2.พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า (Jesus Christ is God.)
พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า (Jesus Christ is God.)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2012 เวลา 14:00 น.
ในบทเรียนที่แล้วมา เราได้เรียนแล้วว่า พระเจ้ามีอยู่สองแบบ คือพระเจ้าแบบบุคคล (Personal God) และพระเจ้าที่ไม่เป็นบุคคล (Impersonal God) ในบทต่อไปนี้เราจะได้เรียนเกี่ยวกับว่า พระเจ้าผู้เป็นบุคคล และไม่เป็นบุคคลนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงพระนามว่า พระเยซูคริสต์เจ้า (Jesus Christ)
พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า
พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ประกาศและยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่เป็นบุคคล ดังที่ยอห์น กล่าวว่า “และเราทั้งหลายรู้ว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานสติปัญญาให้เรา เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้าแท้ และเราอยู่ในพระเจ้าแท้นั้น โดยอยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (1 ยน 5:20) ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง และมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน
เปาโลกล่าวอีกว่า “ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้าแต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป 2:5-8)
คำว่า “สภาพของพระเจ้า” แปลมาจากภาษากรีกว่า “มอร์ฟี” (Morphe) มีความหมายว่า แก่นสารสาระสำคัญ ธรรมชาติ เลือดเนื้อที่เป็นตัวจริง บุคลิกลักษณะที่เป็นมาโดยธรรมชาติ และ คุณภาพ
จากข้อความของเปาโลนี้ เราจะเห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และมีสิทธิอำนาจครอบครองความเป็นพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้สร้าง ทรงมีชีวิตอยู่ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้มีบุญ ดำรงอยู่อย่างไม่รู้สิ้นสุด และเป็นอมตะ มั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลง มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน ทรงเป็นสัพพัญญูคือรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเป็นความดี เป็นพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์แปลว่า “ความรัก”) และเป็นความจริง
พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มีสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์
-เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ (คส 2:9)
-ในปฐมกาลพระธรรมดำรงอยู่ และพระธรรมนั้นทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระธรรมทรงเป็นพระเจ้า (ยน 1:1) พระธรรมในที่นี้ เป็นพระเจ้าที่ไม่ใช่บุคคล และพระองค์ได้มาเป็นบุคคล ใน ยอห์น 1:12 ที่กล่วว่า “พระธรรม (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวาทะ”) ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา”
ในพระคัมภีร์เดิมก็ได้มีการทำนายถึงพระองค์ และบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นผู้ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
-ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” (อสย 9:6)
-เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิดหญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง เขาจะเรียกนามท่านว่า “อิมมานุเอล” (Immanuel) (อสย 7:14)
เมื่อพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ทูตสวรรค์ได้แจ้งแก่โยเซฟตามคำทำนายที่ปรากฏในหนังสืออิสยาห์ว่า “ดูเถิดหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานุเอล” ((Immanuel= แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) (มธ 1:23)
เมื่อพระองค์ตรัสกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร และโมเสสถามพระองค์ว่า เป็นใคร ชื่ออะไร พระองค์ตรัสกับโมเสส “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า “เราเป็น” (I AM WHO I AM) ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” (อพย 3:14)
และในหนังสือสดุดี พระเจ้าตรัสกับพระองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งข้างขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า” (สดด 110:1) ผู้ที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และนั่งข้างขวาของพระเจ้านั้นคือพระเยซูคริสต์เจ้า
ส่วนในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะหนังสือยอห์นและหนังสือสือวิวรณ์ กล่าวไว้ว่า
-พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราดำรงอยู่ก่อน (I AM) อับราฮัมเกิด” (ยน 8:58)
-เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยน 10:30)
-พระเจ้าทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดได้ตรัสว่า เราเป็นอัลฟา (Alpha) และโอเมกา (Omega)” (วว 1:8)
-เราเป็นอัลฟา (Alpha) และโอเมกา (Omega) เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนต์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม เราคือเยซูผู้ใช้ทูตสวรรค์ของเราไปเป็นพยานสำแดงเหตุการณ์เหล่านี้แก่ท่านเพื่อคริสตจักรทั้งหลาย เราเป็นเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส” (วว 22:13-16)
ส่วนในหนังสือกิจการและจดหมายฝาก เปโตรและเปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เราต้องยอมรับว่าข้อล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรานั้นยิ่งใหญ่มาก คือว่า พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระธรรมได้ทรงพิสูจน์แล้ว หมู่ทูตสวรรค์ก็เห็น และมีผู้ประกาศแก่ประชาชาติ มีชาวโลกเชื่อถือพระองค์ และพระองค์เสด็จขึ้นรับสง่าราศี” (1 ทธ 3:16)
-เรื่องที่พระองค์ได้ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอลคือทรงประกาศข่าวดีเรื่องสันติภาพโดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง (กจ 10:36)
พระเยซูคริสต์คือพระผู้สร้าง
นอกจากพระองค์จะเป็นพระเจ้าแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้สร้างอีกด้วย เพราะในหนังสือพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่เฉพาะพระเจ้าพระบิดา (พระเจ้าที่เป็นบุคคล) และพระธรรม (พระเจ้าที่ไม่เป็นบุคคล=พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวิญญาณ”) เท่านั้นที่เป็นผู้เนรมิตสร้าง แต่พระเยซูก็เป็นผู้เนรมิตสร้างเช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จ และพระองค์เป็นพระธรรมของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าจักรวาล
ในแง่ที่พระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่เป็นบุคคลนั้น พระองค์เป็นพระธรรม อยู่กับพระเจ้า เป็นพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล ดังที่ยอห์นกล่าวไว้ว่า “ในปฐมกาลพระธรรม (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวาทะ”) ดำรงอยู่และพระธรรมทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระธรรมทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระธรรม” (ยน 1:1-3)
และเปาโลก็กล่าวไว้ว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก (คส 1:16) เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอสง่าราศีจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์...สาธุ” (รม 11:36)
ในการที่ได้มาเป็นผู้รับใช้พระเจ้านั้น เปาโลกล่าวว่า พระเจ้าทรงโปรดประทานพระคุณนี้แก่ท่านผู้เป็นคนเล็กน้อยกว่าคนเล็กน้อยที่สุดในพวกวิมุตติชน (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ธรรมิกชน”) ทั้งหมด ทรงให้ท่านประกาศแก่คนต่างชาติถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์อันหาที่สุดมิได้ และทั้งให้คนทั้งปวงเห็นแผนงานแห่งความล้ำลึก ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกทรงปิดบังไว้ที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสารพัดทั้งปวง (อฟ 3:8-9)
ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางคนทรงของพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 และฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “ผู้เผยพระวจนะ” “ศาสดาพยากรณ์”) แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก” (ฮบ 1:1-2)
แต่สำหรับพวกเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือ พระบิดา และสิ่งสารพัดทั้งปวงเกิดขึ้นจากพระองค์ และเราเป็นมาเพื่อพระองค์ และเรามีพระเยซูคริสต์เจ้าองค์เดียว และสิ่งสารพัดก็เกิดขึ้นโดยพระองค์ และเราก็เป็นมาโดยพระองค์ (1 คร 8:6)
ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน (ปฐก 1:1)
ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา (สดด 148:5)
เราจะใส่ใจในถิ่นทุรกันดารซึ่งต้นสนสีดาร์ ต้นกระถินเทศ ต้นน้ำมันเขียว และมะกอกเทศ เราจะวางไว้ในทะเลทรายซึ่งต้นสนสามใบ ทั้งต้นสนเขาและต้นช้องรำพันด้วยกัน เพื่อคนจะได้เห็นและทราบ เขาจะใคร่ครวญและเข้าด้วยกัน ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลได้สร้างสิ่งนี้ (อสย 41:19-20)
องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมัครที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์ (วว 4:11)
กล่าวโดยสรุปคือ พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และพระองค์เป็นผู้สร้าง พระองค์เป็นพระเจ้าอยู่กับพระบิดา หรือพระเยโฮวาห์ หรือ ตถตา และพระองค์เป็นพระธรรม หรือพระวิญญาณ ผู้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย และเพื่อช่วยไถ่บาปให้แก่เราทั้งหลาย
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2012 เวลา 10:10 น.
แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:43 น.)