gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

4.พระเยซูเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?

พระเยซูเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?

(Is only Jesus the way goes to heaven?)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2012 เวลา 11:35 น.


ทุกศาสนาในโลกนี้ ต่างก็สอนว่า ถ้าอยากไปสวรรค์ ก็ต้องทำดี ละเว้นความชั่ว เมื่อฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่า แต่ละศาสนาก็มีสวรรค์ของตัวเอง ถือศาสนาพุทธก็ต้องไปสวรรค์ของศาสนาพุทธ ถือศาสนาคริสต์ ก็ต้องไปสวรรค์ของศาสนาคริสต์ ถือศาสนาอิสลามก็ต้องไปสวรรค์ของศาสนาอิสลาม ถือศาสนาฮินดู ก็ต้องไปสวรรค์ของศาสนาฮินดู ไม่เกี่ยวข้องกัน

ความจริงแล้ว สวรรค์มีอยู่แห่งเดียว คือที่อยู่ของพระเจ้า เป็นของพระเจ้า ไปสวรรค์ก็หมายความว่าไปอยู่กับพระเจ้า ถือศาสนาอะไรก็ตาม จะต้องไปสวรรค์ หรือตกนรกในที่เดียวกัน เพราะแต่ละศาสนาต่างก็มีสวรรค์ และนรกร่วมกัน ดังนั้นจึงมีคำถามว่า ถ้าเช่นนั้น สวรรค์เป็นของศาสนาไหน คำตอบก็คือ ไม่ได้เป็นของศาสนาไหน แต่เป็นของทุกคน เป็นสากล เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ และหนทางที่จะไปสู่สวรรค์นั้นคือพระเยซู

พระองค์เป็นหนทางเดียวไปสู่สวรรค์ เป็นหนทางเดียวที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น (เป็นมรรค) เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดา (สวรรค์) ได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน 14:6)

ส่วนพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ทางหลุดพ้น พระองค์ทรงเป็น “บรมครู” เป็นผู้ชี้ทางหลุดพ้น พระองค์เองไม่ใช่ทางหลุดพ้น ธรรมะแห่งการหลุดพ้นของพระองค์คือ “อริยสัจ 4 ได้แก่ความจริงสี่ประการคือ การมีอยู่ของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และ หนทางไปสู่การดับทุกข์ ความจริงเหล่านี้เรียกว่า อริยสัจ 4

1. ทุกข์ คือ การมีอยู่ของทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความกลัวและความผิดหวังล้วนเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของที่รักก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในขันธ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นทุกข์ พูดง่ายๆคือ ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ถ้าจะพูดแบบคริสต์ก็คือ ชีวิตนี้มีบาปกำเนิดสิงอยู่

2. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) ผู้คนจึงไม่สามารถเห็นความจริงของชีวิต พวกเขาตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่ง กิเลส ราคะ ตัณหา ความโลภ โกรธ หลง อิจฉาริษยา เศร้าโศก วิตกกังวล ความกลัว และความผิดหวัง ฯลฯ

3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ การเข้าใจความจริงของชีวิตนำไปสู่การดับความเศร้า โศกทั้งมวล อันยังให้เกิดความสงบและความเบิกบาน การดับทุกข์นี้ต้องดับด้วยตนเอง ไม่มีใครมาดับให้ ไม่เหมือนกับศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียว ที่มีพระเยซูมาเป็นผู้ดับทุกข์ให้

4. มรรค คือ หนทางนำไปสู่การดับทุกข์ อันได้แก่ อริยมรรค 8 ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยการดำรงชีวิตอย่างมีสติ ความมีสตินำไปสู่สมาธิและปัญญาซึ่งจะปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์และความโศกเศร้าทั้งมวลอันจะนำไปสู่ความสันติ และความเบิกบาน พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตานำทางพวกเราไปตามหนทางแห่งความรู้แจ้งนี้คือ มรรค 8

คำว่ามรรค แปลว่าทาง ในที่นี้หมายถึงทางเดินของใจ เป็นการเดินจากความทุกข์ไปสู่ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งมนุษย์หลงยึดถือ และประกอบขึ้นใส่ตนด้วยอำนาจของอวิชชา (ความไม่รู้) มรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่างดุจเชือกฟั่นแปดเกลียว องค์แปดคือ

1. สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกต้อง

2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง

3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง

4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง

5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง

6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง

7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง

8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง

นี่คือหลักคำสอนว่าด้วย “การหลุดพ้น” ของพระพุทธองค์ ถ้าทำได้ตามนี้ ก็จะหลุดพ้นจากกิเลส ราคะ ตัณหา จะพ้นทุกข์ได้

แต่หนทางหลุดพ้น หนทางที่จะไปสู่สวรรค์ ไปสู่นิพพานของพระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำความดี ไม่ใช่การนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่การยอมตัวเป็นนักบวช ไม่ใช่การรักษาศีลห้า (หรือศีลอื่นๆ อย่างเคร่งครัด) ไมได้ขึ้นอยู่กับการถือมรรค 8 หรือไม่ใช่การกระทำดีทุกอย่างของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม (ไม่ได้หมายความว่า การกระทำสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้อง)

ถ้าเช่นนั้น ทางหลุดพ้นขึ้นอยู่กับอะไร คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้ามีใครบอกว่า “ฉันเป็นคนดี ฉันก็ไปสวรรค์ได้” หรือ “แม้ว่าฉันจะทำไม่ดีบ้าง แต่ฉันก็ทำความดีมากกว่า ฉันก็ไปสวรรค์ได้” หรือ “พระเจ้าคงไม่ส่งฉันไปลงนรก เพียงเพราะฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบพระคัมภีร์หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว” หรือ “เฉพาะคนที่เลวจริงๆ อย่างคนที่ข่มขืนเด็ก และพวกฆาตกรเท่านั้นแหละ ที่จะต้องลงนรก”

คำกล่าวข้างต้นนี้ เป็นคำอ้างของคนส่วนใหญ่ที่มีความเชื่อว่า “การทำดีได้ไปสวรรค์” “การทำชั่วได้ไปนรก” แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น “ทำดีไม่ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรกอย่างแน่นอน” เมื่อเราได้ยินเช่นนี้ เราก็จะต้องถามว่า “อ้าว ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะ ทำไมทำดีไม่ได้ไปสวรรค์

เหตุที่ไม่ได้ไปสวรรค์ ก็เป็นเพราะว่า หนทางไปสู่สวรรค์ ไม่ใช่การทำดี แต่เป็นการพึ่งพาอาศัยในพระเจ้า เปรียบเหมือนกับเราจะเดินทางไปสู่ประเทศอเมริกา การเดินทางด้วยเท้าก็จะไปถึงประเทศอเมริกาได้ แต่กว่าจะไปถึง เราอาจจะตายก่อน เพราะชีวิตของเราไม่ยืนยาวมากนัก หรือเราอาจจะตายเพราะมีสัตว์ป่าที่เป็นอันตรายมาทำลายชีวิตเรา หรือเราอาจจะตายเพราะเหตุอื่นๆในระหว่างทาง

ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะไปถึงประเทศอเมริกาด้วยการเดินด้วยเท้า (ซึ่งเปรียบเสมือนการพึ่งตนเองเพื่อจะไปสวรรค์) แต่มีหนทางลัด นั่นคือการเดินทางด้วยเครื่องบิน เราก็จะถึงประเทศอเมริกาได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก

การไปสู่สวรรค์ก็เหมือนกัน ทำตามมรรค 8 การทำความดี ถือศาสนาอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้เราไปสู่สวรรค์ได้เช่นกัน ถ้าเราทำได้อย่างครบถ้วน และทำได้ก่อนที่เราจะเสียชีวิต ปัญหาคือเราไม่สามารถทำตามได้พอที่จะหลุดพ้น พระเจ้าจึงได้ให้พระเยซู มาเป็น “ยานพาหนะ” (เปรียบเหมือนเครื่องบิน) ที่จะนำเราไปสู่สวรรค์ ใครก็ตามที่คิดและเชื่อว่า ตนเองไม่สามารถไปสวรรค์ด้วยการกระทำของตนเอง (เหมือนกับเดินด้วยเท้าไปประเทศอเมริกา) ก็ให้มาเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ (เหมือนกับขึ้นเครื่องบินที่จะไปสู่ประเทศอเมริกา) แล้วพระองค์จะนำไปสู่สวรรค์ได้ทันที เหมือนเครื่องบินนำเราไปสู่ทวีปอเมริกา

มนุษย์เรามีอหังการ ไม่อยากพึ่งพาอาศัยใคร ไปสวรรค์ก็อยากจะไปด้วยความสามารถของตนเอง ทั้งๆที่รู้ว่าไปไม่ได้ ก็หลอกลวงตัวเองว่า “น่า...ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยๆ เราก็ทำดีมากกว่าทำชั่ว พระเจ้าคงให้เราไปสวรรค์แน่ๆ” แต่การคิดเช่นนั้นเป็นการคิดผิด เป็นการหลอกลวงตัวเอง เป็นการคิดเข้าข้างตนเอง การจะไปสวรรค์ได้นั้น ไม่ใช่การกระทำของเรา แต่เป็นการกระทำของพระเจ้า

มารซาตานได้ฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวพวกเรา หลอกลวงเรา ถ้าเราเชื่อฟังคำของซาตานและเดินตามทางของมัน เราก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เปโตรได้เตือนพวกเราไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นคนใจหนักแน่น จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือพญามาร วนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงโตคำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ (1 ปต 5:8)

และซาตานมักจะหลอกลวงให้เราเห็นว่า เราเป็นคนดี มีความสามารถพอที่จะทำความหลุดพ้นได้เอง มันมักจะปลอมตัวเป็นคนดีเข้ามาเพื่อชักชวนให้เราติดตามมันไป บางทีมันอาจจะปลอมตัวมาเป็นผู้ชี้หนทางไปสู่สวรรค์ ชักชวนคนทั้งหลายว่า ไปสวรรค์ต้องไปทางนี้นะ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “การกระทำเช่นนั้นไม่แปลกประหลาดเลย ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่างได้” (2 คร 11:14)

ถ้าเราไม่รู้ทันว่ามันควบคุมทุกความคิดของคนในโลกนี้ เราก็จะตกเป็นลูกน้องของมัน และทำตามความต้องการของมัน เพราะมันเป็นเทพเจ้าของโลกแห่งความชั่วร้าย มันได้ปิดบังจิตใจของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าให้มืดไป ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้ความสว่างแห่งบารมีของพระเจ้าอันมีสง่าราศีของพระคริสต์ ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา (2 คร 4:4)

ดังนั้น เราจะต้องรู้ทันเล่ห์กลของซาตาน และรู้ความจริงว่า พระเจ้าไม่ละเลยความบาปเล็กๆ น้อยๆหรอก และนรกนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับ “คนเลว” เท่านั้น นรกมีไว้สำหรับคนทำดี (ที่ไม่เต็มร้อย) ด้วย เพราะคนเลวเป็นคนบาป คนทำดี (บ้างทำชั่วบ้าง) เป็นคนบาป นักบวชเป็นคนบาป (ใครก็ตามที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนเป็นคนบาป) ความบาปทุกชนิด (ของคนทุกประเภท) เป็นสิ่งที่แยกเขาออกจากพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีใครดีพอที่จะเข้าสวรรค์ด้วยตัวเองได้ ตามที่พระคำของพระองค์กล่าวไว้ว่า “เหตุว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า” (รม 3:23)

ด้วยเหตุดังกล่าว การเข้าสู่สวรรค์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำดีของคนเรา แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้าในพระเยซู โดยทางพระคุณของพระองค์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “แต่ถ้าได้รับความหลุดพ้นโดยทางพระคุณของพระเจ้า ก็หาได้เป็นเพราะทางการประพฤติไม่ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป (รม 11:6)

ความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้านี้ได้มาเปล่าๆ พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระองค์ประทานให้แก่ทุกคน ประทานให้แก่คนดี ประทานให้แก่คนชั่ว ประทานให้แก่นักบวช หรือประทานให้แม้กระทั่งผู้ที่ไม่สมควรที่จะได้รับ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้หลุดพ้น มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระธรรมของพระองค์” (ทต 3:5)

คนเราไม่มีใครสามารถจะทำการดีเพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ทางไปสู่สวรรค์นั้น คือพระเยซูคริสต์ และเป็นหนทางที่คับแคบและยุ่งยาก ผู้ที่จะไปต้องเข้าสู่ประตูคับแคบ ดังที่พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” (มธ 7:13)

ผู้ที่จะเข้าสู่สวรรค์นี้ จะต้องละทิ้งตัวกูของกู และแบกกางเขนติดตามพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นละทิ้งตัวกู-ของกู (พระคัมภีร์ฉบับปี 1971 แปลว่า “เอาชนะตัวเอง” พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “ปฏิเสธตนเอง”) และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มก 8:34)

มนุษย์ทุกคนมีชีวิตอยู่ในความบาป ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากบาป จำเป็นจะต้องละทิ้งตัวกู-ของกู แล้วเชื่อในพระเจ้า การเชื่อและวางใจในพระเจ้านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้อื่นจะทำแทนได้ เราจะต้องเชื่อเอง เราจะต้องพึ่งตนเอง (ในแง่นี้) เมื่อเชื่อแล้วเราจะหลุดพ้น เข้าสู่สวรรค์ได้ เพราะการหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ

เพราะพระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นบุตรแห่งพระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น แต่พระเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ)” (อฟ 2:3-5)

เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา พระองค์ให้เขาดำเนินชีวิตอย่างอิสระ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า เขาจะต้องไม่กินผลไม้ที่พระองค์ทรงห้าม แต่เขาก็ฝ่าฝืน เพราะได้รับการล่อลวงจากซาตาน เขาจึงมีความบาป ถูกแยกออกจากพระเจ้า (รวมถึงทุกคนที่สืบเชื้อสายมาจากเขา และพวกเราด้วย) ถูกแยกออกจากความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระเจ้า

เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป เขาจึงไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยตนเอง ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายแต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 6:23)

ด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงได้หาทางใหม่ให้ นั่นคือ “พระคุณ” โดย “พระสัญญา” พระองค์เลือกสรรอับราฮัมว่า จะให้มีผู้มาเกิดในเชื้อสายของเขา เพื่อจะมาเป็นผู้ไถ่มนุษย์ให้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ การกระทำของพระเจ้านี้ เป็นเพราะพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระองค์ดังที่ยอห์นกล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้ามีพรหมวิหารสี่ต่อโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 3:16)

การที่พระเยซูเกิดมาในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนพวกเราให้รู้จักทางหลุดพ้นนั้น (เหมือนกับพระพุทธองค์) แต่พระองค์มาเป็นทางหลุดพ้น มาเป็นผู้ไถ่บาป โดยตายไถ่บาปเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากตายด้วย (รม 4:25)

การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์นี่แหละเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ ขอเพียงแต่เราเชื่อในพระองค์เท่านั้นเอง “และนี่แหละคือชีวิตเข้าสู่นิพพาน คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยน 17:3)

เมื่อเรารู้ว่าพระองค์เป็นทางหลุดพ้น เราต้องกลับใจใหม่หันเข้าหาพระองค์ และสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ หันหลังให้กับความบาป และยอมติดตามพระองค์ เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในพระเยซู ทุกสิ่งที่เรามี และทุกอย่างที่เรากระทำ “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน” (รม 3:22)

พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ทางหลุดพ้นด้วยการกระทำของเราเองนั้นเป็นไปไม่ได้ ทางหลุดพ้นนั้นมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือทางของพระเยซูคริสต์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน 14:6)

กล่าวโดยสรุป พระเยซูเป็นทางหลุดพ้นเพียงทางเดียว เพราะพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้หนี้บาปของเราได้ (รม 6:23) ทางหลุดพ้นไม่มีในศาสนาอื่นๆ ในพุทธศาสนานั้น ทางหลุดพ้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะความหลุดพ้นนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของคน ถ้าทำได้ก็จะหลุดพ้น ถ้าทำไม่ได้ก็จะไม่หลุดพ้น ศักยภาพของมนุษย์ไม่สามารถที่จะทำตามคำสอนของพระพุทธองค์พอที่จะหลุดพ้นได้ ในศาสนาคริสต์ก็เช่นกัน ถ้าสอนว่า ความหลุดพ้นขึ้นอยู่กับการประพฤติ หรือการกระทำของมนุษย์ ก็จะไม่แตกต่างจากศาสนาพุทธ และความหลุดพ้นนั้นก็เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นพระเจ้าจึงได้อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำความหลุดพ้นให้ พระองค์มาเกิดเป็นพระเยซู อยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ไปด้วยพระคุณและความจริง (ยน 1:1,14) พระองค์มาตายใช้หนี้บาป พระองค์เป็นความหลุดพ้น “ในผู้อื่นความหลุดพ้นไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ 4:12) สรุปอีกครั้งว่าพระเยซูเท่านั้นที่เป็นหนทางไปสู่สวรรค์ เป็นหนทางไปสู่พระเจ้า ทางอื่นไม่สามารถไปได้ ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2012 เวลา 13:00 น.


 


 

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:43 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?