gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

คำเทศนาเรื่อง พระทัยที่ทรงห่วงใย ยอห์น 17:9-26

คำเทศนาเรื่อง  พระทัยที่ทรงห่วงใย  ยอห์น 17:9-26 
โดย  เรวัฒน์  เทพจักร์

พี่น้องที่รัก   ชีวิตของเราทุกคนมีช่วงเวลา   มีขึ้นมีลาลง   ในยามที่ชีวิตถึงจุดอับตกต่ำสุดๆ  ท่านจะทำอย่างไร ? วันนี้เมื่อ 2000ปีที่ผ่านมาพระเยซูคริสต์ทรงทนทุกข์  และกดดันจนหยาดเหงื่อ หรือพระเสโทกลายเป็นเลือดไหลเป็นเม้ดใหญ่ออก    ท่านคิดว่าบางครั้งชีวิตของท่านได้รับความทุกข์ยากมากมาย    แต่ท่านเคยทุกข์ยากลำบากใจจนกระทั่งเหงื่อไหลเป็นสายเลือดไหม ?   
ในขณะที่พระองค์ทนทุกข์นั้น  พระองค์ก็หวังที่จะมีสาวกที่ร่วมเดินเคียงข้างกันมาตลอด 3-4ปีกว่า ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน สอนเขา สร้างเขา ให้โอกาสพวกเขา  อดทนต่อเขา       คนที่พระองค์คิดว่าได้เลือกพวกเขามาด้วยพระองค์เอง  มี2-3คนที่มองดูว่าสนิทสนมพระองค์ที่สุด    แต่ในสถานการณ์ที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ในยามที่โดดเดี่ยว  ในเวลาที่ทุกข์ใจ    ท่ามกลางเวลาที่อยู่ใกล้ความตาย   สาวกของพระองค์กลับนอนหลับใหล เป็นทองไม่รู้ร้อน    มก14:34-     
พระองค์เดินกลับมาเห็นพวกเขากำลังหลับไหล  ในขณะที่พระองค์ทุกข์ใจยิ่งนักนั้น   ทรงร้องออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด  อับบา พระบิดาเจ้า พระองค์ทำทุกอย่างได้ ขอให้ถ้วยแห่งความเจ็บปวดนี้พ้นไปเถิด  แต่ว่าอย่าเป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์   แต่ขอเป็นไปตามพระทัยพระองค์  ข้อ 36   
พี่น้องเคยเจ็บปวดเพราะ  รู้ว่ามันสามารถมีหนทางแก้ไขปัญหานั้นได้  และถ้าจะไม่ต้องทนรับปัญหานั้นก็ได้  แต่ยอมทนทุกข์นั้นเองไหม?     

ในชั่วโมงที่ทุกข์ระทมใจของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ไปอธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร ?   หลายคนเมื่อชีวิตกำลังเผชิญปัญหาหนัก หลายคนมักจะขอให้ผ่านพ้นไป  ขอให้รวย ขอให้ได้คู่ครองที่ดี ขอได้รถคันสวย  ขอได้บ้านเดียวเดี่ยว  ขออย่าได้เจ็บได้ป่วย  อย่าได้มีเพื่อนเลวๆ  ขออย่าได้เจออุปสรรคใดๆ  ขอให้ได้โชคได้ลาภ  หลับให้ได้เงินหมื่นตื่นให้ได้เงินแสน แต่พระองค์กลับไม่ได้ขอสิ่งเหล่านี้    มี 4 ประการทำให้รู้ว่าพระองค์มีน้ำพระทัยที่ห่วงใยเราทั้งหลายด้วยเช่นกัน

 

ประการที่ 1 ขอพิทักษ์รักษา  ยอห์น17:11  
คำอธิษฐานของพระเยซูคือขอพระบิดาเจ้าพิทักษ์รักษาผู้ที่เชื่อไว้    โดยไม่ประสงค์ที่จะเห็นผู้หนึ่งผู้ใดหลงทางผิด คิดการชั่ว    และพระเยซูตรัสว่า  ขณะที่พระองค์อยู่กับพวกเขา ก็พยายามรักษาพวกเขาไว้ไม่ให้เสียไปแม้แต่คนเดียว   (นอกจากยูดาสคนเดียว  เพราะเงินตัวเดียว  มก 14:10-11 )     
นั่นแสดงให้เราเห็นชัดเจนว่า  พระทัยพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ห่วงใยชีวิตของผู้เชื่อทุกคน    ไม่ว่าเขาจะมีอดีต มีบาดแผลชีวิต  เจ็บปวดที่สุดในชีวิต  ชีวิตจะล้มเหลวกี่ครั้งๆ   จะเคยทำผิดหลงทางไป  แต่พระเยซูคริสต์ทรงให้โอกาสคนตั้งตัว กลับใจใหม่เสมอๆ   ไม่ซ้ำเติม ไม่จดจำความผิด ไม่พูดดีใส่ตัว ไม่พูดชั่วให้คนอื่น   แม้ว่าว่าจะจับคนที่ทำผิดได้พร้อมหลักฐาน พระเยซูก็ให้โอกาสแก่เขา       โดยตรัสว่ามีใครบ้างที่ไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดบาปเลย     
ในโลกนี้เราไม่สามารถเสาะหา หรือพบพระทัยในพระใดๆแบบนี้อีกแล้ว   ในสภาพที่พระองค์กำลังทุกข์ใจ กำลังจะถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม  แต่พระองค์กลับสนใจห่วงใยในความปลอดภัยของสาวก  ทรงอธิษฐานเผื่อพวกเขาอย่างจดจ่อ  ยอห์น17:13  พระองค์ตรัสว่ากำลังจะไปสู่การสิ้นพระชนม์ที่กางเขน  และเป็นการไปกระทำเพื่อทำให้ผู้ที่เชื่อได้รับความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยม   
พี่น้องเห็นชัดเจนไหมว่า.... พระองค์มีพระทัยดีอย่างไร  เป็นบุคคลที่สมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ  พระองค์ห่วงใยสวัสดิภาพของเราเสมอ   ทรงจัดเตรียมแผนงานเพื่อสวัสดิภาพที่ดีให้  ทรงพิทักษ์รักษาให้พ้นภัย   เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของเราเองก็ควรจะห่วงใยผู้อื่นด้วย....   ดูแลรักษาพี่น้องไม่ให้หลงทางไปสักคนเดียว.... โดยควรจะมีใจเหมือนพระทัยพระเยซู  โดยการอธิษฐานเผื่อน้องเลี้ยง เผื่อคนที่เชื่อใหม่ๆ  เผื่อพี่น้องที่อ่อนแออยู่  เผื่อคนที่เดินหลงทาง  แสดงความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของคนอื่น  ไม่ใช่ห่วงแต่เรื่องของเรา  คนไม่เชื่อเขาก็ทำเช่นนั้น หากเราเป็นแบบนั้นก็ไม่แตกต่างอะไร         ตัวอย่าง; มีคนพบเมล็ดข้าวในปิรามิค 3000ปี   ชีวิตที่ไม่ได้ตกลงไปในดิน  ไม่ตายต่อตัวเองก็เป็นเช่นนั้น จึงไม่เกิดผลอะไร  ชีวิตไม่ได้เป็นพระพรต่อใครๆ 
สดด. 34:18 ​พระ​เจ้า​ทรง​อยู่​ใกล้​ผู้​ที่​จิตใจ​ฟก​ช้ำ และ​ทรง​ช่วย​ผู้​ที่​จิตใจ​สำนึก​ผิด
สดด. 51:17 เครื่องบูชา​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​รับ​ได้​คือ​จิตใจ​ที่​ชอก​ช้ำ จิตใจ​ที่​สำนึก​ผิด​และ​ชอก​ช้ำ​นั้น ข้า​แต่​พระ​เจ้า ​พระ​องค์​มิได้​ทรง​ดู​ถูก



ประการที่ 2 ขอให้พ้นจากมารร้าย    ยอห์น17:15
พระเยซูทรงอธิษฐานต่อไปว่า  พระองค์ได้มอบถ้อยคำของพระเจ้าให้สาวก และสอนเขาที่แตกต่างจากโลกสอน  เป็นการนำวิธีคิดที่ต่างจากโลก  คิดไม่เหมือนโลก เป็นการนำผู้เชื่อออกจากชีวิตแบบโลกนี้   โลกนี้จึงไม่ค่อยชอบคริสเตียน   และหลายคนจึงเห็นว่าชีวิตคริสเตียนแตกต่างกับพวกคนที่ไม่เชื่อ  จึงทำให้หลายคนถูกข่มเหง ถูกรังแก  ถูกดูหมิ่น ถูกเยอะเย้ยมากมาย      ดังนั้นท่านจะต้องมั่นคงในพระเจ้า  และชื่นชมยินดีเมื่อถูกติเตียนว่ามาเชื่อในพระเจ้า  แสดงว่าท่านได้ถูกแยกออกมาให้มีชีวิตแตกต่างจากโลก  
และทรงอธิษฐานว่า  ขอทรงให้พ้นจากมารร้าย  ข้อ 15   ซาตานที่เดิมที่เคยเป็นหัวหน้านมัสการพระเจ้าอยู่ในสวรรค์  แต่ต่อมากบฎต่อพระเจ้า  ในที่สุดจึงถูกสาบแช่งจากพระเจ้าให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ   มันจึงเสาะหาให้มนุษย์บูชาเลี้ยงดู  สร้างบ้านเล็กๆให้มันอยู่     มันลงมาทำลายทุกอย่าง ล่อล่วงให้หลง  มาเพื่อลักฆ่าทำลาย  (ยน. 10:10 ขโมย​นั้น​ย่อม​มา​เพื่อ​จะ​ลัก​และ​ฆ่า​และ​ทำลาย​เสีย เรา​ได้มา​เพื่อ​เขา​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​ชีวิต และ​จะ​ได้​อย่าง​ครบ​บริบูรณ์​

ซาตานได้มาล่อลวงอาดัมเอวาให้ทำบาปต่อพระเจ้า   ซาตานมาเพื่อล่อลวงพระเยซู  มารมาล่อลวงอานาเนียซัฟฟิราให้โกหกเรื่องเงินถวายที่ดิน  และพินาศทั้งสามีและภรรยาต่อหน้าผู้รับใช้ (กจ. 5: เมื่อ​ที่ดิน​ยัง​อยู่​ก็​เป็น​ของ​เจ้า​มิใช่​หรือ เมื่อ​ขาย​แล้ว​เงิน​ก็​ยัง​อยู่​ใน​อำนาจ​ของ​เจ้า​มิใช่​หรือ มี​เหตุ​อะไร​เกิดขึ้น​ให้​เจ้า​คิด​ใน​ใจ​เช่นนั้น​เล่า เจ้า​มิได้​มุสา​ต่อ​มนุษย์​แต่​ได้​มุสา​ต่อ​พระ​เจ้า”    ซาตานมาขัดขวางคนที่ฟังพระคำพระเจ้า(มธ. 13:19 เมื่อ​ผู้ใด​ได้​ยิน​คำ​บอก​เล่า​เรื่อง​แผ่นดิน​พระ​เจ้า​แต่​ไม่​เข้าใจ มาร​ร้าย​ก็​มา​ฉวย​เอา​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ใน​ใจ​เขา​นั้น​ไป​เสีย นั่น​แหละ​ได้แก่​เมล็ด​พืช​ซึ่ง​หว่าน​ตก​ริม​หนทาง​

พี่น้องที่รัก  ชีวิตของเราแต่ละวันก็มีซาตานมาเดินวนเวียนหาช่องที่จะทำลายเรา  พยายามดึงเราให้ต่ำลง ทำบาป แต่เราขอบคุณพระเจ้า เพราะพระเยซูทรงห่วงใยเราทั้งหลาย  ทรงอธิษฐานเผื่อสาวกเพื่อให้พ้นจากมารซาตาน   พระเยซูทรงเตือนเปโตรว่า  ซาตานได้ขอบางคนเพื่อฟัดร่อน....
ลูกา 22:3 ฝ่ายซาตานเข้าดลใจยูดาสที่เรียกว่าอิสคาริโอทที่นับเข้าในพวกสาวกสิบสองคน 22:4 ยูดาสได้ไปปรึกษากับพวกปุโรหิตใหญ่และพวกนายทหาร

ชีวิตคริสเตียนเราอยู่ใต้พระคุณพระเจ้า เราจึงไม่กลัวผีมารซาตาน  (1ยน. 5:18 เรา​ทั้ง​หลาย​รู้​ว่า คน​ที่​เกิด​จาก​พระ​เจ้า​ไม่​ทำ​บาป แต่​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​คุ้มครองรักษาเขา และ​มาร​ร้าย​ไม่​แตะ​ต้อง​เขา
คริสเตียนจึงไม่กลัวผี  เราไม่ต้องอยู่ในอำนาจของซาตาน  เราจึงไม่ต้องเลี้ยงผี  เราจึงไม่กราบไหว้รูปเคารพใดๆ เราจึงไม่คุยดีอย่างเป็นมิตรกับผี ..... บางคนไปขับแทน แต่กลับโดนผีขับ.....
เราต้องไม่เป็นคริสเตียนที่อ่อนแอ  เพราะมารจะหนีท่านไป  แต่เมื่อไหร่ที่ท่านเปิดประตูให้มารเข้ามา มันจะมามากขึ้นกว่าเดิม  น่ากลัวกว่าเดิม....  เราจะต้องอยู่ในที่ปลอดภัย คือใต้พระคุณพระเจ้า  เมื่อเรามีความกลัว นอนฝันร้าย เราจงอธิษฐานต่อพระเจ้า ...... 
คริสเตียนต้องเข้มแข็ง และเอาชนะซาตานให้ได้ มันจะไม่สนันสนุนให้คุณเต็มที่กับพระเจ้า   (1ธส. 2:18

เพราะ​เรา​อยาก​มา​หา​ท่าน​ทั้ง​หลาย ข้าพเจ้า คือ​เปาโล​อยาก​มา​หน​แล้ว​หน​เล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้

 

 

ประการที่ 3 ขอเพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน    ยอห์น17:21
ปัญหาอย่างหนึ่งของคนทั้งโลกคือ   ที่ไหนที่มีคนอยู่มากกว่า 1คน ย่อมมีปัญหา  เขาถึงต้องมีการร่างกฎระเบียบเพื่อใช้    คนปกติที่อยู่คนเดียวไม่ต้องมีกฎใดๆให้กระทำตาม  แต่หากใครที่ต้องเขียนกฎระเบียบให้ทำแสดงว่า เป็นคนขาดความรับผิดชอบ   กิจกรรมใดๆที่เราทำร่วมกันมากกว่า1 คน  มักจะมีปัญหา   ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   พระเยซูทรงทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และปัญหาที่จะเกิดขึ้นของสาวกว่า พวกเขาจะต้อมีบ้างที่ขัดแย้ง  ทะเลาะกัน  การขัดแย้งที่เกิดขึ้น  มธ. 20:26 แต่​ใน​พวก​ท่าน​หา​เป็น​อย่าง​นั้น​ไม่ ถ้า​ผู้ใด​ใคร่​จะ​ได้​เป็น​ใหญ่​ใน​พวก​ท่าน ผู้​นั้น​จะต้อง​เป็น​ผู้​ปรนนิบัติ​ท่าน​ทั้ง​หลาย สภษ. 29:9 ถ้า​ปราชญ์​มี​เรื่อง​โต้เถียง​กับ​คน​โง่ คน​โง่​ก็​ดุเดือด ทั้ง​หัวเราะ​และ​ไม่​มี​วัน​สงบ​ลง​ได้

การที่ลูกของพระเจ้าทะเลาะกัน ไม่ลงรอยกันก็เหมือนคนโง่เขลา
อฟ 5.15-21  สอนให้เราดำเนินชีวิตต้องฉลาด อย่าเป็นคนโง่  ให้เรียนรู้จักยอมฟังซึ่งกันและกันด้วยความเคารพ
สภษ. 27:22 เอา​คน​โง่​ใส่​ครก​ตำ​ด้วย​สาก พร้อม​กับ​ข้าวต้ม คน​โง่​ก็​ยัง​โง่​อยู่​นั่นเอง


ในครอบครัวของพระเจ้า  หรือสังคมของลูกของพระเจ้าหากเราเข้าใจกัน รักกันจริงๆ  อธิษฐานด้วยกันบ่อยๆเหมือนพระเยซูอธิษฐานเผื่อสาวก  เราจะสามารถรักกันได้  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้  รู้จักให้อภัยแก่คนอื่นๆได้   ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะเกิดขึ้น   ดู ฟป 2:1-6 และถ้าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระเจ้าอวยพร บังคับพระพรลงมาให้ได้ 
อีกด้านหนึ่งขอพี่น้องทราบว่า   เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้รักกันซึ่งกันและกัน   ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็เท่ากับว่าเราได้ทำร้ายพระเยซู    เราได้เพิ่มความทุกข์ให้กับพระเยซู   และได้ตรึงพระเยซูอีกครั้งด้วยตัวของท่านเอง     หากท่านรักพระเยซูท่านก็ต้องรักคนที่ไม่น่ารักได้  รักคนที่เกลียดชังท่านได้      

ประการที่ 4 ขอได้อยู่ด้วยกันอีกตลอดไป  ยอห์น17:24
ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นอยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้น     นี่คือคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์    เป็นคำอธิษฐานที่ประทับใจมากๆ    ที่พระองค์ทรงรักคนของพระองค์จริงๆแม้ว่าความตายแยกจากกันไป    ก็อธิษฐานขอได้ให้ผู้เชื่อได้ไปอยู่ด้วยกันอีก.....   ในวันนี้เราอาจจะผิดหวังในคนมากมาย ครั้งแล้วครั้งเล่า     คนหลายคนทำให้เราเจ็บปวด    เราให้เราร้องไห้      แต่ขอให้เรารู้ว่าเรามีพระเจ้าที่รักเรามากมาย    รักจนทรงยอมตายแทนได้ ถึงแม้ว่าจากไปแล้ว  ก็ขอได้เจอกันอีก ขอได้อยู่ด้วยกัน ขอได้พบกัน   นี่คือความรักที่ผูกพัน  เป็นความรักที่ไม่มีในมนุษย์      นี่เป็นเหตุผลให้หลายคนที่หย่าร้าง หรือหลายคนเมื่อเลิกราจากคู่สมรสแล้วไม่ขอแต่งงานอีก     เพราะเขาสัมผัสรักของพระเจ้า    


ทรงรักษาคำมั่นสัญญาของพระองค์ ยอห์น 14
:1-4       ในช่วงที่พระเยซูทนทุกข์นี้ ท่านได้อธิษฐานอย่างไร?  แต่ในวันนั้นพระองค์ได้อธิษฐานขอได้พบเรา และปรารถนาที่จะได้อยู่กับผู้ที่พระองค์รักทุกคน คือท่านทั้งหลาย  พระเยซูผู้ไม่ทอดทิ้งท่านเลย  ทรงรักจนกระทั่งยอมตาย และเสียสละเพื่อท่าน   ท่านจะรักและอดทนเมื่อเผชิญความยากลำบากไม่ได้บ้างหรือ ?

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 09 มิถุนายน 2012 เวลา 01:16 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?