gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

1.พระเจ้า 2 ชนิด (Two Kinds of God)

พระเจ้า 2 ชนิด

(Two Kinds of God)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี) วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2012 เวลา 14:00 น.


หลายคนมักจะคิดและเข้าใจว่า พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ หรือเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ แท้จริงพระองค์ไม่ได้เป็นศาสดาหรือผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ ถ้าจะแสวงหาว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ที่ใช้รูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของกรีก-โรมัน ผู้นั้นคือเปาโล เพราะเปาโลเป็นผู้ที่นำ “บารมีของพระเจ้า” ออกจาก รูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของยิว ไปสวมใส่ของกรีก-โรมัน

ถ้าพระองค์ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง และไม่ใช่ศาสดาของศาสนาคริสต์แล้วพระองค์เป็นใคร? มีความสำคัญอย่างไร? คำตอบก็คือ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก สร้างทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่ปรากฏแก่ตา และไม่ปรากฏแก่ตา

พระเจ้ามีอยู่ 2 แบบ

คำว่า พระเจ้า นี้มีสองแบบด้วยกัน คือ พระเจ้าแบบบุคคล และพระเจ้าที่ไม่ใช่บุคคล เนื่องจาก“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรของเดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (ยน 1:18) ดังนั้นเมื่ออธิบายพระองค์ เราจึงอธิบายว่า พระองค์ที่เป็นเหมือนบุคคล หมายความว่า เราใช้คนเป็นแบบอย่าง (Model) ในการอธิบายพระองค์ คือ มีหู มีตา มีปาก มีฟัน มีความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหมือนกับคน พระเจ้าแบบนี้มีอยู่ในศาสนายิวหรือยูดาย ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู พระองค์เป็นพระเจ้าสูงสุด เป็นพระเจ้าองค์เดียว

พระนามของพระเจ้าแบบบุคคลในภาษาฮีบรู

ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู พระนามของพระเจ้าแบบบุคคลมีอยู่หลายพระนาม แต่เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้ว มักจะแปลว่า พระเจ้า หรือองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ชื่อของพระเจ้าแบบบุคคลตามที่ปรากฏนี้ เป็นชื่อตามภาษาฮีบรู ตามที่คนในพระคัมภีร์เรียกชื่อพระองค์ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. อีโลฮิม (Elohim=พระเจ้า) “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐก 1:1)

2. เยโฮวาห์ (Jehovah=องค์พระผู้เป็นเจ้า) “พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐก 6:5)

3. เยโฮวาห์ อีโลฮิม (Jehovah Elohim=องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้า) “พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผลคลีดิน ระลายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต” (ปฐก 2:7)

4. อโดนัย (Adonai=องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ครอบครอง ผู้เป็นเจ้านาย) “พระองค์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ดูเถิด พระเจ้าประทับยืนอยู่ที่ข้างกำแพงสร้างด้วยใช้สายดิ่ง มีสายดิ่งอยู่ในพระหัตถ์ และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อาโมสเอ๋ย เจ้าเห็นอะไรและข้าพเจ้าทูลว่า “สายดิ่งเส้นหนึ่งพระเจ้าข้า’ แล้วพระเจ้าตรัสว่า ‘ดูเถิด เรากำลังเอาสายดิ่งจับท่ามกลางอิสราเอลประชากรของเรา เราจะไม่ผ่านเขาไปอีก”’ (อมส 7:7-8)

5. เยโฮวาห์ ซาบาโอธ (Jehovah Sabaoth=องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพลโยธา) “พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบ ไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นเผ่าที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์” (ยรม 10:16)

6. เอล ชัดได (El Shaddai=พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) “เมื่ออายุอับรามได้เก้าสิบเก้าปี พระเจ้าทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสแก่ท่านว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเรา และเป็นคนดีพร้อม” (ปฐก 17:1)

7. เอล เอลยอน (El Elyon=พระเจ้าผู้ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์) “อับราฮัมปลูกต้นแทมริสก์ไว้ที่เบเออร์เชบา และนมัสการออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้านิรันดร์ที่นั่น” (ปฐก 21:33)

8. เยโฮวาห์ ยิเรห์ (Jehovah-Jireh=องค์พระผู้เป็นเจ้าจัดเตรียมไว้) “อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า ‘จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์”’ (ปฐก 22:14)

9. เยโฮวาห์ ราฟา (Jehovah-rapha=พระเจ้าผู้รักษาโรค) “พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังเสียงของพระเจ้าของเจ้า และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการแล้วโรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย เพราะเราคือพระเจ้าแพทย์ของเจ้า” (อพย 15:26)

10. เยโฮวาห์ นิสสิ (Jehovah-nissi=องค์พระผู้เป็นเจ้าคือธงแห่งชัยชนะ) “โมเสสจึงสร้างแทนบูชาเรียกเชื่อว่า “เยโฮวาห์นิสสี กล่าวว่า “พระหัตถ์บนพระบัลลังของพระเจ้า พระองค์จะทรงกระทำสงครามกับอามาเลขต่อไปทุกชั่วชาตพันธุ์” (อพย 17:15)

11. เยโฮวาห์ ชาโลม (Jehovah-shalom=องค์พระผู้เป็นเจ้าคือสันติภาพ) “ฝ่ายกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระเจ้าที่นั่นและเรียกตำบลนั้นว่า พระเจ้าคือสวัสดิภาพ ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์” (วนฉ 6:24)

12. เยโฮวาห์ ราห์ (Jahovah-raah=องค์พระผู้เป็นเจ้าคือผู้เลี้ยงแกะ) “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” (สดด 23:1)

13. เยโฮวาห์ ทสิดเกนู (Jehovaah-tsidken=องค์พระผู้เป็นเจ้าคือความชอบธรรม) “ในสมัยของท่าน ยูดาห์จะหลุดพ้นได้ และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ พระเจ้าเป็นความชอบธรรมของเรา” (ยรม 23:6)

14. เยโฮวาห์ ชามมาห์ (Jahovah-shammah=องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น) “วัดรอบนครนั้นได้หนึ่งหมื่นแปดพันศอก ตั้งแต่นี้ไปนครนี้มีชื่อว่า พระเจ้าสถิตที่นั่น” (อสค 48:35)

15. อโดไน เยโฮวาห์ (Adonai Jehovah=องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ครอบครอง ผู้เป็นพระเจ้า) “อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า (ผู้ครอบครอง) ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์” (ปฐก 15:8)

16. เราเป็นซึ่งเราเป็น (I am who I am) “ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” (อพย 3:13-14) พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิดมานั้นเราเป็นอยู่แล้ว” (ยน 8:58)

17. อัลฟา และโอเมกา (The alpha and the Omega=เบื้องต้นและเบื้องปลาย) “พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า “เราเป็นอัลฟา และโอเมกา” (เบื้องต้นและเบิ้องปลาย) (วว 1:8)

ความหมายของพระเจ้าที่ไม่เป็นบุคคล

ส่วนพระเจ้าที่ไม่เป็นบุคคลนั้น คือ “พระธรรม” หรือ ธรรมะ เนื่องจากพุทธศาสนา ไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าแบบบุคคล แต่ยอมรับว่ามีพระเจ้าที่ไม่ใช่บุคคล ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า:

“ทีนี้ก็มาถึงพระเจ้าโดยชื่อ พระเจ้านี้จะเรียกชื่อว่าอะไร ในภาษาไทยเราเรียกพระเจ้า พระเจ้าของคริสเตียน หรือที่เนื่องจากคริสเตียนก็เรียกว่าพระเยโฮวาห์ (Jehovah) ศาสนาอิสลาม เขาเรียกชื่อพระเจ้าว่า อัลหล่า นี้เขามีชื่อกันทั้งนั้น ในพุทธศาสนาเล่า พระเจ้ามีชื่อว่าอะไร ตรงนี้ต้องขอเวลาอธิบายกันสักหน่อย คือขอให้ย้อนไปพิจารณาจากเรื่องธรรมะ 4 ความหมาย

ความหมายของธรรมะ 4 ประการ

-ธรรมะ คือตัวธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง

-ธรรมะ คือกฎของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง

-ธรรมะ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง และ

-ธรรมะคือผลอันเกิดจากหน้าที่นั้น อีกความหมายหนึ่ง รวมเป็น 4 ความหมาย (และอีกอย่างหนึ่งคือคำสอนของพระพุทธเจ้า=ผู้เขียน)

พระธรรมที่เป็นกฎธรรมชาติคือพระเจ้า

แล้วพระธรรมในความหมายที่ 2 คือกฎของธรรมชาตินั่นเองเป็นชื่อของพระเจ้า ถ้าจะเรียกกันสั้น ๆ เราก็ต้องเรียกว่า พระธรรมเป็นชื่อของพระเจ้า

ในพระธรรมตามความหมายที่ 2 ที่เรากำลังพูดถึง คือกฎของธรรมชาติ จะใช้คำว่ากฎของธรรมชาติเป็นชื่อของพระเจ้ามันก็รุ่มร่าม แต่ที่ถูกมันเป็นอย่างนั้น ธรรมะหรือพระธรรมในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ นั้นแหละคือพระเจ้า ตามความหมายทางพุทธศาสนา

พระธรรมเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้า

พระธรรมในลักษณะนี้ เป็นที่เคารพ แม้แต่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้นมาเองว่า ตถาคตจะอยู่โดยมีที่เคารพ และธรรมะที่ตรัสรู้และนำมาสอนนั่นแหละเป็นที่เคารพของตถาคต สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาสอนอันลึกซึ้ง ก็คือความจริงของธรรมชาติ ซึ่งเราเรียกกันว่า สัจธรรม ฉะนั้นสัจธรรมจะเป็นชื่อของพระเจ้าในความหมายนี้ก็ได้ แต่อาตมาชอบคำว่าพระธรรมเฉยๆ หรือธรรมเฉยๆ เป็นชื่อของพระเจ้า ที่เราจะมีกันในหมู่พุทธบริษัท พูดง่ายๆ ก็ว่าพุทธบริษัทมีพระเจ้า แล้วก็เรียกว่าพระธรรม

พระธรรมรวมอยู่ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วย

บางคนอาจจะสงสัยว่าก็เป็นพระธรรมที่รวมอยู่ในชุดพระรัตนตรัยสามอย่าง คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นหรือย่างไร ก็อยากจะบอกว่า พระธรรมที่นี่ มีความหมายไกลขึ้นไปถึงกฎของธรรมชาติอันสูงสุด และก็รวมคำว่า พระธรรมในพระรัตนตรัยเข้าไว้ด้วย หลักพระธรรมก็ดี การปฏิบัติก็ดี ก็รวมอยู่ในคำว่าธรรม หรือพระธรรมในความหมายอันสูงสุดนั้น

ทีนี้จะชี้ให้เห็นชัดลงไปอีกว่า ธรรมในที่นี่หมายถึงธรรมเรื่องอะไร พระธรรมในความหมายอย่างไร ในเรื่องอะไร โดยเฉพาะเจาะจงขึ้นไปอีก ทีนี้มันก็จะกลายเป็นเรื่องของผู้คงแก่เรียน คนทั่วๆ ไปจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ เว้นไว้แต่จะพยายามฟังหรือศึกษา

พระธรรมมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า

เราเคยบรรยายเรื่องอิทัปปัจจยตา อ้างพระพุทธภาษิตมาเห็นชัดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ตถาคตทั้งหลายนะ ในลักษณะเป็นพหูพจน์ คือมาก ตถาคตทั้งหลายจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้วในฐานะเป็นธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา ธรรมธาตุนั้นเป็นตถา คือมีความเป็นอย่างนั้น ธรรมธาตุนั้นเป็นอวิตถตา ธรรมธาตุนั้นมีความไม่เป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้น นี่คือชื่อของพระเจ้า หรือจะถือว่าเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าสำคัญอยู่ตรงที่คำว่าตถา คำว่าตถาแปลว่าอย่างนั้น ผู้ใดถึงตถา ผู้นั้นเรียกว่าตถาคต ถึงตถาก็คือถึงพระเจ้าที่พูดอย่างสมมติ ไม่ผิดจากความเป็นอย่างนั้น เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมดา เป็นการตั้งอยู่ตามธรรมดา

ความหมายของคำว่าตถา

ตถา ความเป็นอย่างนั้น ในทางพระพุทธศาสนาเล็งถึงเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง คือกฎอันเกี่ยวกับอริยสัจโดยตรง นี้เราไม่ต้องเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองว่า ตถามีอยู่ 4 อย่าง คือ

-ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่คือ ตถา กฎเกี่ยวกับ 4 อย่างนี้เรียกว่า ตถา นี่คือตัวสัจจะที่เป็นพระเจ้า แล้วก็กฎเรื่อง

-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ก็เป็นตถา แล้วก็กฎเรื่อง

-ปฎิจจสมุปบาททั้งชุดที่ก็เป็นตถา แต่มักจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อิทัปปัจจยตา จะเรียกว่าตถาก็ได้ จะเรียกว่าตถตาก็ได้ จะเรียกว่า อวิตถตาก็ได้ เรียกว่าอนัญญาถตาก็ได้ เรียกว่า ธัมมัฏฐิตตาก็ได้ ธัมมนิยามตาก็ได้ ใจความมันเหมือนกันหมด คือความเป็นอย่างนั้น ตั้งอยู่โดยความเป็นอย่างนั้น คือจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้

ข้อเปรียบเทียบระหว่างพระเจ้าแบบบุคคลและพระเจ้าที่ไม่ใช่บุคคล

นี่คือตัวกฎของธรรมชาติ ที่เป็นความหมายของคำว่า ธรรมะ ในความหมายที่ 2 เรียกว่ากฎของธรรมชาติ นี่คือตัวพระเจ้าในพุทธศาสนา ทีนี้มันจะเป็นบุคคลไม่ได้ จะเป็นบุคคล มีลักษณะอย่างบุคคล เหมือนพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ศาสนายิว คริสต์ อิสลามไม่ได้ เพราะว่าเรามีพระเจ้าอย่างแบบที่ไม่ใช่คน แล้วทำไมไม่เรียกพระเจ้า ก็เพราะมีคุณสมบัติ มีลักษณะ มีสมรรถนะ มีอะไรทุกอย่างเหมือนกับพระเจ้าชนิดที่เขาเรียกกันอย่างคน

พระเจ้าอย่างบุคคลเป็นปฐมเหตุทุกสิ่งในสากลจักรวาล เราก็มีพระเจ้าตถานี่แหละเป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งในสากลจักรวาล

-เขาว่าพระเจ้าสร้างโลก

-เราว่ากฎตถาหรือตถตานั่นแหละสร้างโลก

-เขาว่าพระเจ้าควบคุมโลกเพิกถอนโลก

-เราก็ว่ากฎตถานั่นแหละควบคุมโลกและเพิกถอนโลก

-เขาว่าพระเจ้าอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งเป็น Omnipotent พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด

-เราก็ว่ากฎตถตานี่แหละมันใหญ่กว่าสิ่งใด

-พระเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง

-กฎของธรรมชาติอยู่ในทุกสิ่งทุกแห่ง

ในทุกปรมาณูของสิ่งทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก เป็นมนุษย์ก็ได้ ไม่ใช่เป็นมนุษย์ก็ได้ นี่ฟังดูให้ดีๆ ว่า แม้ในปรมาณูหนึ่งๆ ของร่างกายคนที่ประกอบเป็นมนุษย์นี้ก็มีพระเจ้า

จริงอยู่พวกโน้นเขาก็ว่าอย่างนี้ แม้เราก็กล่าวได้อย่างนี้โดยไม่มีข้อที่คัดค้านได้

-เขาว่าพระเจ้านี่รู้ทุกสิ่ง หมายความว่าความรู้ต่างๆ มันรวมอยู่ในสิ่งที่พระเจ้ารู้และบันดาลได้ทั้งนั้น

-เราก็มีพระเจ้า มีสิ่งที่ทำได้อย่างนั้น เราจึงมีพระเจ้า แต่ไม่ใช่อย่างคน

รวมความว่าพุทธบริษัทมีพระเจ้า แต่ไม่ใช่อย่างคน ไม่ควรจะเรียกว่าคน ก็เรียกว่าตัวธรรมชาติที่เป็นกฎ ก็คือกฎของธรรมชาติ

ความสอดคล้องของคำว่า กฎ และ God

ทีนี้คำว่า กฎนั้นมันมีอยู่ในภาษาไทย ภาษาบาลีไม่มีใช้ แต่บังเอิญมันมีในภาษาไทย ก็ใช้คำว่ากฎของธรรมชาติ นี่คือพระเจ้า แล้วบังเอิญไปเหมาะกันเข้ากับคำว่า God ของภาษาฝรั่ง ก็ถือว่าไอ้คำว่า กฎนั้นคือ God ของเราจะเข้มข้นกว่าเสียอีก ของเขามันออกเสียยาวเป็น God ของเราทำให้เข้มให้สั้นเข้ามาเป็นกฎ เรามีพระเจ้าที่เข้มข้นกว่าเสียอีก คือคำกฎ

ท่านทั้งหลายจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจอาตมาก็ยังลังเลอยู่เหมือนกัน ขอสรุปความว่า ลักษณะทั้งหลายที่มีอยู่ในพระเจ้าของฝ่ายที่มีพระเจ้าเป็นบุคคลนั้น เราก็มีสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ในความหมายที่เป็นตถตา ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นพระเจ้า คือมีคุณสมบัติมีอะไรเท่าเทียมกัน เพียงแต่เขากล่าวอย่างเป็นคน เราจะกล่าวอย่างเป็นธรรม คือมิใช่คน

พุทธศาสนาก็มีพระเจ้าเหมือนกัน

นี่เป็นเหตุให้กล่าวได้ว่าพุทธบริษัทหรือพุทธศาสนาก็มีพระเจ้า ถ้าพูดว่าไม่มี ก็เพราะว่าเราโง่ไปเอง มันไม่มีปัญญาจะมีกับเขา ถ้าเรามีปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดู เราก็จะเห็นว่า เรามีเหมือนกับที่เขามี แต่เราไม่ยอมถือว่าเป็นบุคคล หรือเป็นพระเจ้าอย่างบุคคล

การที่เขาจัดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า มันถูกครึ่งเดียวเท่านั้น คือมันไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล แต่มันมีพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคล แล้วเลยแบ่งพระเจ้าออกเป็น 2 ชนิด คือ

-พระเจ้าอย่างบุคคล เป็น Personal God

-พระเจ้าที่มิใช่บุคคล เป็น Impersonal God

พระเจ้าก็เลยมีขึ้นมาเป็น 2 ชนิด เราก็มีกับเขาชนิดหนึ่ง พวกอื่นก็มีอีกชนิดหนึ่ง ฉะนั้นเราก็มาเป็นเพื่อนกันได้มาเป็นเกลอกันได้ คือมีพระเจ้าด้วยกัน แล้วเราก็ไม่ทะเลาะวิวาทกันในเรื่องที่มีพระเจ้าคนละรูปแบบ คือของเราไม่ใช่บุคคล

ศาสนาคริสเตียนออกจะได้เปรียบ เพราะเขาทำให้พระเจ้ามีถึง 3 ส่วน คือพระบิดา พระจิต (เป็นภาษาเฉพาะของคาทอลิก ส่วนโปรเตสแตนท์ ใช้ว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์”=ผู้เขียน) และพระบุตร พระบิดานั้นก็มีลักษณะอย่างคน พระบุตรก็มีลักษณะอย่างคน แต่พระจิตนั้น เขาเรียกว่า Holy Spirit ไม่ใช่คน เป็นวิญญาณ

ถ้าเรียกว่าเป็นผี เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา เราจะไม่ใช้คำว่าเป็นผี เรียกว่าพระจิต หรือพระวิญญาณตามที่น่าฟังสักหน่อย นี่ศาสนาคริสเตียนมีพระเจ้าทั้งชนิดที่เป็นบุคคล และมิใช่บุคคล จึงได้เปรียบที่จะพูดให้มันครอบคลุมไปหมดได้

นี่พุทธบริษัทมีพระเจ้าอย่างนี้กันเสียที บางคนอาจจะคิดว่า นี่เพื่อจะไปต่อรองกับพวกที่มีพระเจ้า เพื่อเอาอกเอาใจเขาหรืออย่างไร ก็บอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างยิ่ง จริงโดยเด็ดขาด ที่มันมีอยู่อย่างนี้ คือเรามีธรรมะในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่เหมือนกับพระเจ้าในศาสนาทั้งหลาย เขาทำกันได้อย่างไร เราก็ทำกันได้อย่างนั้น

ชื่อของพระเจ้าในศาสนาพุทธ

ฉะนั้นให้ยุติว่าเรามีพระเจ้าตามแบบของชาวพุทธ เป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลายสิ่งทั้งปวง ตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยอะไร อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อถามว่าพระเจ้าของฝ่ายพุทธศาสนาชื่ออะไร ที่จะไปเข้าแถวกับคำว่าพระยะโฮวา พระอัลเลาะห์ พระอิศวร พระพรหมอะไรได้ ก็ใช้คำว่า ตถา หรือ ตถตา นี่จะพอสู้กันได้

ตามที่ได้ฟังมาคำว่าเยโฮวาห์ (Jehovah) ก็แปลว่าตถาเหมือนกัน คือตั้งอยู่โดยความเป็นอย่างนั้น พระเยโฮวาห์คำนี้แปลว่า ผู้ที่ตั้งอยู่โดยความเป็นอย่างนั้น (I am who I am) หรือบางทีก็ผู้ที่มีอยู่ หรือสิ่งที่มีอยู่อย่างเป็นปัจจุบันอันไม่มีที่สิ้นสุด” (พุทธ-คริสต์ ในทัศนะท่านพุทธทาส หน้า 33-68))

ดังนั้น เราจะเห็นว่า พระเจ้ามีอยู่สองแบบ นั่นคือ พระเจ้าแบบบุคคล และพระเจ้าที่ไม่ใช่บุคคล พระเจ้าแบบบุคคลนี่แหละเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในนามของกฎธรรมชาติตามที่ผู้เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าแบบบุคคล ซึ่งพระองค์ได้ลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เป็นพระเยซูคริสต์เจ้า ดังที่เราจะได้เรียนในตอนต่อไป

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2012 เวลา 10:00 น.


 

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:42 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?