่7 ทรงพักจากการงาน   และทรงกำชับให้มนุษย์คู่แรกคืออาดัมและเอวาให้รักษากฎเกณฑ์ และดูแลสรรพสิ่ง  โดยให้สรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ใต้อาณัติมนุษย์   แต่ต่อมามนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและหันไปเชื่อฟังซาตานที่มาล่อลวง    จนในที่สุดมนุษย์ต้องถูกลงโทษขับไล่ออกจากสวนเอเดน  และทำงานตรากตรำด้วยเหงื่ออาบหน้า   และต้องตายกลายเป็นผงธุลีเพราะมนุษย์มาจากดินต้องกลับไปเป็นดิน   ส่วนจิตวิญญาณก็จะต้องรอการพิพากษาโทษจากพระเจ้า    

.........หลังจากที่มนุษย์คู่แรกทำบาปและตกอยู่ใต้อำนาจของซาตาน และสำนึกว่าตนเปลือยกายน่าอายจัง   พระเจ้าเมตตาจึงทรงตัดเสื้อผ้าหนังสัตว์ให้ปกปิดกายมนุษย์คู่แรก   และกล่าวว่าสาปแช่งงูร้ายว่าจะต้องกินผงคลีดินและเดินด้วยท้องตลอดไป และพระเจ้าจะให้พงศ์พันธุ์ของหญิงนี้ทำให้หัวซาตานแหลก ปฐมกาล3:14-24  (คำพยากรณ์เล็งถึงพระเยซูจะทรงปราบซาตาน)        ส่วนผู้หญิงจะต้องทรมานนักเมื่อตั้งครรภ์และคลอดบุตร        ส่วนผู้ชายจะต้องทำงานอาบเหงื่อท่วมกาย  
นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็ออกจากสวนเอเดนต่อสู้ดิ้นรน  และมีลูกหลานเต็มแผ่นดินโลก  และเริ่มมีการเข่นฆ่า การทะเลาะขัดแย้ง และกระทำทารุณต่อกัน     มนุษย์ยิ่งเดินห่างไกลไปจากพระเจ้าก็ยิ่งทำบาปและไม่มีที่พึ่งพิง   มนุษย์คิดถึงพระเจ้าพยายามเสาะแสวงหาทางออกของชีวิตที่จะหลุดพ้นโดยตั้งศาสนาขึ้นมา  แต่มนุษย์ก็ยังจ่มลงในบาปยิ่งขึ้น  มีการทำผิดประเวณี ดูปฐมกาล 6:5      จนพระคัมภีร์กล่าวไว้พระเจ้าเสียใจที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา   และในความคิดมีแต่บาปชั่วสิ้น   จึงที่มีพระดำริไว้ว่าจะทรงเยียวยารักษา   แก้ไขปัญหาความบาปชั่วในจิตวิญญาณมนุษย์  เพื่อให้ทุกคนที่ยอมจำนนและเชื่อฟัง หันกลับมาหาพระเจ้า  จะได้รับชีวิตอมตะนิรันดรในสวรรค์อีกครั้ง    

คำพยากรณ์ก่อนการประสูติของพระเยซู
.........ต่อมาก่อนคริสตศักราช หรือราว กคศ. 700 ปี   ในพระคัมภีร์หนังสือ อิสยาห์9:6-7  พระเจ้าทรงตรัสสัญญาไว้กับชาวยิวคือชนชาติอิสราเอลว่า     วันหนึ่งพระเจ้าจะทรงประทานเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อมาเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์  มาเป็นองค์สันติราช มาเป็นพระบิดานิรันดร  มาเพื่อปกครองมนุษย์  และนำสันติสุขสันติภาพถาวรมาสู่โลก และตามหลักฐานในพระคัมภีร์หนังสือมีคาห์ 6:2    กล่าวพยากรณ์ว่าพระเจ้าได้เลือกเอาหมู่บ้านชื่อ  เบธเลเฮ็ม เป็นสถานที่ประสูติเจ้านายผู้หนึ่งจะเกิดมา  และพระองค์จะทำหน้าที่เสมือนผู้เลี้ยงแกะที่ดี

.........พระคัมภีร์ลูกา 1:26  ต่อมาพระเจ้าทรงใช้เทวทูตหรือทูตสวรรค์กาเบรียลลงมาแจ้งข่าวแก่หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อว่า มารีย์ ซึ่งเธอได้มีคู่หมั้นไว้กับชายคนหนึ่งคนธัมมะชื่อโยเชฟเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด    แต่เขายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน  ทูตองค์นั้นได้แจ้งว่า พระเจ้าทรงโปรดปรานหรือสวรรค์โปรดเธอ      มารีย์จะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชาย  จงตั้งชื่อนั้นว่า เยซู Jesus เพราะบุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และเป็นองค์พระผู้ช่วยไถ่บาปของมวลมนุษย์  แรกๆเธอก็กังวลใจว่าจะถูกสังคมเกลียดชังและฆ่าให้ตาย และต้องโทษถึงตายตามกฎหมายสมัยนั้น     แต่เมื่อทูตองค์นั้นได้อธิบายว่าพระเจ้ามีอิทธิฤทธิ์กระทำทุกสิ่งใด  เธอก็ตัดสินใจยอมรับฐานะนั้น       และในขณะเดียวกันที่โยเชฟกำลังคิดกลุ้มใจในเรื่องนี้อยู่ว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดกับมารีย์คู่หมั้น    และกำลังคิดจะถอนหมั้นแบบลับๆ      ทูตของพระเจ้าก็ไปหาเขาและกล่าวว่าอย่ากลัวหรือรู้สึกหนักใจที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาเลย      เพราะผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้า  เธอจะประสูติบุตรชายและจงตั้งชื่อว่า เยซู Jesus เพราะท่านจะเกิดมาเพื่อช่วยชนชาติของท่านให้รอดพ้นขากบาปผิด และอ้างถึงพระคัมภีร์โบราณตอนหนึ่งใน อิสยาห์ 7:14     เมื่อโยเชฟเข้าใจพระดำริของพระเจ้าเช่นนั้นก็ยินยอมรับมารีย์มาเป็นภรรยา

.........ต่อมาในสมัยมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วแผ่นดิน   คีรินิอัสเจ้าเมือซีเรียก็รับพระราชโองการ  และคนทั้งปวงที่เป็นชาวยิวต้องกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่อทำทะเบียนราษฎร์  ตามคำของจักรพรรดิแห่งโรมัน   (ยุคโรมันเรืองอำนาจ)  ดูจาก ลูกา2:17      ในเวลานั้นผู้คนต่างก็เดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเอง บ้างก็อาศัยหยุดงานเพื่อกลับไปพบญาติพี่น้องที่จากกันไปนาน   ถนนทุกสายเต็มไปด้วยผู้คนและไม่มีที่พักแรม เนื่องจากโรงแรมและสถานที่ต่างๆเต็มไปหมด   ในเวลานั้นเองมารีย์ซึ่งตั้งครรภ์ได้เก้าเดือนเต็มก็ถึงเวลาคลอดบุตรชาย   โดยได้คลอดที่โรงวัวคอกสัตว์ และนางก็เอาผ้าอ้อมพันทารกน้อยเยซูไว้   ( พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่ทรงเลือกสถานที่ประสูติในรางหญ้าอันต่ำต้อย) บ่งบอกให้รู้ว่าพระเจ้ามิได้มาเกิดเพื่อรับการปรนนิบัติ  แต่มาเพื่อปรนนิบัติและช่วยมนุษย์คนบาปให้พ้นจากบาป  

.........ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาที่เบธเลเฮ็มเฝ้าฝูงแกะในเวลากลางคืน และได้มีทูตมาแจ้งข่าวดีนี้แก่เขาว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด  ส่วนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง” และเมื่อทูตจากเขาไปพวกเขาต่างก็ไปเข้าเฝ้าพระกุมารน้อยตามคำบอกเล่าก็ได้เห็นเป็นจริง  ลูกา2:8-20    และพวกเขาต่างก็เข้าไปป่าวร้องให้คนคนรู้ด้วยความยินดี   
ในเวลาเดียวนั้นก็ได้มีนักดาราศาสตร์ หรือโหราจารย์มาจากทิศตะวันออก เดินทางติดตามดาวอันสุกใส ซึ่งบ่งบอกถึงว่าเป็นดาวประจำตัวของกษัตริย์ผู้ใหญ่ใหญ่จะเสด็จลงมาประสูติในเมืองเบธเลเฮ็มซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ในไบเบิล   จนกระทั่งดาวดวงนั้นได้นำพวกเขามาหยุดถึงที่ประสูติของพระเยซู     พวกเขาต่างปีติยินดีนักเมื่อเห็นกับตา    จึงได้นำของมาถวายนมัสการประกอบด้วย  ทองคำ กำยาน มดยอบ  

.........ภายหลังที่พระเยซูประสติ โยเชฟและมารีย์ต่างก็พากันไปอาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ แคว้นสะมาเรีย  หลังจากที่พระเยซูทรงเจริญเติบโตขึ้น และได้เริ่มพระราชกิจเทศนาสั่งสอน  และอบรมสร้างสาวก 12 คนทั่วแว่นแคว้นต่างๆ   ทรงกระทำปาฏิหาริย์และสั่งสอนแตกต่างกับรับบีอาจารย์ในสมัยนั้น   เป็นคำสอนที่ให้ข้อคิดและเป็นถ้อยคำแห่งชีวิต   และนำการเปลี่ยนแปลงชีวิต     พระเยซูทรงเปิดเผยพระคัมภีร์โบราณของชาวยิวว่าแท้จริงก็เล็งถึงพระองค์เอง     และทรงอธิบายตรงไปตรงมา     และชี้นำให้คนหันหลังจากบาปของตนเอง   และเสาะแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้    และทางกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงถูกส่งมาจากสวรรค์ให้บังเกิดมาเพื่อช่วยไถ่ปวงประชา   และให้ผู้คนทั้งหลายสนใจจิตวิญญาณไม่ใช่พิธีรีตองหรือ  หรือขนบธรรมเนียมสืบสอดกันมาของศาสนา        จนกระทั่งผู้นำศาสนายิวคือฟาริสีและธรรมมาจารย์ได้ร่วมมือกันต่อต้านพระเยซู และสาวกอย่างรุนแรงโดยใส่ร้ายป้ายสีว่าพระเยซูจะก่อกบฏ และนำพาคนแข็งกระด้างต่อรัฐบาลโรม   และยืมอำนาจทหารมาทำการปราบปรามคำสอนของพระเยซู       ในที่สุดก็จับพระเยซูส่งให้ทางผู้ปกครองเมืองในเวลานั้นตัดสินประหารชีวิตโดยการตรึงที่บนไม้กางเขน (เป็นการลงโทษตามแบบโรมัน)       หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วเหล่าสาวกก็ขอพระศพนำมาบรรจุไว้ในอุโมงค์หิน  และในวันที่สามคือเช้ามืดวันอาทิตย์   พระเยซูทรงคืนชีพและทรงหนุนใจชูใจสาวกอยู่หลายวัน และทรงปรากฏต่อหน้าผู้คนกว่า 500คนในสมัยนั้น     จากนั้นก็กำชับสาวกให้ตั้งใจประกาศเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้านี้ต่อไป  และดูแลฝูงแกะของพระเจ้า  หมายถึงผู้คนที่ศรัทธาให้มั่นคงในความเชื่อ  เพื่อรอคอยวันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จลงมาเพื่อรับผู้ที่เชื่อวางใจกลับไปอยู่ในสวรรค์    

.........นับตั้งแต่นั้นมาสาวกชื่อเปโตร และสาวกอื่นๆก็เริ่มตั้งต้นป่าวประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐข่าวดีตามที่พระเยซูบัญชาอย่างไม่ย่อท้อ   แม้ในช่วงแรกๆจะถูกต่อต้านจากชาวยิว และศาสนายิวอย่างหนัก  มีผู้เชื่อหลายคนถูกรินรอนเสรีภาพและถูกจับเข่นฆ่า   ทรมานให้ต่อสู้กับสัตว์ร้าย     การติดตามพระเยซูในสมัยนั้นต้องหลบๆซ่อนๆ     แต่ต่อมาเปาโลที่อดีตต่อต้านผู้ที่เชื่อถือในพระเยซูและจับคนที่เชื่อเข้าคุกก็ได้กลับใจใหม่   ท่านหันกลับมาศรัทธาอย่างยิ่งในพระเยซู    ท่านเริ่มค้นหาความจริง     จนกระทั่งได้เริ่มป่าวประกาศสั่งสอน และกลายเป็นบุคคลที่ก่อตั้งคริสตจักรหรือโบสถ์ใหม่ๆมากที่สุดในสมัยนั้น   และนับจากนั้นมาเป็นต้นมาก็ได้มีคนเรียกกลุ่มที่เชื่อนี้ว่า  คริสเตียนเป็นครั้งแรก โดยมีหลักความเชื่อ และการปฏิบัติแยกออกมาจากศาสนายิวอย่างชัดเจน      ดูกิจการ 11:26   และยุคต่อๆก็กลายเป็นคริสตจักรแบบคาทอลิกมีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง       ต่อมาได้มีการแยกตัวออกมาชื่อว่าโปรเตสเตนท์    ศาสนาคริสต์จึงกลายเป็น 2 นิกายใหญ่ๆ

คำว่าคริสต์มาส
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า  ตามเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038    ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas        ส่วนในภาษาไทย " คริสต์มาส " ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน"  คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความในภาษาไทยได้ว่า  พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน   
แต่เดิมนั้นวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ กระทำกันมาตั้งแต่ปีค.ศ.274      โดยชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่จะฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย    เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน   รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ    จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูคริสต์แท้หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ.64-313        

.........แต่เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรมมันได้กลับใจเปลี่ยนมารับนับถือคริสต์ศาสนา    จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330  ชาวคริสเตียนจึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย     และกล่าวคำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่นขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส     ต่อมานิยมแต่งเพลงเฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900)  ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลก

สิ่งที่คริสเตียนจะทำในวันคริสต์มาสคือ
.........การร้องเพลงคริสต์มาสอวยพรตามบ้าน Caroling    การตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม  และการให้ของขวัญที่มีค่าแก่คนที่รักและนับถือ  และออกไปมอบของขวัญแก่คนยากคนจน เด็กด้อยโอกาส   และลุกหลานก็พากันมาพบปะกันในครอบครัวที่บ้านอีกครั้ง   ทานอาหารร่วมกัน   และก็จะพากันไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร   เพื่อขอบคุณที่ทรงโปรดประทานพระเยซูมาประสูติ เพื่อสำแดงพระลักษณะพระเจ้าแท้ให้เห็นได้    และเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้เพื่อตายไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน    เพื่อนมัสการระลึกถึงพระเจ้าผู้ยอมสละฐานะราชาในสวรรค์มาบังเกิดในฐานะต่ำต้อย        พระเจ้าผู้ทรงเต็มด้วยความรัก ตามพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16  “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร “ คริสต์มาสไม่ใช่ปีใหม่ของฝรั่ง หรือวันของซานต้าแต่อย่างใด    

.........ส่วน "ซานตาคลอส" หรือเซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี   ซึ่งไม่ได้เป็นที่มาของคริสต์แต่อย่างใดเลย อาจจะพูดได้ว่าเขาเป็นเพียงคุณลง ( พลอย ) คือพลอยดังไปด้วยกับวันสำคัญของพระเยซู

ในช่วงคริสต์มาสคริสเตียนจะร้องเพลงที่มีการแต่งเพลงเพื่อร้องในช่วงคริสต์มาสในอดีต  ซึ่งมักแต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส  และร้องเป็นภาษาลาติน เพื่อระลึกถึงความรักของพระเจ้าราวปีค.ศ.1274   และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เช่นเพลง Oh Come,  และเพลง Silent Night, Holy Night ซึ่งแต่งขึ้นราวศตวรรษที่ 19 ที่ประเทศเยอรมันและอังกฤษ

สีต่างๆที่นำมาใช้ในคริสต์มาส

สีแดง : เป็นสีที่แสดงถึงความตื่นเต้น สีเดือนธันวาคม สัญลักษณ์หมายถึงไฟ, เลือด การไถ่บาป
สีเขียว : เป็นสัญลักษณ์ของ ความหวังที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์  
สีขาว : คือสัญลักษณ์ทางศาสนา ความสว่าง, ความบริสุทธิ์, ความสุขและความรุ่งเรือง  สะเก็ดของหิมะ
สีทอง : เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

.........ในความเข้าใจของคริสเตียนนั้น วันคริสต์มาสถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง  เจ้าของงานของวันคริสต์มาสที่แท้จริงนั่นก็คือ องค์พระเยซูคริสต์   เป็นวันที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์โลก  และทรงกระทำให้คำพยากรณ์ต่างๆนั้นได้สำเร็จ   ทรงรักจนกระทั่งยอมเสียสละพระบุตรคือองค์พระเยซูคริสต์ เสด็จลงมาบังเกิดเพื่อคนบาปหนา  เพื่อจะแก้ไขปัญหาบาปของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนกระวันปัจจุบัน   และนี่แหละคือแก่นแท้และหัวใจของคริสต์มาสที่โลกกำลังเฉลิมฉลองกันอยู่



เรียบเรียงโดย  อาจารย์เรวัฒน์  เทพจักร์
ศิษยาภิบาลคริสตจักรศิโยนกรุงเทพ Pastor : Zion of Bangkok Church
ขอพระเจ้าอวยพระพร ต้องการรู้จักพระเจ้ามากกว่านี้ปรึกษา   โทร 087-3340769


 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?