gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

4.เรื่องการไถ่ (Redemption)

เรื่องการไถ่ (Redemption)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2012 เวลา 16:30 น.


คำว่า การไถ่ (Redemption) แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Redemption และคำในภาษาอังกฤษแปลมาจากภาษากรีกอีกทีหนึ่งว่า apolytrosis เป็นคำที่ใช้ในทางการค้า ยืมมาจากภาษาทางการค้า ไม่ใช่ภาษาทางศาสนา ส่วนคำว่า ‘การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง’ (Justification) ก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาของศาล ไม่ใช่ภาษาทางศาสนาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์ภาษาไทยจึงแปลว่า “ความชอบธรรม”

ในพระคัมภีร์เดิมคำว่าการไถ่นี้ถูกใช้กับทาส ซึ่งได้รับการซื้อหรือไถ่ให้พ้นจากการเป็นทาสให้มีอิสรเสรี เขาเรียกการซื้อทาสนั้นว่า ‘การไถ่’ (ลนต 25:47-55)

-คำนี้ยังถูกใช้เปรียบเทียบกับประชาชนอิสราเอลผู้ที่ได้รับ ‘การไถ่’ ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพย 15:13) จากนั้นก็คือบาบิโลน (อสย 43:1) และได้กลับมาปฏิสังขรณ์ประเทศขึ้นใหม่

-ในกรณีของมนุษย์ชาติ ทุกคนตกเป็นทาสหรือเชลย คือเป็นทาสของความผิดความบาป (มีกิเลส ราคะ ตัณหา) ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นไปได้ พระเยซูคริสต์จึงได้มา ‘ไถ่’ ให้เขาพ้นจากการเป็นทาสบาป ซื้อเขาให้พ้นจากการเป็นเชลยของบาป โดยพระองค์ได้หลั่งเลือดลงเพื่อเป็นค่าไถ่บาป

-พระเยซูเองได้ตรัสถึงการมาเกิดของพระองค์ว่า พระองค์มาเพื่อ ‘สละชีวิตของพระองค์ให้กับคนเป็นอันมาก’ (มก 10:45) ผลของการซื้อหรือการไถ่’ หรือการช่วยเหลือนี้ทำให้มนุษย์ชาติกลับไปคืนดีกบพระเจ้า และเป็นคนของพระองค์

การไถ่นี้ หมายถึง การไถ่ตัวที่ต้องมีการจ่ายค่าไถ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความหลุดพ้นที่มีอยู่ 3 ขั้นตอน ตามที่เรากล่าวถึงในตอนที่แล้วนั้น เกิดจากการจัดหาโดยมีการเตรียมค่าไถ่ไว้ให้ หลักคำสอนเกี่ยวกับการไถ่ อันเป็นส่วนหนึ่งของความหลุดพ้น สามารถกล่าวสรุปได้ได้ดังนี้:

1. การไถ่ คือการเอาสภาพของการเป็นทาส หรือสภาพของการเป็นหนี้ออกไป ในกรณีของการไถ่บาป ก็คือการชำระหนี้ หรือชำระค่าของความบาปที่เรามี เราเป็นลูกหนี้ และเป็นทาสของบาป การไถ่บาปก็คือการเอาบาปออกไปจากชีวิตของเรา โดยการไถ่

-ในพระคัมภีร์ใหม่ได้กล่าวถึงสภาพของมนุษย์ว่าเขาห่างเหินจากพระเจ้า (รม 3:10-18) ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของซาตาน (กจ 10:38, 26:18) เป็นทาสของความบาป (รม.6:6;7:14) และมีความจำเป็นที่จะต้องรับได้รับการยกโทษจากความผิด และฤทธิ์อำนาจของบาป (กจ.26:18;รม.1:18;6:1-18,23;อฟ.5:8;คส.1:13;1ปต.2:9)

-ดังนั้น มนุษย์จะต้องได้รับการไถ่ ทั้งที่เป็นการไถ่ในอดีต และการไถ่ในปัจจุบัน และการไถ่ในอนาคต การไถ่ในอดีตพระเจ้าเป็นผู้กระทำ โดยให้พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นผู้มาจ่ายค่าไถ่นั้นในความตายของพระองค์ ส่วนการไถ่ในปัจจุบัน เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องในชีวิตของผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ในโลกนี้ เพราะเราจะต้องตอบสนองต่อพระเจ้าวันต่อวัน ในการนำความบาปที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราออกไป เพื่อเราจะไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ (อฟ.4:13)

2. ราคาที่ต้องจ่ายในการไถ่ เพื่อจะปลดปล่อยเราออกจากพันธนาการของความบาป พระเยซูคริสต์ได้จ่ายค่าไถ่ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของพระองค์ (มธ.20:28;มก.10:45;1คร.6:20;อฟ.1:7;ทต.2:14;ฮบ.9:12;1ปต.1:18-19) ดังนั้น เราจึงพ้นจากการเป็นทาสของความบาป เป็นอิสระจากบาป ไม่มีค่าของความบาปอีกต่อไป

3. ผลลัพธ์ของการไถ่ คือ ผู้เชื่อเป็นอิสระจากอำนาจปกครองของมารและจากความผิด และอำนาจของบาป (กจ.26:18;รม.6:7,12,14,18;คส.1:13) เราจึงเป็นคนบาปที่ไม่มีค่าของความบาป หรือเป็น“คนบุญ”ที่อาศัยอยู่ในร่างของ “คนบาป” อย่างไรก็ตาม เสรีภาพจากบาปนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้ตามความปรารถนาของเราเพราะเราเป็นของพระเจ้าแล้ว

-เสรีภาพจากบาปทำให้เราเต็มใจที่จะเป็นทาสของพระเจ้า (กจ 26:18;รม 6:18,22;1คร.6:19-20;7:22-23) เราจึงทำอะไรตามใจของเราเองไม่ได้ เพราะเราเป็นทาสของพระเจ้า จากการเป็นทาสบาป เรามาเป็นทาสของพระองค์ เราจะต้องทำตามพระทัยของพระองค์

4. คำสอนเรื่องการไถ่ในพระคัมภีร์ใหม่ ได้มีการกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วในพระคัมภีร์เดิม

-เหตุการณ์แห่งการไถ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระคัมภีร์เดิมคือการอพยพออกจากอียิปต์ (อพย.6) หลังจากนั้นได้มีการตั้งระบบการถวายเครื่องบูชา โดยให้ใช้เลือดสัตว์เป็นค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายสำหรับการไถ่โทษบาป (ลนต.9:8)

อย่างไรก็ตาม การไถ่ เป็นส่วนหนึ่งของความหลุดพ้น เพราะเมื่อได้รับการไถ่แล้ว เราก็ได้รับการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่ง (Justification) และเรากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์ทุกๆวันในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) ในความหลุดพ้นนี้ เราไม่สามารถไถ่ตนเองได้ แต่พระเจ้าสมารถที่จะไถ่เราออกจากการเป็นทาสบาป ทาสของเนื้อหนัง ทาสของมารซาตานได้ นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และความเมตตา กรุณาของพระเจ้า เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้จริงๆ

ความหมายของการไถ่

ในการไถ่นั้น ผู้ที่ไถ่จะต้องมีสิทธิอำนาจ หรือจะต้องเป็นผู้ที่มี “ค่าไถ่” ให้กับ ผู้ที่เป็นเจ้าหนี้นั้น แต่เดิมคำว่า “การไถ่” ในสมัยพระคัมภีร์เดิม หรือแม้แต่ในสมัยปัจจุบัน เป็นภาษาทางการค้า ไม่ใช่ภาษาทางศาสนาเหมือนดังที่กล่าวมาแล้ว

เราได้อ่านพบเรื่องการไถ่ที่ดินคืน ซึ่งเจ้าของได้เคยโอนให้หรือจำนองไว้ และยังมีบุคคลด้วยเหมือนกันที่จำเป็นต้องรับการไถ่คือ เช่นทาส หรือนักโทษ ในแต่ละกรณีไม่ว่าเป็นสิ่งของหรือเป็นบุคคล จะไถ่คืนจากสิทธิ์ที่หลุดไปหรือจากสภาพทาสได้นั้น ก็ต้องมีการเสียเงิน เสียค่า

การไถ่เป็นการซื้ออิสรภาพคืนมา เป็นการได้รับสิทธิที่เคยหลุดไปนั้นกลับคืนมาโดยมีการจ่ายให้ตามราคา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความหลุดพ้น

การไถ่ของพระเจ้าที่มีต่อพวกอิสราเอลที่เป็นชนชาติของพระองค์

ครั้งแรกได้ทรงเรียกอับราฮัมออกจากเมืองเออร์ของคนเคลเดีย (ไม่ใช่การไถ่ที่แท้จริง เพราะอับราฮัมยังไม่ได้ไปประเทศคานาอัน) ต่อมาพระองค์ทรงปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ สุดท้ายพระองค์ทรงปลดปล่อยชาวอิสราเอลออกจากการเชลยในประเทศบาบิโลน ทั้งสิ้นนี้พระเจ้าทรงเรียก ทรงกระทำ ทรงปลดปล่อย และทรงนำกลับคืนสู่ดินแดนพระสัญญาทุกครั้ง

ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งที่พูดเกี่ยวถึง “การไถ่ หรือการใช้หนี้บาป” อยู่ในหนังสืออิสยาห์ 53:5 พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ทำนายเกี่ยวกับพระคริสต์ผู้ที่จะเสด็จมาและจะตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา

-แต่ท่านถูกแทง เพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา” (อสย 53:5)

จงสังเกตการเข้ามาแทนที่ของพระองค์ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นว่าพระคริสต์ใช้หนี้แทนเรา เป็นภูมิหลังของพันธสัญญาเดิมที่ให้เราเข้าใจเรื่องการไถ่บาปอ้นยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์

สภาพของมนุษย์ในปัจจุบันนี้

ถูกแยกจากพระเจ้าและตกเป็นทาสบาปทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณและร่างกาย ความบาปของเรา (ที่เรากบฏต่ออำนาจของผู้เนรมิตสร้าง และต่อความผาสุกของเพื่อนบ้าน) ได้ทำให้เราตกเป็นทาสและแยกเราห่างจากพระเจ้า มนุษย์ซึ่งอยู่ในความผิดบาปเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การพิพากษา และค่าจ้างหรือผลของการกระทำนี้ก็คือความตาย

การกระทำของพระเจ้าเพื่อมนุษย์ผู้เป็นคนบาป

-พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระธรรม หรือ (The Logos พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวาทะ”) ได้อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์บริบูรณ์ไปด้วยพระคุณและความจริง เพื่อจะมาช่วยเหลือมนุษย์ผู้เป็นคนบาป (ยน 1:14)

-พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงบนกางเขนตายแทนเรา เราควรจะเป็นผู้ถูกตรึงและตายบนกางเขนนั้น เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระองค์ทรงรับโทษนั้นแทนเรา “พระเจ้าได้ทรงทำพระองค์ผู้ไม่มีบาป ให้บาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร 5:21) พระองค์ทรงเข้ามาแทนที่เราเพื่อทรงรับสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ

-พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกสาปแช่งเพื่อเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่ง’ (กท 3:13)

-จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราได้เห็นแล้วว่าพระคริสต์ทรงรับเอาความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์เพื่อใช้หนี้บาปแทนเรา ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งกล่าวว่า “เพราะพระคริสต์ทรงทนทุกข์ครั้งเดียวเป็นพอเพราะบาป คือพระองค์ผู้เป็นคนบุญตายเพื่อคนบาป ฝ่ายกายพระองค์จึงตาย แต่ฝ่ายวิญญาณเป็นขึ้นจากตาย” (1 ปต 3:18)

-พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาปได้ และดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านจึงได้รับการรักษาให้หาย (1 ปต 2:24)

-พระองค์มารับสภาพแทนเรา ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราอย่างบริบูรณ์ในสภาพอันน่าเวทนาของเรา พระองค์จึงสามารถรับความบาปและความตายแทนเราได้ ชีวิตของเราถูกรับไปเพราะความบาป

-พระองค์จึงทรงยอมตายแทนเรา ยอมถูกทอดทิ้งจากพระเจ้าเข้าอยู่ในความมืดแทนเรา

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสอนเราเกี่ยวกับว่าพระคริสต์ทรงเข้ามาเป็น “ตัวแทน” ของเรา แต่สอนว่าพระองค์ทรงเป็น “เครื่องบูชาไถ่บาป” ด้วย ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงใช้หนี้ความบาปทั้งหมดของมนุษย์ที่ติดค้างอยู่กับพระเจ้าอยู่แทนเรา

ความหมายของการตายของพระเยซูคริสต์

-เปรียบเหมือนปัสกาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการไถ่ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระองค์เป็นเหมือนลูกแกะและเลือดแกะไว้ที่กรอบประตู และเมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเลือดนั้น พระองค์ก็ผ่านบ้านนั้นไป

-พระเยซูหลั่งเลือดในขณะที่มีการฆ่าลูกแกะในเทศกาลปัสกา (ยน 13:1;18:25) พระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเรา’ ได้ถูกฆ่าบูชาเสียแล้ว (1 คร 5:7) พระองค์ ‘ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง’ ซึ่งหลั่งไหลออกเพื่อไถ่บาปเรา และจะต้อง ‘ประพรม’ ลงบนเรา (ยน 1:2,18,19)

เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า ‘พระเมษโปดก’) ได้หลั่งโลหิตและตายเป็นเครื่องถวายบูชาปัสกาแล้ว พระเจ้าทรงให้พระองเป็นขึ้นจากวามตาย เพื่อพิสูจน์เพราะทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเสียสละของพระองค์เพื่อไถ่บาป ไม่ใช่เป็นการสละที่สูญเปล่า บัดนี้พระองค์ทรง ‘ประทับข้างขวาของพระเจ้า’ เพราะพระราชกิจแห่งการทรงไถ่ได้สำเร็จแล้ว เต็มไปด้วยสง่าราศีและพระเกียรติยศ พระองค์ ‘ไถ่บาปชั่วนิรันดร์’ เพื่อเรา (ฮบ 9:12)

และตลอดเวลาชั่วนิรันดร์ฝูงชนแห่งสวรรค์จะร้องสรรเสริญว่า ‘พระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าผู้ทรงถูกฆ่าแล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช…’ (วว 5:12) ถ้าไม่มีการไถ่ ก็จะไม่มีความหลุดพ้นเลย เพราะการไถ่ทำให้คนบาปกลายเป็นคนบุญ เป็นการกระทำของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่มีการไถ่ ก็จะไม่มีการหลุดพ้นจากบาปเลย และถ้าไม่ยอมรับการไถ่บาปของพระเยซู ก็จะไม่สามารถกลับไปหาพระเจ้า ไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้เลย

กล่าวโดยสรุป เราไม่สามารถใช้หนี้ความบาปของเราเองได้ หรือหากทำได้ ก็คงหมายความว่าเราต้องถูกลงโทษและถูกส่งไปยังบึงไฟนรกและอยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์แน่นอน แต่พระเจ้าเป็นฝ่ายริเริ่มด้วยการเสด็จเข้ามาในโลกในสภาพที่เป็นมนุษย์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เพื่อใช้หนี้ความบาปต่อพระเจ้าแทนเรา

-เพราะการกระทำของพระองค์เพื่อเรานั้น เราจึงไม่เพียงแต่จะมีโอกาสได้รับการยกโทษบาปเท่านั้น แต่เรายังมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตเข้าสู่นิพพานไปอยู่กับพระองค์อีกด้วย

เพื่อที่จะได้รับชีวิตเข้าสู่นิพพาน เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำบนกางเขนแทนเรา เราช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีคนที่เข้ามารับหน้าที่แทนเรา นี่คือสาระสำคัญของการไถ่ หรือการใช้หนี้บาปแทนเรา

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสที่ 24 พฤษภาคม 2012 เวลา 10:00 น.

(ข้อมูลที่นำมาเขียนในบทเรียน “การไถ่ (Repentance) นี้ สวนหนึ่งแปลและเรียบเรียงมาจากหนังสือ “Understanding the Bible by John R. W. Stott” PP. 168-170,1972. และ หนังสือ Romans God’s Good News for the World by John R. W. Stott” p 113,1994.)


 


 

 

แก้ไขล่าสุด (วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012 เวลา 20:11 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?