gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

8.พระเยซูและธรรมบัญญัติ มัทธิว 5:17-18

พระเยซูและธรรมบัญญัติ  มัทธิว 5:17-18

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2011 เวลา 15:20 น.


17 อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาคนทรงของพระเจ้าเราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ 18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่งก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น


เมื่อพระเยซูปรากฏตัวขึ้น เพื่อทำพันธกิจของพระเจ้า และประกาศบารมีของพระองค์ ดูเหมือนว่า พระองค์ละเลยธรรมบัญญัติ อันเป็นหัวใจสำคัญของพวกยิว

พวกยิวถือว่า พวกเขาพิเศษกว่าคนอื่นก็เพราะว่าเขามีธรรมบัญญัติ และพิธีเข้าสุหนัต

แต่พระเยซูกลับทำเหมือนว่าธรรมบัญญัติไม่สำคัญอะไร พระองค์เองละเลยไม่ทำตามธรรมบัญญัติโดยรักษาคนป่วยในวันสะบาโต และสาวกของพระองค์ก็ละเลยโดยการเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต ชื่อเสียงของพระเยซูเกี่ยวกับการรักษาธรรมบัญญัติจึงไม่ดี

เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อพระองค์เริ่มสั่งสอน พระองค์จึงเน้นว่า “เราไม่ได้มาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของคนทรงของพระเจ้า” (มธ 5:17-18) ธรรมบัญญัตินั้นหมายถึง“พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด” หรือ“ส่วนใดส่วนหนึ่ง” (เปรียบเทียบ มธ 7:12) ส่วนคำของคนทรงของพระเจ้า หมายถึง “หนังสือพระคัมภีร์หมวดคนทรงของพระเจ้า”

จุดประสงค์ที่พระเยซูเข้ามาในโลก

การที่พระเยซูกล่าวเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดของคนอื่นๆ ที่เข้าใจพระองค์ผิดเกี่ยวกับการรักษาธรรมบัญญัติ ในขณะนั้นถึงแม้พระเยซูจะเพิ่งเริ่มออกปฏิบัติพันธกิจ แต่ก็มีหลายคนไม่พอใจในทัศนคติของพระองค์ต่อธรรมบัญญัติ

จากการบันทึกของมาระโกเราจะเห็นว่า สาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าว และพระองค์ก็รักษาชายที่มือลีบในวันสะบาโต ก่อนที่จะเลือกอัครทูต 12 คน (มก 2:23-3:6)

ในตอนเริ่มแรกคนทั้งปวงก็ประหลาดใจในสิทธิอำนาจของพระองค์ในการสั่งสอน จึงพากันถามว่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอ เป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิ์อำนาจและมันจำต้องฟัง” (มก 1:27)

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่คนจะต้องอยากรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิอำนาจของพระเยซู กับสิทธิอำนาจแห่งธรรมบัญญัติของโมเสสเพราะพวกเขาเป็นครูสอนธรรมบัญญัติ ซึ่งทุ่มเทในการศึกษาความหมายของธรรมบัญญัติและจะอวดอ้างสิทธิอำนาจของแหล่งต่างๆที่พวกเขาอ้างอิง แต่ก็ไม่เคยอ้างว่าตัวเองมีสิทธิอำนาจ

ทว่าพระเยซูสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง พระองค์ชอบใช้วลีหนึ่งที่บรรดาผู้พยากรณ์ในสมัยก่อนพระองค์และพวกคัมภีราจารย์ ในสมัยนั้นไม่เคยใช้เลย คือพระองค์มักเริ่มต้นคำสอนด้วย “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า” โดยกล่าวในนามของพระองค์เองด้วยสิทธิอำนาของพระองค์ ซึ่งทำให้หลายคนคิดว่าพระเยซูได้ตั้งสิทธิอำนาจของตัวเองขึ้นเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ และพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม

พระเยซูจึงขจัดความเข้าใจผิดในเรื่องนี้โดยเริ่มต้นกล่าวว่า “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของคนทรงของพระเจ้า”

ปัจจุบันยังมีคนถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับโมเสส และระหว่างพระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่อยู่เสมอ เราควรจะตอบตรงประเด็น ดังที่พระเยซูได้กระทำว่า พระเยซูไม่ได้มา เลิกล้าง (ธรรมบัญญัติหรือศีลธรรม) แต่พระองค์มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ พระองค์ไม่ได้มาเพียงเพื่อ รับรอง ธรรมบัญญัติและคำของคนทรงของพระเจ้า แต่พันธกิจของพระองค์ในการเสด็จมาในโลกนี้คือการมาทำให้ธรรมบัญญัติและคำของผู้พยากรณ์ สำเร็จสมบูรณ์ทุกประการ

พระคริสต์ทำให้พระคัมภีร์เดิมสำเร็จ

คำกริยา ‘ทำให้สมบูรณ์’ นั้นภาษากรีกคือ เพลโรไซ (plerosai) ถ้าแปลตามตัวอักษรจะหมายถึง ‘การเติมให้เต็ม’

นักกาการศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่งคือ Chrysostom กล่าวว่า ‘คำสอนของพระเยซูไม่ได้เป็นการลบล้างธรรมบัญญัติและคำของคนทรงของพระเจ้า แต่เป็นการให้ความหมายที่สมบูรณ์แก่สิ่งเหล่านั้น’ ถ้าเราต้องการเข้าใจความหมายอันสำคัญนี้ เราควรตระหนักว่า ธรรมบัญญัติและคำของผู้พยากรณ์ซึ่งหมายถึงพระคัมภีร์เดิมทั้งหมดนั้นมีคำสอนอยู่หลายด้าน และพระคริสต์มาเพื่อจะทำให้คำสอนตามธรรมบัญญัติสำเร็จและปฏิบัติตามนั้นในทุกด้านได้อย่างสมบูรณ์ทุกประการ

ในด้านแรก พระคัมภีร์เดิมมีคำสอนด้านหลักคำสอน (Doctrinal teaching) คำว่า ‘โทราห์’ (Torah) ในภาษาฮีบรูซึ่งมักจะแปลว่า ‘ธรรมบัญญัติ’ (Law=หรือกฎหมาย) นั้นในความจริงแล้วหมายถึง ‘คำสอนที่เปิดเผยออกมา’ (revealed instruction) และพระคัมภีร์เดิมมีคำสอนที่เปิดเผยให้เราทราบถึงเรื่องของพระเจ้า มนุษย์

ความหลุดพ้น และเรื่องอื่นๆ พระเจ้าทรงได้เปิดเผยความจริงที่สำคัญทั้งหมดไว้ในพระคัมภีร์เดิม แต่การเปิดเผยในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นการเปิดเผยเพียงบางส่วน และพระเยซูได้ทำให้การเปิดเผยนั้นสมบูรณ์ในตัวของพระองค์เอง ในคำสอนและในพันธกิจของพระองค์ (ฮบ 1:1,2)

นักการศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ Bishop Ryle ได้สรุปไว้ดังนี้ว่า ‘พระคัมภีร์เดิมคือบารมีของพระเจ้าที่เพิ่งออกดอกตูม ในพระคัมภีร์ใหม่บารมีพรเจ้าเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่ ในพระคัมภีร์เดิมบารมีพระเจ้าเพิ่งเริ่มแตกใบ แต่ในพระคัมภีร์ใหม่บารมีพระเจ้าเป็นรวงข้าวที่สุกงอมแล้ว’

ในด้านที่สอง พระคัมภีร์เดิมมี‘คำพยากรณ์ที่ทำนายถึงอนาคต” ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงการเสด็จมาของพระมาซีอะห์ (Messiah) ซึ่งบางทีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา บางทีกล่าวเชิงเปรียบเปรย แต่ก็เป็นเพียงการคาดหวังเท่านั้น พระเยซูทำให้คำพยากรณ์เหล่านั้น‘สำเร็จ’ในชีวิตของพระองค์

ข้อความแรกที่พระเยซูกล่าวในการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์คือ ‘เวลากำหนดมาถึงแล้ว…’ (มก 1:14) และการที่พระเยซูกล่าวไว้ใน มธ 5:17 ว่า ‘เรามาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ’ เป็นการบ่งถึงความจริงนี้

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระเยซูบอกว่าพระคัมภีร์เดิมเป็นพยานให้แก่พระองค์ และมัทธิวได้เน้นสิ่งนี้มากกว่าผู้เขียนหนังสือพระบารมีพระเจ้าคนอื่นโดยใช้ข้อความนี้บ่อยๆ ‘ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระคำของพระเจ้าผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยคนทรงของพระเจ้า’ (มธ 1:22;3:3;4:14;และอื่นๆ มธ 11:13 บอกไว้ว่าคำของคนทรงทั้งหลายของพระเจ้า และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์น โดยอ้างถึงการเสด็จมาของพระคริสต์และได้สำเร็จในชีวิตของพระองค์)

จุดสุดยอดของการทำให้คำพยากรณ์สำเร็จคือ การตายของพระองค์บนกางเขน ซึ่งให้ความหมายที่สมบูรณ์แก่พิธีกรรมในการถวายเครื่องสัตว์บูชาโดยปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิม

ดังนั้นพิธีกรรมเหล่านั้นจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป นักปฏิรูปศาสนาท่านหนึ่งคือ Calvin ได้อธิบายไว้อย่างถูกต้องว่า ‘ไม่มีความจำเป็นต้องทำพิธีกรรมเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะการตายของพระคริสต์ได้บรรลุถึงจุดประสงค์อันสมบูรณ์ของพิธีกรรมเหล่านั้นแล้ว’ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “เงา” ของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลังแต่สาระที่แท้จริงเป็นของพระคริสต์ (คส 2:17)

ในด้านที่สาม พระคัมภีร์เดิมมีคำสอน ‘ด้านจริยธรรมของพระเจ้า’ เรามักเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอนด้านนี้ และยิ่งกว่านั้นมักจะมีการละเมิดคำสอนด้านนี้ พระเยซูทำให้คำสอนด้านนี้ ‘สมบูรณ์’ในแง่ของการเชื่อฟังธรรมบัญญัติอย่างเต็มที่ พระเยซูได้ถือ“กำเนิดภายใต้ธรรมบัญญัติ” (กท 4:4) และมุ่งมั่นดังที่พระองค์ได้บอกยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำว่า ‘สมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ’ (มธ 3:15)

นักการศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่ง Bonhoeffer กล่าวว่า ‘พระเยซูไม่เพิ่มเติมอะไรเข้าไปในธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพียงแต่รักษาธรรมบัญญัติเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์’ พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติตามแต่ผู้เดียว แต่ยังอธิบายการเชื่อฟังนี้ให้กับเหล่าสาวกด้วย

พระเยซูไม่ยอมรับการตีความหมายธรรมบัญญัติแบบผิวเผินของพวกคัมภีราจารย์ แต่อธิบายความหมายที่แท้จริงให้แก่เหล่าสาวก พระองค์ไม่ได้ดัดแปลงหรือเลิกล้มธรรมบัญญัติใด แต่ทำให้ความหมายอันลึกซึ้งของธรรมบัญญัติทั้งมวลนั้นกระจ่างขึ้น

พระเยซูทำให้ธรรมบัญญัติ“สมบูรณ์”โดยเรียกร้องให้เราปฏิบัติตามความชอบธรรมอันสูงส่งของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูเน้นในส่วนที่เหลือของมัทธิวบทที่ 5 โดยยกตัวอย่างต่างๆดังที่เราจะเห็นต่อไป

การเข้าใจผิดเรื่องธรรมบัญญัติ

ตลอดประวัติศาสตร์ทุกยุคสมัยของชุมชนพระเจ้า มีคนที่ไม่ยอมรับทัศนคติของพระเยซูที่มีต่อธรรมบัญญัติเสมอ ในศตวรรษที่สองมีครูสอนลัทธิเทียมเท็จผู้โด่งดังชื่อ มาซิโอน (Macion) เขาได้แก้ไขพระคัมภีร์ใหม่โดยตัดข้อความที่อ้างอิงถึงพระคัมภีร์เดิมออกหมด และได้ตัดข้อความตอนนี้ในหนังสือมัทธิวออกไปด้วย

ลูกศิษย์ของมาซิโอนบางคนได้บิดเบือนพระคัมภีร์มากขึ้นไปอีกโดยการสลับตำแหน่งของคำกริยาเพื่อให้ความหมายกลับกันดังนี้ว่า ‘เรามิได้มาทำให้ธรรมบัญญัติและคำสอนของผู้พยากรณ์สมบูรณ์ แต่มาเลิกล้างทุกประการ’

ลูกศิษย์ของมาซิโอนในสมัยปัจจุบันคือพวกที่เผยแพร่หลัก “ศีลธรรมใหม่” (New Morality) ที่สอนว่าธรรมบัญญัติได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ต้องอยู่ใต้ธรรมบัญญัติใดๆ นอกจากธรรมบัญญัติแห่งความรัก

แต่ใน มธ 5:17 พระเยซูสอนว่าพระองค์ไม่ได้มายกเลิกธรรมบัญญัติ แต่ทำให้ธรรมบัญญัตินั้นสมบูรณ์

พระคริสต์และธรรมบัญญัติ

เปาโลสอนความจริงประการเดียวกันนี้อย่างชัดเจน (ตัวอย่างเช่นใน กจ 26:22,23) เมื่อเปาโลพูดว่า ‘พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ’ (รม 10:4) ท่านไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องเชื่อฟังธรรมบัญญัติต่อไป แต่ในทางตรงกันข้ามเราได้รับการช่วยเหลือจากพระธรรมให้สามารถเชื่อฟังธรรมบัญญัติและทำตามธรรมบัญญัติได้ (รม 8:4)

พระคริสต์เป็นจุดจบของธรรมบัญญัตินั้นหมายความว่า การที่คนเราจะเป็นที่ยอมรับของพระเจ้านั้นไม่ขึ้นอยู่กับการรักษาธรรมบัญญัติ หรือทำตามธรรมบัญญัติ แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อในพระคริสต์ แท้ที่จริงแล้วธรรมบัญญัติก็เป็นพยานถึงบารมีพระเจ้าแห่งความชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ (รม 3:21,22)

ความสำคัญของธรรมบัญญัติในทัศนะของพระเยซู

พระเยซูอธิบายว่า พระองค์มาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ทุกประการเพราะธรรมบัญญัติจะไม่สูญไปจนกว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์ (มธ 5:18) และผลที่ตามคือ เหล่าสาวกที่เป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้าจะต้องรักษาธรรมบัญญัติ (5:19,20)

การรักษาธรรมบัญญัติของผู้เชื่อในพระเจ้านั้น ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความหลุดพ้น เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เป็นหน้าที่ของพระเยซู หน้าที่ของเราคือ รักษาธรรมบัญญัติ ทำตามธรรมบัญญัติ เพราะว่า “เราถูกชำระให้เป็นคนบุญ”แล้วในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง (Justification)

พระเยซูกล่าวถึงธรรมบัญญัติที่พระองค์มาทำให้สมบูรณ์ว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่ง (คำในภาษกรีกคือ อิโอตา=iota ซึ่งตรงกับคำว่า “ยอด”=yort ในภาษาฮีบรู ซึ่งเป็นตัวอักษรฮีบรูที่มีขนาดเล็กที่สุด) หรือขีดๆหนึ่ง (คำในภาษากรีกคือ แคไรอะ=karaia ซึ่งหมายถึงชีดเล็กๆที่ใช้บอกความแตกต่างระหว่างตัวอักษรในภารฮีบรู) ก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ

ธรรมบัญญัติในที่นี่หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด จะไม่มีส่วนใดของพระคัมภีร์เดิมแม้แต่อักษรหนึ่งหรือขีดหนึ่งที่จะสูญไป หรือถูกยกเลิกไปจนกว่าจะสำเร็จอย่างสมบูรณ์ คือเมื่อฟ้าและดินล่วงไปในวันที่พระเจ้าทรงสร้างท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ (มธ 24:36 เปรียบเทียบกับ มธ 19:28)

เมื่อถึงวันนั้นพระคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะว่าทุกสิ่งในนั้นได้สำเร็จแล้ว การสำเร็จอย่างสมบูรณ์ของพระคำในครั้งสุดท้ายและการสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินโลกใหม่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน

ธรรมบัญญัติและท้องฟ้าเก่าแผ่นดินโลกเก่าจะล่วงไปพร้อมกัน ในคำสอนตอนนี้พระเยซูได้กล่าวถึงท่าทีและความเข้าใจของพระองค์เกี่ยวกับพระคัมภีร์เดิมไว้อย่างชัดเจน (เปรียบเทียบกับ ลก 16:16,17)

ดังนั้น พระเยซูจึงเป็นผู้ที่มีหน้าที่มาทำตามธรรมบัญญัติ และทำให้คำพยากรณ์ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมสำเร็จ หน้าที่นี้ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เพราะเราทำไม่ได้ พระองค์มาทำตามธรรมบัญญัติ เพราะพระองค์รู้ว่าเราทำไม่ได้

ธรรมบัญญัติที่ว่า “รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” นั้น พระองค์บอกให้เราทำ เพื่อเราจะได้รู้ว่า เราทำไม่ได้

เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว เราก็กลับไปพึ่งพระองค์ เพราะพระองค์ทำได้แล้ว พระองค์รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ โดยยอมเชื่อฟังพระเจ้าจนกระทั่งพบกับความตายบนกางเขน และพระองค์รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง โดยยอมตายเพื่อคนอื่น ยอมเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

เรายากจะทำตามธรรมบัญญัติข้อนี้ให้ได้ เราจะต้อง “อยู่ใน”พระเยซู เมื่ออยู่ในพระองค์แล้ว เราก็ทำได้ เพราะการกระทำของพระองค์ ซึ่งเป็นของเรา

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสที่ 5 มิถุนายน 2012 เวลา 20:15 น.

(ข้อมูลที่เกี่ยวกับ“พระคริสต์และธรรมบัญญัติ” ที่นำมาเขียนในบทความนี้อ้างอิงจากหนังสือ “Christian Counter-Culture by John R. W. Stott” PP. 69-73)


 

 

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012 เวลา 12:44 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?