gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

7.เชื่อในพระเยซูแล้วต้องทำอะไรอีก

เชื่อในพระเยซูแล้วต้องทำอะไรอีก

(What should we do when we are believed in Jesus?)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2012 เวลา 14:05 น.


เมื่อใครก็ตามตัดสินใจเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ แสดงว่า เขาได้ละทิ้งตัวกูของกูแล้ว เขาได้เปลี่ยนที่พึ่งใหม่แล้ว แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่ต้องเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาพุทธ มานับถือศาสนาคริสต์ และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นคริสเตียน เพียงแต่เปลี่ยนจากการพึ่งตัวเอง มาพึ่งในพระเจ้าเท่านั้นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจจะมีคำถามว่า “แล้วจะต้องทำอะไรต่อไป” เราจะเริ่มต้นดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอย่างไร?” คำตอบข้างล่างนี้ อาจจะทำให้รู้ถึงวิถีทางที่จะดำเนินชีวิตกับพระเจ้าได้บ้าง คำตอบเหล่านี้ได้มาจากพระคัมภีร์ และเมื่อใดถ้ามีคำถามเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ก็ให้ทบทวนบทเรียนเหล่านี้ แล้วคุณก็จะรู้ว่า ควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร เมื่อเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราจะต้องรู้ และมั่นใจและกระทำในสิ่งต่อไปนี้:-

1. ต้องมั่นใจในความหลุดพ้น

เมื่อเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง เป็นต้นว่า เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน 1:12) เราได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) ได้รับสันติภาพกับพระเจ้า ได้ยืนอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ มีความชื่นชมยินดีในความไว้วางใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า และยังชื่นชมในความทุกข์ยากลำบากด้วย (รม 5:1-3)

นอกจากนั้นแล้วยังได้ “พ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้า ผลสนองที่เราจะได้รับก็คือ การชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) และผลสุดท้ายคือชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (รม 6:22) อันเป็นความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification)

เราจะต้องมั่นใจเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อเมื่อยอห์นเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้า ท่านจึงได้บอกเขาทั้งหลายว่า “ข้อความเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตเข้าสู่นิพพานแล้ว” (1 ยน 5:13)

สิ่งที่เราได้รับนั้น ล้วนแต่เป็น “นามธรรม” แต่แตะต้องไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ พระเจ้าต้องการให้เรามีความมั่นใจว่า เราได้รับความหลุดพ้นอย่างแน่นอน และเราจะต้องรู้ว่า:

() เราเป็นคนบาป ได้กระทำบาป กระทำในสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย (รม 3:23)

() ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตเข้าสู่นิพพานในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (รม 6:23)

() พระเจ้าทรงสำแดงพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ตายเพื่อเรา (รม 5:8)

() พระองค์ได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร 5:21)

() พระเจ้าทรงให้อภัยและไถ่ชีวิตทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซู โดยที่เราได้เชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงรับโทษบาปแทนเราในความตายนั้นแล้ว (ยน 3:16)

() การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระธรรมของพระเจ้า (รม 8:1-4)

นั่นคือข้อความที่ยืนยันว่า พระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้ช่วยให้หลุดพ้น พระองค์ช่วยให้เราได้รับความหลุดพ้นแล้ว ความบาปทั้งหมดของเรา ได้รับการอภัยแล้ว และพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา

“เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (รม 8:38-39)

และพระเยซูได้บอกกับสาวกของพระองค์ว่า “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก” (มธ 28:20)

ดังนั้น เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า เราได้รับการไถ่ให้หลุดพ้นแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่มีใครแย่งชิงเอาไปได้ “เราให้ชีวิตเข้าสู่นิพพานแก่แกะนั้น และแกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดสามารถชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้” (ยน 10:28-29)

ถ้าเราได้ไว้วางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้หลุดพ้นแล้ว เราก็จงมั่นใจได้ว่าจะได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพานกับพระเจ้าในสวรรค์ อันเป็นความหลุดพ้นขั้นที่สาม (Glorification) อย่างแน่นอน

2. ต้องติดสนิทอยู่กับพระเจ้า

เมื่อเรากลับใจเกิดใหม่ เชื่อในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความหลุดพ้นทั้งสามขั้นตอนนั้นแล้ว เราจะต้องไม่ลืมว่า จะต้องพูดคุย สนทนากับพระองค์เป็นประจำ การพูดคุยสนทนากับพระองค์นี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก เราจะใช้เวลาไหน ตอนไหนได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นจะต้องตั้งเวลาไว้ว่าเป็นเวลาเช้าตรู่ หรือเป็นเวลาเย็น เพราะพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา พระองค์เปรียบเสมือนเป็นเถาองุ่นแท้ พวกเราเป็นกิ่งก้านสาขาที่ติดอยู่กับพระองค์ (ยน 15:1-11) ฉะนั้นเมื่อเราเป็นกิ่งก้านสาขา หรือเป็นสาวกของพระองค์ เราจะต้องทำในสิ่งต่อไปนี้คือ:-

() การสวดอ้อนวอน –การสวดอ้อนวอนนี้ โดยทั่วไปคริสเตียนจะเรียกว่า การอธิษฐาน แต่ในบทเรียนนี้ขออนุญาตเรียกว่า “การสวดอ้อนวอน” ซึ่งเป็นการสนทนาพูดคุยกับพระเจ้า ไม่ใช่การสวดมนต์ พูดคุยกับพระองค์ถึงความกังวลใจ หรือปัญหาที่เรามีอยู่ ขอสติปัญญาและการทรงนำจากพระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานสิ่งที่จำเป็นให้กับเรา บอกให้พระองค์ทรงทราบว่าเรารู้สึกเป็นหนี้ต่อพระองค์ และขอบพระคุณพระองค์ที่ยอมรับเรา ให้เราเป็นคนบุญ ให้เราอยู่ในพระองค์ และไม่เคยทอดทิ้งเราเลย แม้ว่าเราจะเป็นเช่นไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่เราสวดอ้อนวอน

() การอ่านพระคัมภีร์ –นอกจากการสวดอ้อนวอนแล้ว เรายังจะต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วย เพราะพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า ดังที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูเขียนไว้ว่า “เพราะว่า พระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ 4:12)

และ “พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถ และพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง” (2 ทธ 3:16-17)

การอ่านพระคัมภีร์นั้น เราสามารถอ่านในขณะที่มีการศึกษาพระคัมภีร์ในชั้นเรียนวันอาทิตย์ หรือชั้นเรียนพระคัมภีร์อื่นๆ เมื่อเรามีการประชุมนมัสการ แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวเองเช่นกัน

เพราะพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ในการใช้ชีวิตกับพระองค์ พระคัมภีร์จะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ทำให้เราตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ทำให้เรารู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้เรารู้ว่า ทำไมเราจะต้องรักผู้อื่นและช่วยเหลือผู้อื่น และทำให้เราเจริญเติบโตขึ้นทางฝ่ายจิตวิญญาณ

พระคัมภีร์คือพระคำของพระเจ้า เป็นคู่มือที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เราใช้ชีวิตได้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ และทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง เป็นไปไม่ได้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จะไม่อ่านพระคัมภีร์ เพราะการอ่านพระคัมภีร์นั้น เปรียบเสมือนกับรับประทานฝ่ายเนื้อหนัง เนื้อหนังจะต้องรับประทานอาหารอย่างไร วิญญาณก็จะต้องรับประทานอาหารเช่นกัน นั่นคือการอ่านพระคัมภีร์

3. ต้องร่วมประชุมนมัสการกับผู้เชื่อคนอื่นๆ

เมื่อเชื่อในพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตใหม่ ร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ โดยการาสวดอ้อนวอน โดยการอ่านพระคัมภีร์แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการประชุมนัสการร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเรียกว่า “ชุมชนของพระเจ้า” คริสเตียนทั่วไปเรียกว่า “คริสตจักร” การเรียกชุมชนของพระเจ้าว่า คริสตจักรนี้ ก็เกิดปัญหา เพราะทำให้เข้าใจว่าเป็นตัวอาคารสถานที่ ซึ่งบางทีเรียกว่า “โบสถ์คริสต์” ความจริงแล้ว ชุมชนของพระเจ้าที่เรียกว่า “คริสตจักร” นี้คือผู้เชื่อในพระเจ้า  เป็นคนไม่ใช่ตัวอาคาร

เป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้เชื่อในพระเจ้า จะต้องมีการประชุมร่วมกัน การประชุมร่วมกันนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของชุมชนพระเจ้า เมื่อเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะต้องประชุมกันกับคนอื่นๆที่เชื่อพระเจ้า ที่อยู่ใกล้บ้านของเรา

วัตถุประสงค์ที่สองของการประชุมนมัสการร่วมกันคือการเรียนการสอนพระคัมภีร์ เราจะได้เรียนรู้ว่า เราจะนำพระคำของพระเจ้าไปปรับใช้ในชีวิตของคุณได้อย่างไรบ้าง? การทำความเข้าใจในพระคัมภีร์เป็นกุญแจสำคัญที่นำเราไปสู่การเจริญเติบโตขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดีและการอบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทธ 3:16-17)

วัตถุประสงค์ที่สามของชุมชนของพระเจ้า คือการนมัสการพระเจ้า การนมัสการคือการสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเรา พระองค์ทรงไถ่เราให้หลุดพ้น ทรงรักเรา ทรงจัดเตรียมทุกอย่างให้เรา ทรงนำและชี้ทางให้เรา แล้วเราจะไม่ขอบพระคุณพระองค์ได้อย่างไร พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทรงเที่ยงธรรม ทรงเปี่ยมด้วยความรัก เมตตา และพระคุณ

“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายพระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญพระเกียรติและฤทธิ์เดชเพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงและสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์” (วว 4:11)

4. ต้องมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์

เมื่อเชื่อในพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตใหม่ ร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ โดยการสวดอ้อนวอน โดยการอ่านพระคัมภีร์แล้ว และร่วมประชุมนมัสการกับคนอื่นๆ ในชุมชนของพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เป็นที่ปรึกษา เราไม่ควรคบหาสมาคมกับคนชั่วหรือคนเลว เพราะเปาโลกล่าวไว้ว่า “อย่าหลงเลย การคบคนชั่วย่อมเสียนิสัย” (1 คร 15:33) คำสอนนี้ก็เหมือนกับคำสุภาษิตไทยที่ว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

เราอย่าลืมว่า เมื่อเรากลับใจใหม่ เกิดใหม่เชื่อในพระเจ้า แล้ว เรายังอาศัยอยู่ในสังคมของคนบาป ถ้าเราไม่รู้จักเลือก เราจะโอนอ่อนหรือเอนเอียงไปกับอิทธิพลของคนชั่วเหล่านั้น ฉะนั้นเราจะต้องหาทางที่จะไปรู้จักบุคคลที่รักและถวายตัวให้กับพระเจ้า และสามารถสอนเราในพระคำของพระเจ้าได้

เราควรหาเพื่อนสักคนหรือสองคน ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนในชุมชนของพระเจ้า ผู้ซึ่งสามารถช่วยคุณ และให้กำลังใจคุณได้เสมอ (ฮีบรู 3:13 และ 10:24) ขอให้เพื่อนของคุณคอยให้กำลังใจคุณให้ใช้เวลากับพระเจ้าและเดินไปกับพระเจ้า และถามเขาว่าขอให้คุณกระทำอย่างเดียวกันนี้ให้แก่เขาได้หรือไม่

นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเลิกคบกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เชื่อในพระคริสต์เหมือนกับคุณ แต่ขอให้คุณยังเป็นเพื่อนกับเขา และรักเขาต่อไป เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไร และบอกเขาว่าตอนนี้คุณไม่สามารถประพฤติตนเหมือนอย่างที่เคยกระทำในอดีตได้แล้ว และขอให้พระเจ้าประทานโอกาสให้คุณได้แบ่งปันเรื่องพระเยซูกับเพื่อน ๆ ของคุณได้ด้วย

5. ต้องรับบัพติศมา

คนเป็นจำนวนมากไม่เข้าใจความหมายของบัพติศมาเข้าใจผิดด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่มีการอธิบาย ไม่มีการเรียนการสอนก่อนที่จะรับพิธี เพียงแต่รอเวลาให้เชื่อพระเจ้าครบ 6 เดือน 1 ปีแล้ว ก็จะให้รับบัพติศมา จึงทำให้คนที่รับพิธีนั้นไม่เข้าใจ ทำพิธีเพื่อพิธีเท่านั้นเอง ความจริงแล้ว คำว่า “บัพติศมา” (Baptism) เป็นการทับศัพท์ในภาษาฮีบรู แปลว่า จุ่มลงน้ำ และมีความหมายดังต่อไปนี้คือ

1. เป็นเครื่องหมายของชีวิตใหม่ ในพิธีนี้อ่างว่าเราหลุดพ้นแล้วโดยพระคุณของพระเจ้า ดังที่เปาโลกล่าวว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้หลุดพ้น มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระธรรมของพระองค์ พระองค์นั้นได้ทรงประทานแก่เราทั้งหลายอย่างบริบูรณ์ โดยพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้หลุดพ้นของเรา เพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นถูกชำระให้เป็นคนบุญแล้วโดยพระคุณของพระองค์ เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังคือชีวิตเข้าสู่นิพพาน (ทต 3:5-7)

2. เป็นเครื่องหมายเข้าส่วนในความตายและการเป็นขึ้นมาจากความตายกับพระเยซู ในพิธีนี้แสดงให้เห็นว่าเราได้เข้าส่วนในความตาย และการเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระองค์ ดังที่เปาโลกว่าว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น เหมือนกับที่พระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชพระสิริของพระบิดาอย่างไร เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยอย่างนั้น (รม 6:3-4)

3. เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าเราได้รับพระธรรมของพระเจ้าแล้ว และประสานสัมพันธ์กันระหว่าเชื้อชาติ คือการเป็นอีนหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนที่เชื่อในพระเจ้าต่างชาติกัน หมายความว่า แม้จะเป็นคนละชาติคนละภาษา แต่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และรับพระธรรมองค์เดียวกัน ดังที่เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิวหรือพวกต่างชาติ เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระธรรมองค์เดียวเข้าเป็นกายอันเดียวกัน และพระธรรมองค์เดียวกันนั้นซาบซ่านอยู่ (1 คร 12:13)

4. เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการผูกมัดระหว่างพระเยซูผู้เป็นนายเรา และพระองค์เป็นผู้ช่วยให้เราหลุดพ้น ในพิธีนี้แสดงว่าเราได้ตายกับพระเยซูแล้ว และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มีชีวิตใหม่ในพระองค์ พระองค์ยังเป็นพลังส่งเสริมให้เราดำเนินชีวิตอย่างคนชอบธรรม ดังที่เปาโลกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ) และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์ (อฟ 2:5-6)

ดังนั้นการรับบัพติศมา จึงไม่ใช่การทำพิธีเพื่อจะเข้าศาสนา หรือเปลี่ยนศาสนา หรือไม่ใช่พิธีล้างบาป เพราะบาปได้ถูกล้างแล้วก่อนที่จะทำพิธีนี้ พิธีนี้จึงเป็นเพียงเครื่องหมายตามที่อธิบายแล้วข้างต้น การรับบัพติศมาเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการบอกกับตัวเราเองว่าได้รับชีวิตใหม่แล้ว ได้เข้าส่วนในความตายและการเป็นขึ้นมาจากความตายกับพระเยซู ได้รับพระธรรมของพระเจ้า และประสานสัมพันธ์กันระหว่าเชื้อชาติ และได้มีการผูกมัดระหว่างพระเยซูผู้เป็นนายเรา และพระองค์เป็นผู้ช่วยให้เราหลุดพ้น ถ้าเข้าใจเชนนี้แล้วรับรับบัพติศมา ควรจะให้ผู้นำแห่งชุมชนพระเจ้าที่คุณอยู่ด้วยนั้นเป็นผู้ทำพิธี

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2012 เวลา 15:15 น.


 

 

 

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:44 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?