gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

5.เชื่อพระเจ้าโดยไม่ต้องเป็นคริสเตียน

เชื่อพระเจ้าโดยไม่ต้องเป็นคริสเตียน

(Believe in God, not necessary to be Christian)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2012 เวลา 10:00 น.


ความหมายของคำว่าคริสเตียน

คำว่า “คริสเตียน” เป็นคำที่แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า “Christian” ในภาษาไทยจะเรียกพวกที่เป็นโปรเตสแตนท์ว่า “คริสเตียน” และเรียกพวกคาทอลิกว่า “คริสตัง” มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับเว็บสเตอร์ (Webster) ว่า “คนที่มีความเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ หรือคนที่เชื่อในศาสนาที่มีคำสอนของพระเยซูเป็นหลัก”

คำว่าคริสเตียนนี้ถูกนำมาใช้ในหนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สามครั้ง (กจ 11:26;26:28;1 ปต 4:16) ในการใช้นั้น พวกที่เชื่อในพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ได้เรียกตนเองว่า เป็นคริสเตียน แต่จะเรียกตนเองว่าเป็น “วิมุตติชน” (Saint=คำนี้พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 และฉบับมาตรฐานปี 2011แปลว่า “ธรรมิกชน” ส่วนฉบับที่แปลตาม KJV แปลว่า “วิสุทธิชน”) เหมือนกับผู้ที่เชื่อพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม

คำที่ผู้เชื่อพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์ใหม่เรียกตนเอง

ในขณะที่เกิดชุมชนของพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “คริสตจักร”) ขึ้นใหม่ในหนังสือกิจการนั้น วิมุตติชน หรือผู้ที่เชื่อในพระเยซูเหล่านี้ เรียกตนเองว่าผู้ถือ ทางนั้น (The Way=มรรค) เพราะพระเยซูบอกเองว่า พระองค์เป็นทางนั้น (มรรค) ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน 14:6)

ขณะที่เซาโลข่มเหงพวกที่เชื่อในพระเยซูนั้น ท่านได้ขอหนังสือมอบอำนาจจากสภาศาสนา คือสภาแซนเฮ็ดรินไปยังเมืองดามัสกัส เพื่อจับกุมและนำคนที่ถือ ทางนั้น มาขึ้นศาลศาสนา ดังข้อความที่ปรากฏว่า “ในระหว่างนั้น เซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่า จะฆ่าบรรดาสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงไปหามหาปุโรหิต ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม (กจ 9:1-2)

ต่อมาเซาโลได้กลับใจใหม่เชื่อในพระเยซู และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเปาโล ท่านออกเดินทางไปเผยแพร่บารมีของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว “เปาโลเข้าไปกล่าวโต้แย้งในธรรมศาลาด้วยใจกล้าสิ้นสามเดือน ชักชวนให้เชื่อในสิ่งที่กล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า แต่บางคนมีใจแข็งกระด้างไม่เชื่อและพูดหยาบช้าเรื่อง ทางนั้น ต่อหน้าชุมชน เปาโลจึงแยกไปจากเขาและพาพวกสาวกไปด้วย แล้วท่านได้ไปโต้แย้งกันทุกวันในห้องประชุมของท่านผู้หนึ่งชื่อ ทีรันนัส” (กจ 19:8-9)

ในเมืองเอเฟซัสนี่เอง ได้เกิดเกิดการวุ่นวายขึ้นเพราะเหตุ ทางนั้น (กจ19:23) และเปาโลถูกจับกุม ถูกนำตัวขึ้นศาล ท่านได้กล่าวไว้ว่า “แต่ว่าข้าพเจ้าขอรับต่อหน้าท่านอย่างหนึ่ง คือตาม ทางนั้น ที่เขาถือว่าเป็นลัทธินอกรีต ข้าพเจ้าปฏิบัติพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เชื่อถือคำซึ่งมีเขียนไว้ในคัมภีร์ธรรมบัญญัติ และในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะทั้งหมด” (กจ 24:14) ในที่สุดเฟลิกส์ผู้มีอำนาจในการไต่สวนเรื่องของเปาโลก็ “รู้เรื่องของ ทางนั้น ถี่ถ้วนแล้ว จึงเลื่อนการพิจารณาไว้ก่อนกล่าวว่า “เมื่อลีเซียสนายพันลงมา เราจึงจะชำระความของเจ้า”’ (กจ 24:22)

ที่มาของคำว่า คริสเตียน

แสดงว่าผู้เชื่อในพระเยซูในสมัยที่ชุมชนของพระเจ้าเกิดขึ้นใหม่ๆนั้นไม่เคยเรียกตัวเองว่า “คริสเตียน” เลย ผู้ที่เรียกเขาว่าคริสเตียนเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเยซู และเรียกเป็นครั้งแรกในเมืองอันทิโอก (กจ 11:26) ทั้งนี้เพราะว่าความประพฤติ การกระทำ และ คำพูด ของพวกเขาเหมือนพระคริสต์ และผู้ที่เรียกเขานั้น ก็เรียก แบบดูถูก เหยียดหยาม ล้อเลียน เรียกเสมือนว่าคริสเตียน เป็นตัวตลก เป็นพวกนอกคอก

ต่อมา พวกผู้เชื่อพระเยซูจึงได้เรียกตนเองว่า “คริสเตียน โดยมีความหมายว่า “เป็นหนึ่งในคณะของพระคริสต์” หรือเป็น“ผู้ติดตามหรือสาวกของพระคริสต์” ซึ่งก็คือวามหมายตามคำจำกัดความในพจนานุกรมฉบับเวบสเตอร์นั่นเอง

ความหมายของคำว่าคริสเตียนเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของคำว่า “คริสเตียน” ก็เปลี่ยนไป เพราะคนที่เรียกตัวเองว่า เป็นคริสเตียนนั้น เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากคริสเตียนที่กลับใจเกิดใหม่เชื่อในพระเจ้า แต่ลูกๆหลานๆที่สืบต่อมา ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่ก็เป็น คริสเตียน โดยที่ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เพียงแต่นับถือศาสนาที่เป็นเปลือกนอกของบรรพบุรุษเท่านั้น ทุกสัปดาห์ก็ไปโบสถ์ ทำกิจกรรมทางศาสนาโดยปราศจากความเข้าใจ ในที่สุดก็ถือศาสนาคริสต์ ที่สอนว่า จะต้องทำดี จะต้องประพฤติเพื่อจะได้ความหลุดพ้นจากพระเจ้า

ดังนั้น คำว่า คริสเตียนจึงหมายถึงคนทั่วไปที่นับถือศาสนาคริสต์ อันได้แก่ รูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของคริสตจักรตะวันตก คนเหล่านี้จะไปโบสถ์เป็นประจำทุกสัปดาห์ และเป็นคนดี ทำการช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส นับถือศาสนาอันเป็นรูปแบบ ขนบธรรมเนียมประเพณีของตะวันตกอย่างเคร่งครัด

การกระทำเช่นนั้นเป็นการดี แต่ไม่ได้ไม่ได้ทำให้คนที่ทำนั้นหลุดพ้นได้ และคนเหล่านั้นก็เป็นคริสเตียนที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซู ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้เกิดใหม่ ความหมายของคริสเตียนจึงเปลี่ยนไป แทนที่จะหมายหมายถึงคนที่กลับใจเกิดใหม่เชื่อในพระเจ้า ก็มีความหมายเพียงว่า คนที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น

ดังนั้นการเป็นคริสเตียนไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ ไม่ได้ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งหลุดพ้นได้ คล้ายๆกันกับการไปโรงรถ ไม่ได้ทำให้คนๆ นั้นเป็นรถได้ การไปฟ้งคำเทศนาเป็นประจำ และการร่วมกิจกรรมของคริสตจักรเป็นการดี แต่ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้เลย ผู้ที่จะหลุดพ้นได้คือผู้กลับใจใหม่ เกิดใหม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ผู้ที่เพียงแต่เป็นคริสเตียน หรือนับถือศาสนาคริสต์ที่เป็นรูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของตะวันตกเท่านั้น

ความหมายของคริสเตียนสำหรับคนไทยทั่วไป

คำว่า “คริสเตียน”นี้ เมื่อมาถึงเมืองไทย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า คือผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ อันเป็น รูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของตะวันตกเท่านั้น ศาสนาคริสต์นี้ไม่ใช่ศาสนาของคนไทย เป็นศาสนาของฝรั่งมังค่า คนไทยจึงไม่ประสงค์ที่จะมาเป็นคริสเตียน และคนไทยไม่ชอบเปลี่ยนศาสนา เพราะคิดและเข้าใจว่า “ศาสนา” ของตนเองนั้นดีอยู่แล้ว และคนไทยได้ให้ความหมายของคำว่า “คริสเตียน” เอาไว้ 6 ประการ(เป็นอย่างน้อย) คือ

1. คนที่นับถือศาสนา อันเป็นรูปแบบ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีของคนต่างด้าวท้าวต่างแดน

2. คนที่เป็นลูกน้องฝรั่ง ถ้าเห็นใครก็ตามที่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียน เขามักจะถามว่า ได้เงินเดือนไหม ฝรั่งให้เงินเดือนเท่าไหร่?

3. คนขายชาติขายศาสนา คนไทยมักจะกล่าวว่า ศาสนาของตนเองดีอยู่แล้ว ไปนับถือศาสนาของคนอื่นทำไม สิ่งสำคัญสำหรับคนไทยมีสามอย่างคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ศาสนานั้นหมายถึง “ศาสนาพุทธ” เมื่อเราไปนับถือศาสนาอื่น เขาจึงรู้สึกว่าเราเป็นคนขายชาติขายศาสนา คนไทยทั่วไปมีความเชื่อว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

4. คนที่เป็นโรคเรื้อน ในสมัยแรกๆนั้น คนที่มาเชื่อพระเจ้า เข้าศาสนาคริสต์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนโรคเรื้อน เพราะคนธรรมดาทั่วๆไป จะไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา ไม่มาเชื่อพระเจ้า มิชชั่นนารีในสมัยนั้น จึงทำพันธกิจกับคนโรคเรื้อน และคนโรคเรื้อนส่วนใหญ่ เชื่อในพระเจ้า เข้าศาสนาคริสต์

5. คนที่สืบตระกูลมาจากคนที่เป็น “ผีปอบ” คนอีสานในสมัยก่อน (แม้แต่สมัยปัจจุบัน) มีความเชื่อในเรื่อง ผีปอบ คนที่ชาวบ้าน (ใส่ร้าย) ว่าเป็นผีปอบนี้ จะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ไม่ให้อาศัยอยู่ด้วย คนเหล่านี้จึงไปตั้งหมู่บ้านใหม่ และหันไปเข้าศาสนาคริสต์ นับถือศาสนาคริสต์ (มีทั้งที่เป็นคาทอลิก และโปรเตสแตนท์) คนไทยทั่วไปจึงรังเกียจ ไม่อยากคบหาสมาคมด้วย เพราะคนเหล่านี้เคยเป็นผีปอบ ลูกหลานเกิดมาก ก็เป็นลูกหลานของผีปอบ

6. เป็นผู้ที่ตายแล้วไม่พบพระ (สงฆ์) คนไทยพุทธเข้าใจว่า ผู้ที่บวชเป็นพระ (สงฆ์) เท่านั้นที่เป็นพระ ส่วนคนที่ไม่ได้บวช ก็คือคนธรรมดา โดยไม่ได้คิดว่า “นักบวช” ในศาสนาอื่นๆ ก็มี แต่เขาไม่ได้แต่งตัวตามรูปแบบที่คนไทยเคยพบเห็น ก็ไม่เรียกว่าพระ และไม่เข้าใจว่าเป็นพระ ดังนั้น เมื่อคริสเตียนตาย ก็ไม่เห็นมีพระ (สงฆ์) มาทำพิธีกรรมทางศาสนา เขาจึงถือว่า คริสเตียนตายแล้วไม่พบพระ ไม่มีพระ (สงฆ์) ดังนั้น เขาจึงไม่อยากเป็นคริสเตียน เพราะตายแล้วไม่พบพระ (สงฆ์)

ดังนั้น คำว่า คริสเตียนจึงมีความหมายไม่ดี ไม่เป็นมงคล ไม่เป็นที่ประทับใจของคนไทย เมื่อเราประกาศ “บารมีของพระเจ้า” โดยที่ไม่แยกออกจากการเป็น “คริสเตียน” และการนับถือ “ศาสนาคริสต์” คนจึงไม่ได้ยินสาระสำคัญ เพราะเขาไปติดอยู่กับคำว่า “คริสเตียน” และ “ศาสนาคริสต์” เขาจึงไม่ฟังสาระสำคัญอันเป็นหัวใจแห่งความหลุดพ้นเลย

เราเชื่อพระเจ้าโดยไม่ต้องเป็นคริสเตียนก็ได้

ความจริงแล้ว เราเชื่อพระเจ้าโดยไม่ต้องเป็นคริสเตียนก็ได้ ถามว่าเชื่อพระเจ้า พึ่งอาศัยในพระเยซูโดยไม่เป็นคริสเตียนแล้ว จะเป็นอะไร คำตอบก็คือ เป็น “คนไทยพุทธ” นี่แหละ ไม่ต้องเป็นคริสเตียน ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา แต่เปลี่ยนที่พึ่ง (ทางใจ) จากการที่เคยพึ่งตนเอง (อตฺตาหิ อตฺตาโน นาโถ) หันมาพึ่งพระเจ้าในพระเยซู เมื่อก่อนนั้นพึ่งตนเองเพื่อจะหลุดพ้น แต่ไม่สามารถทำตามคำสั่งสอนของศาสนาพุทธ (เก่า) พอที่จะหลุดพ้นได้ จึงได้หันมาพึ่งพระเยซู ผู้เป็นธรรมะ (ในทุกศาสนา) ผู้เป็นความหลุดพ้น (ของทุกศาสนา) ผู้เป็นทางนั้น (ผู้เป็นมรรคของพระสมณะโคดม) ผู้เป็นพระเจ้า (ของศาสนายูดา ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม) ผู้เป็นความจริง และผู้เป็นชีวิต (ของทุกศาสนา) เปลือกนอก หรือภายนอกก็เป็นคนไทย นับถือรูปแบบ วัฒนธรรม ขบธรรมเนียม ประเพณีของคนไทย (พุทธ) แต่ภายในนั้น เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า

ที่พึ่งของคนที่เป็นพุทธใหม่

คนที่เป็นพุทธใหม่ ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูนี้ คือคนที่หลุดพ้นเพราะพระคุณของพระเจ้าโดยความเชื่อ ดังที่พระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้หลุดพ้น มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระธรรมของพระองค์” (ทต 3:5)

ดังนั้นคนที่เป็นพุทธใหม่ คือ คนที่กลับใจใหม่ เกิดใหม่โดยพระเจ้า ไม่ใช่คนที่เพียงแต่เป็นคริสเตียน ดังที่พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้เกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้...อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องเกิดใหม่” (ยน 3:3,7) “ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้เกิดใหม่ ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่า คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์”  (1 ปต 1:23)

คนที่กลับใจเกิดใหม่เชื่อในพระเจ้านี้ จะได้รับความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้า ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้” (อฟ 2:8)

คนที่กลับใจใหม่ และหันหลังให้กับความบาปของตนเอง และเชื่อพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับความหลุดพ้น โดยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การนับถือศาสนา หรือการมีหลักปฏิบัติ หรือทำสิ่งนั้นได้ ทำสิ่งนั้นไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า

แต่คนที่หลุดพ้นเป็นพุทธใหม่ โดยไม่ต้องเป็นคริสเตียนนี้ คือ คนที่วางใจและเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และ เชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เพื่อทรงรับชัยชนะเหนือความตาย และทรงประทานชีวิตเข้าสู่นิพพานให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ดังที่พระคำบอกเราว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์” (ยน 1:12)

คนที่กลับใจเกิดใหม่เชื่อในพระเจ้า เป็นพุทธใหม่โดยไม่ต้องเป็น “คริสเตียน” นี้เป็นลูกของพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ตราประทับของการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เป็นพุทธใหม่นี้ คือ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ต่อผู้อื่น และ การเชื่อฟ้งพระคำของพระเจ้า

ดังที่พระคำของพระองค์กล่าวไว้ว่า “คนใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์’ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย” (1 ยน 2:4) “ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และไม่มีโอกาสที่จะสะดุดสำหรับผู้นั้นเลย” (1 ยน 2:10)

ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะหลุดพ้น โดยไม่อยากเป็นคริสเตียน ก็ไม่ต้องเป็น เพราะการเป็นคริสเตียนโดยไม่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซู ก็ไม่หลุดพ้นอยู่แล้ว ขอให้คุณกลับใจหันกลับจากความผิดบาป หันกลับมาจากการพึ่งตนเอง มาพึ่งอาศัยวางใจในพระคุณของพระเจ้า แล้วคุณจะได้รับความหลุดพ้น มีชีวิตใหม่ ได้เข้าสู่สวรรค์ ได้มีชีวิตในนิพพาน ได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา และไม่ต้องเป็นคริสเตียนเลย

ขอให้พระเจ้าทรงนำ ให้คุณได้ข้ามอุปสรรค์ และนำคุณให้เกิดใหม่เชื่อในพระคุณของพระเจ้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่มีทางใดที่คุณจะหลุดพ้นได้เลย ความหลุดพ้นมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือการพึ่งอาศัยในพระคุณของพระเจ้า พึ่งอาศัยในการกระทำของพระเยซูผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะความหลุดพ้นนั้นไม่มีอยู่ในผู้อื่นเลย ดังที่พระคำของพระองค์กล่าวไว้ว่า “ในผู้อื่นความหลุดพ้นไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เป็นทั้งหลายหลุดพ้นนั้นไม่ได้ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ 4:12)

ตัวอย่างคำสวดอ้อนวอนสารภาพบาปต่อพระเจ้า

ถ้าคุณทำตามคำแนะนำที่กล่าวมาทั้งหมด และตัดสินใจเชื่อพระเจ้าโดยไม่ต้องเป็นคริสเตียน ให้คุณสวดอ้อนวอนต่อพระองค์ สารภาพบาปต่อพระองค์ อาจจะสวดอ้อนวอนดังต่อไปนี้

“สาธุ สาธุ สาธุ พระเจ้า ผู้เป็นพ่อของลูก ลูกยอมรับว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนผิดคนบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา และแบกภาระหนัก เห็นแก่ตัว ลูกไม่สามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ลูกจึงมาขอพึ่งอาศัยพระองค์ ขอให้พระองค์ได้โปรดยกโทษ ยกความผิดบาปให้ลูกด้วย ลูกขอพึ่งพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ลูกอ้อนวอนขอในนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ สาธุ”

ถ้าคุณทำตามคำแนะนำดังกล่าว คุณจะได้รับความหลุดพ้นจากพระเจ้าอย่างแน่นอน และคุณจะได้เป็นลูกของพระองค์ เข้าสู่อาณาจักรของพระองค์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2012 เวลา 11:45 น.


 

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:43 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?