gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

1.ความหลุดพ้น 3 ขั้นตอน (Three steps of salvation)

เรื่องความหลุดพ้น 3 ขั้นตอน (Three steps of salvation)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2012 เวลา 15:20 น.


ความหลุดพ้น (salvation) นี้ โดยทั่วไปคริสเตียนจะเรียกว่า “ความรอด” เพราะคำว่าความรอดเป็นภาษาเฉพาะของคริสเตียน ไม่สื่อความหมายกับคนไทยทั่วไป ในบทเรียนนี้ จึงขอใช้คำว่า “ความหลุดพ้น” เพราะเป็นคำที่คนไทยทั่วไปรู้จัก และต้องการการหลุดพ้น

ความหลุดพ้นนี้ เริ่มต้นที่พระเจ้า ส่วนมนุษย์นั้นรับเอาได้โดยความเชื่อและการกลับใจใหม่ และความหลุดพ้นนี้เกี่ยวข้องกับ “บารมีพระเจ้า” (คริสเตียนทั่วไปใช้ว่า “ข่าวประเสริฐ”) ซึ่งได้แก่การกระทำของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ใน โรม 1:16 ว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องบารมีของพระเจ้า เพราะว่าบารมีของพระเจ้านั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความหลุดพ้น พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย”

ดังนั้น ความหลุดพ้นนี้จึงเป็นการที่พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้กับเราโดยไม่คิดมูลค่าผ่านทางพระเยซูคริสต์ แต่การที่เราจะเข้าใจกระบวนการทั้งหมดว่าชีวิตใหม่ อันเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพานนั้น (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ชีวิตนิรันดร์”) เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไรนั้น เราจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่คือหันจากการพึ่งตัวเอง กลับมาพึ่งพระเจ้า และทำการศึกษาบทเรียนต่อไปนี้ ซึ่งจะชี้แจงให้เห็นว่า ความหลุดพ้นนั้นคืออะไร และจะหลุดพ้นได้อย่างไร เมื่อหลุดพ้นแล้วจะตองทำอย่างไร บทเรียนชุดนี้เราจะวิเคราะห์ถึงถึงความหมายที่เกี่ยวของกับความหลุดพ้นดังต่อไปนี้

1. ความหลุดพ้น (Salvation) ที่ได้มาจากการกระทำของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราจะรับเอาได้ด้วยความเชื่อโดยการเกิดใหม่

2. การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) หรือบางทีก็เรียกว่า การที่พระเจ้านับว่าเราเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เป็นการกระทำของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้มาใช้หนี้ค่าของความบาปให้แก่เรา และเรากลายเป็นคนบุญที่อาศัยอยู่ในร่างของคนบาป

3. การถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) เป็นการกระทำของพระเจ้าโดยพระธรรมของพระองค์ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์”) ที่ทำการชำระให้เราบริสุทธิ์ทุกๆวัน โดยการที่เมื่อเราทำผิดบาปต่อพระเจ้า เราก็สารภาพบาปไปเรื่อยๆ และเราก็จะบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ คำสอนนี้ ไม่ได้ส่งเสริมให้คนทำบาป แต่ชี้แจงเห็นความจริงว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไร

4. การเสริมสร้างกันในชุมชนของพระเจ้า (Edification) เป็นการเสริมสร้างซึ่งกันและกันในขุมชนของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้เรียกเราให้มาเป็น “ปัจเจกบุคคล” แต่เรียกให้มารวมกลุ่ม ซึ่งเรียกว่า “ชุมชนของพระเจ้า” (คริสเตียนทั่วไปเรียกว่า “คริสตจักร”)

5. การเข้าสู่สง่าราศีในความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification) เป็นความหลุดพ้นขั้นที่สมบูรณ์ เพราะเมื่อเราได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่ 1-2 แล้ว เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายของคนบาป เมื่อเราจากร่างกายของคนบาปแล้ว เราจะเข้าสู่ “ร่างกายใหม่” ซึ่งปราศจากบาป พระเยซูจะเป็นผู้ประทานให้ ในตอนนี้ เราจะกล่าวถึงความหลุดพ้น 3 ขั้นตอน ส่วนเรื่องอื่น เราจะค่อยศึกษาไปตามลำดับ

ความหมายของความหลุดพ้น (The Meaning of Salvation)

ความหลุดพ้น ในภาษากรีกคือ soteria มีความหมายว่า “การปล่อย” “ช่วยให้ปลอดภัย” “ป้องกันจากอันตราย”

พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์ตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิมว่า พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงช่วยเหลือประชากรของพระองค์ให้หลุดพ้นจากความบาปและผลของมันได้ (สดด 27:1,88:1;62:1;ฉธบ 26:8;)

พระคัมภีร์ใหม่ได้อธิบายความหลุดพ้นว่าเป็นหนทางที่นำชีวิตไปสู่การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้านิรันดร์ในสวรรค์ (มธ 7:14;มก 12:14;ยน 14:6;กจ 16:17;2 ปต 2:2;2:21;กจ 9:2,22:4;ฮบ 10:20)

หนทางแห่งความหลุดพ้นนี้ เริ่มต้นด้วยการกลับใจใหม่เชื่อในพระเจ้า ได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นบุตรของพระองค์ แล้วเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง เราสามารถอธิบายได้ว่า “ความหลุดพ้น” นี้มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่พระเจ้า มนุษย์จะหลุดพ้นได้โดยตอบสนองต่อการนำเสนอของพระองค์เท่านั้น ไม่มีทางอื่นใดที่มนุษย์จะสร้างความหลุดพ้นขึ้นมาได้ด้วยตนเอง และความหลุดพ้นนั้นมีอยู่ 3 ขั้นตอน

1. แหล่งกำเนิดของความหลุดพ้น

พระเจ้าเป็นแหล่งกำเนิดของความหลุดพ้น และพระเยซูคริสต์เป็นทางไปสู่พระเจ้าพระบิดา ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน 14:6,กจ 4:12) ดังนั้นทางหลุดพ้นจึงมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น

พระเจ้าเป็นผู้เตรียมทางหลุดพ้นไว้เพื่อเราโดยพระคุณของพระองค์ พระองค์เริ่มโดยการทำพันธสัญญากับอับราฮัม ว่าจะประทานความหลุดพ้นให้ และจะส่ง “พระสัญญา” นั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ และมาเป็นพระเยซูคริสต์ ความหลุดพ้นนี้เกี่ยวข้องกับความตาย การเป็นขึ้นมาจากความตาย และการอธิษฐานวิงวอนเพื่อผู้เชื่ออย่างต่อเนื่องของพระองค์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นคนบุญโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นบุญของพระเจ้าในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น” (รม 3:24-25,5:8,10;ฮบ 7:25)

2. วิธีการที่จะได้รับความหลุดพ้น มนุษย์จะหลุดพ้นได้โดยตอบสนองต่อการนำเสนอของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้เสนอความหลุดพ้นมา มนุษย์เป็นผู้รับเอาโดยความเชื่อ

-ความหลุดพ้นนั้น มนุษย์จะได้รับโดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์ (รม 3:22,24-25,28)

-นั่นคือความหลุดพ้นเป็นไปได้เพราะพระคุณของพระเจ้า และการตอบสนองของมนุษย์โดยความเชื่อเท่านั้น (กจ 16:31;รม 1:17;อฟ 1:15;2:8) เมื่อพระเจ้ายืนไมตรีมา โดยให้มนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณ และมนุษย์จะรับเอาความหลุดพ้นโดยพระคุณนั้นเพราะความเชื่อ

3. ขั้นตอนของความหลุดพ้น ความหลุดพ้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน (Three steps of salvation) คือ

3.1 ความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (The first step of salvation)

-ความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) นี้ เป็นการถูกชำระให้เป็นคนบุญ (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 แปลว่า “คนชอบธรรม” ส่วนพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “ถูกชำระให้เป็นคนชอบธรร”) เป็นการที่พระเจ้าได้ชำระหรือใช้หนี้บาปให้กับเรา พระองค์นับว่าเป็นคนบุญ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่เราได้รับการอภัยในฐานะผู้เชื่อ และได้ผ่านพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณไปสู่การมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ จากฤทธิ์อำนาจของบาปไปสู่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จากการปกครองของซาตานไปสู่การปกครองของพระเจ้า (กจ 10:43,26:18;รม 4:6-8,6:17-23;1ยน 3:14)

-ความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) ที่เราถูกชำระให้เป็นคนบุญนี้ ได้นำเราให้มีความสัมพันธ์ใหม่ส่วนตัวกับพระเจ้า และพระองค์ช่วยเหลือเราให้พ้นจากการลงโทษเนื่องจากผลของบาป กล่าวโดยสรุป ความหลุดพ้นในขั้นที่ 1 นี้ คือหลุดพ้นจากโทษทัณฑ์ของบาปนั่นเอง (ยน 1:12;รม 1:16;1คร 1:18) “ด้วยว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือ ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (รม 6:23) ดังนั้น เราจึงกลายเป็น คนบุญ (คือเป็นคนที่ไม่มีค่าของความบาปอีก) ที่ยังอาศัยอยู่ในร่างของ คนบาป ผู้เชื่อในพระเจ้าจึงมีธรรมชาติสองอย่าง คือธรรมชาติเก่า และธรรมชาติใหม่

-ความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) ที่เราถูกชำระให้เป็นคนบุญนี้ เราได้มีสันติภาพกับพระเจ้า คือการคืนดีกับพระเจ้า ไม่เป็นศัตรูกับพระองค์อีกต่อไป (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 แปลว่า “สันติสุขในพระเจ้า” พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “อยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”) และเรายังได้ยืนอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ชื่นชมยินดีในความหวังว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า และชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบาก เพราะความทุกข์ยากลำบากทำให้เกิดความอดทน (รม 5:1-3)

3.2 ความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (The Second Step of salvation)

-ความหลุดพ้นในขั้นที่ 2 (Sanctification) นี้ คือการที่เราถูกชำระให้บริสุทธิ์ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของเรา พระเจ้าจะช่วยเราให้พ้นจากการทำบาป และการครอบงำของบาป และช่วยให้เราทำตามพระธรรม และจะสำแดงผลแห่งพระธรรมออกมาในชีวิตของเรา (กท 5:22-24)

-ความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) คือการที่ผู้เชื่อในพระองค์ถูกชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าทุกๆวัน และยังได้รับสิ่งต่อไปนี้:

(1) เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการมีความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับพระเจ้าในฐานที่พระองค์เป็นพระบิดา “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน 1:12) และมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ในฐานะที่พระองค์เป็นจอมเจ้านายและพระผู้ช่วยให้หลุดพ้น (ยน 14:18-23)

(2) เป็นผู้ที่ได้ตายต่อบาปแล้ว และยังเป็นผู้ที่ยอมจำนนต่อการทรงนำของพระธรรมและพระคำของพระเจ้า (ยน 8:31,14:21;รม 6:1-14;8:1-17;2ทธ 3:15-16)

(3) เป็นผู้ที่ได้รับพระธรรมและเต็มเปี่ยมไปด้วยผลของพระพระธรรม และจะต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ (กจ 2:33-39;อฟ 5:18)

(4) เป็นผู้ที่จะต้องได้แยกตัวจากบาป และพงศ์พันธุ์ที่คดโกงในยุคปัจจุบัน (กจ 2:40;รม 6:1-14; 2 คร 6:17)

(5) เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้ต่อสู้เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า โดยต่อสู้กับซาตานและสมุนของมัน (2 คร 10:4-5;อฟ 6:11,6:16;1 ปต 5:8)

กล่าวโดยสรุป ความหลุดพ้นในขั้นที่ 2 คือความหลุดพ้นจากอำนาจของบาปโดยพระคุณของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นคนดีขึ้นในทุกๆวัน โดยการช่วยเหลือของพระเจ้า

3.3 ความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (The third Step of salvation)

-ความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification) ได้แก่การเข้าสู่ศักดิ์ศรีในพระเจ้า: (รม 13:11-12;1 ธส 5:8-9;1ปต 1:5) เป็นการรับร่างกายใหม่ เป็นความครบบริบูรณ์ของความหลุดพ้นขั้นที่ 1 และ 2 ที่เราได้รับแล้วนั้น ซึ่งเราจะได้รับสิ่งต่อไปนี้

(1) การปลดปล่อยจากพระพิโรธของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง (รม 5:9;1คร 3:15,5:5;1 ธส 1:10,5:9)

(2) การมีส่วนร่วมในพระสง่าราศีของพระเจ้า และได้รับกายใหม่ (รม 8:29;1คร 15:49,15:52)

(3) การได้รับบำเหน็จรางวัลในฐานะผู้มีชัยชนะ (วว 2:7)

-กล่าวโดยสรุป ความหลุดพ้นขั้นที่ 3 นี้ คือความหลุดพ้นจากการมีอยู่ของบาป ซึ่งหมายถึงในอนาคตจะไม่มีบาปหลงเหลืออยู่ในชีวิตของเราอีกเลย

ความหลุดพ้นพ้นขั้นที่ 3 นี้ เป็นเป้าหมายของผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนที่จะต้องต่อสู้เพื่อไปให้ถึง ตอนนี้เราได้รับความหลุดพ้นมาแล้ว 2 ขั้นตอน คือความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) ที่เราถูกชำระให้เป็นคนบุญ (ที่อาศัยในร่างของคนบาป) และความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) ที่เราถูกชำระให้บริสุทธิ์ เราจำเป็นต้องต่อสู้ในสงครามฝ่ายจิตวิญญาณทุกวันเพื่อไปให้ถึงความหลุดพ้นในขั้นที่ 3 (Glorification) ซึ่งเป็นความหลุดพ้นในขึ้นสุดท้าย (1 คร 9:24-27;ฟป 3:8-14)

-ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้ พระเจ้าแนะนำตักเตือนให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง เราจะรับคำแนะนำของพระองค์ได้จากการอ่านพระคัมภีร์ เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้น เพราะเมื่อเราอยู่ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 แล้ว เราจะมีพลังอำนาจของพระเจ้า ช่วยให้เราเป็นคนดีขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้น เราอาจจะได้รับโทษหากไม่เชื่อฟังพระเจ้าได้ ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือเราไม่ให้พลาดไปจากความหลุดพ้นในขั้นที่สาม (Glorification) ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต (1คร 5:1-13;9:24-27;ฟป 2:12,16;2ปต 1:5-11

-ความหลุดพ้นทั้งสามขั้นตอนนี้ เป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ และสอดคล้องกับหลักคำสอนอื่นๆในพระคัมภีร์ คือ เราได้รับแล้ว และยังไม่ได้รับอย่างครบบริบูรณ์ ถ้าถามว่า เราหลุดพ้นแล้วหรือยัง ก็จะตอบทั้ง “Yes” (ได้รับแล้ว) และ “No” (ยังไม่ได้รับ) ได้รับแล้ว คือได้รับแล้วในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) คือ ถูกชำระให้เป็นคนบุญ เพราะพระคุณของพระเจ้าโดยความเชื่อ และการถูกชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์โดยพระคุณเพราะความเชื่อในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) ส่วนที่ยังไม่ได้รับนั้น คือ ความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification) ได้แก่การเข้าสู่ศักดิ์ศรี การได้รับร่างกายใหม่ เรื่องอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เช่นเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่บางครั้งพระเยซูก็ตรัสว่ามาแล้ว และบางครั้งก็ตรัสว่ายังมาไม่ถึง

-การศึกษาถึงคำสอนของพระคัมภีร์ที่ว่าด้วยความหลุดพ้นนี้ มีความจำเป็น เป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้เราขจัดข้อสงสัยและข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องความหลุดพ้น ว่าเราหลุดพ้นหรือยัง กล่าวโดยสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าเราเข้าใจในคำสอนของพระคัมภีร์แล้ว เราจะเห็นว่า ความหลุดพ้นมีอยู่ 3 ขั้นตอน

1. ความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) คือความหลุดพ้นที่พระเจ้าประทานให้ “คนบาป” กลายเป็น “คนบุญ” เป็นความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้า เป็นความหลุดพ้นที่ได้จากการตอบสนองต่อพระคุณของพระเจ้าโดยความเชื่อ เป็นการกระทำของพระเจ้าเพื่อมนุษย์คนบาป และเป็นการตอบสนองของมนุษย์ต่อพระคุณนั้นที่รับเอาโดยความเชื่อ เป็นการกระทำของพระเจ้าในพระเยซูเพื่อคนบาป นั่นคือ พระองค์มาทำตามหนังสือหมวดธรรมบัญญัติ และหนังสือหมวดของคนทรงของพระเจ้า และพระองค์ได้ตาย และเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อคนบาป

2. ความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) เป็นความหลุดพ้นขั้นที่เชื่อมต่อจากความหลุดพ้นขั้นที่ 1 คือเราจะต้องดำเนินชีวิตโดยการถูกชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยการสำนึกผิด และสารภาพบาป เมื่อมีการทำผิดพลาดพลั้งไป “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยน 1:9) กล่าวคือ เราจะต้องดำเนินชีวิตตามความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ซึ่งได้แก่ กิเลส ราคะ ตัณหาของเนื้อหนัง

3. ความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification) เป็นความหลุดพ้นขั้นที่สาม เป็นความสมบูรณ์ของความหลุดพ้นทั้งสองขั้นตอนที่ได้รับแล้วนั้น เราจะได้รับเมื่อเราไปอยู่กับพระองค์ หรือเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง ความหลุดพ้นโดยพระคุณ เพราะความเชื่อนี้ มั่นคง เราไม่วันที่เราจะหล่นหายไปจากพระคุณของพระเจ้าได้เลย ไม่ต้องกลัวว่า ทำสิ่งนี้ผิดจะไม่หลุดพ้น ทำสิ่งนั้นผิดจะไม่หลุดพ้น

-เพราะพระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ…หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (รม 8:35,39)

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสที่ 20 พฤษภาคม 2012 เวลา 8:00 น.


 

 

แก้ไขล่าสุด (วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012 เวลา 20:12 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?