11.เมื่อหลุดพ้นแล้ว ทำบาปได้ไหม?
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ทำบาปได้ไหม? Can we commit sin when we are saved by Grace?
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2012 เวลา 14:45 น.
เมื่อเราได้ยินคำสอนที่ว่า เราถูกชำระให้หลุดพ้นเป็นคนบุญโดยพระคุณเพราะความเชื่อในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) และดำเนินชีวิตอยู่โดยการถูกชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) และจะหลุดพ้นเป็นคนบุญอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าสู่ศักดิ์ศรีของพระเจ้าในขั้นที่สาม (Glorification) แล้ว ความหลุดพ้นโดยพระคุณทั้งสามขั้นตอนนี้ มั่นคงและปลอดภัยชั่วนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เราขาดจากความหลุดพ้นนี้ได้เลย เมื่อเข้าใจเช่นนี้ มักจะมีคำถามอยู่เสมอๆว่า
เมื่อหลุดพ้นเพราะพระคุณโดยความเชื่อแล้ว ทำบาปได้หรือไม่
-คำถาม เราสามารถใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ หรือเราสามารถที่จะทำบาป ทำอะไรก็ได้ตามใจเรา ดำเนินชีวิตแบบ สำมะเลเทเมา ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก และเราก็ยังคงได้รับความหลุดพ้นอยู่ใช่ไหม
-คำตอบ ก็คือ “No” “ไม่ใช่” เพราะพระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย เราได้ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าในความตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดยพระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน” (รม 6:1-4)
สาเหตุที่ถามคำถามเช่นนั้น
-เกิดจากความไม่เข้าใจในคำสอนเรื่องหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อย่าลืมว่า เมื่อเรารับเชื่อในพระเจ้า กลับใจเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ และได้ถูกรับเข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว เราได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่ 1 (Justification) และดำเนินชีวิตอยู่ในขั้นที่ 2 (Sanctification) เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว มีสิทธิที่จะได้รับมรดกเพราะเป็นทายาท
-ในการดำเนินชีวิตในความหลุดพ้นขั้นที่สองนี้ พระธรรมของพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในจิตใจเรา และเป็นพลังอำนาจของเราที่จะทำตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมที่เป็นคนบาป พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เราเป็น “คนบุญ” ที่อาศัยอยู่ในร่างของ “คนบาป”
-ดังนั้นผู้ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้หลุดพ้นแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายของคนบาป (คนเก่า) นั้น คนเก่านี้แหละมีความบาปสิงอยู่ (ไม่สามารถเอาออกจากเนื้อหนังนี้ได้ จึงได้มีการตายไถ่ของพระเยซูไง) และคนเก่านี้แหละที่ทำบาป เมื่อคนเก่าทำบาป “คนใหม่” ก็จะไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วย และคนใหม่ก็จะไม่ทำเช่นนั้น
-ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ด้วยว่าข้าพเจ้ารู้ว่าในตัวข้าพเจ้า (คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้า) ไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ” (รม 7:15-20)
พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่า เราทั้งหลายหลุดพ้นโดยพระคุณ เพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
-ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความหลุดพ้นนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ (อฟ 2:8-9)
-เพราะว่าพระเจ้าทรงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน (ยน 3:16)
-พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น (มรรค) เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยน 14:6)
สิ่งที่ผู้เชื่อพระเจ้าได้รับ เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว
-เขาหลุดพ้นเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง (Justification) ดำเนินชีวิตในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) โดยการถูกชำระให้บริสุทธิ์ เขามั่นคงอยู่ในความหลุดพ้นนั้น
-ความหลุดพ้นไม่ใช่สิ่งที่รับมาโดยความเชื่อแล้ว และต้องรักษาไว้ด้วยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เหมือนดังที่คริสเตียนหลายคนสอนและเข้าใจ ดังที่เปาโลได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ พวกท่านเริ่มต้นด้วยพระธรรมของพระเจ้า แต่จะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ” (กท 3:3) หมายความว่า เริ่มต้นที่การกระทำของพระเจ้า จะมาจบด้วยการกระทำของตนเองหรือ
-หากเราถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 โดยความเชื่อแล้ว เราก็ถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 โดยความเชื่อเช่นกัน เราไม่สามารถซื้อความหลุดพ้นได้ด้วยการกระทำของเราเอง พระเจ้าเท่านั้นเป็นผู้ประทานให้
-ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปกปักรักษาความหลุดพ้นของเราไว้ได้ พระเจ้าเท่านั้นคือผู้ที่ปกปักรักษาความหลุดพ้นของเราไว้ (ยด 24) นั่นคือพระหัตถ์ของพระองค์ทรงยึดเราไว้มั่น (ยน 10:28-29) นั่นคือพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ของพระเจ้าที่ไม่มีใครสามารถแยกเราออกไปได้ (ยน 10:28-29)
เหตุที่หลายคนเชื่อว่าหลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อเท่านั้นไม่พอ จะต้องประพฤติด้วย เป็นเพราะ:
-เขาไม่เข้าใจความหลุดพ้นเพราะพระคุณ โดยความเชื่อ และคิดว่า การกระทำของพระเยซูเพื่อเขานั้นไม่เพียงพอ จะต้องช่วยเหลือพระองค์ด้วยการทำดี ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง
-เราหลุดพ้นเพราะบารมีของพระเจ้าไม่ใช่ของเรา ดังที่เปาโลกล่าวว่า “ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าท่านเป็นคนบุญ’ ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จที่ได้นั้นเป็นเพราะพระคุณ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงโปรดให้คนบาปเป็นคนบุญได้ เพราะความเชื่อของคนนั้น พระเจ้าถือว่าเป็นบุญ ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนบุญ โดยไม่อาศัยการประพฤติว่า ‘คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกความบาปของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้วก็เป็นสุข บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงถือโทษบาปของเขาก็เป็นสุข’ (รม 4:3-8)
-การอ้างว่าเราต้องเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า หรือมีชีวิตที่ถูกต้องเพื่อรักษาความหลุดพ้นของเราเอาไว้ และเพื่อความหลุดพ้นของเราจะได้สมบูรณ์ ก็เหมือนกับการพูดว่าการตายของพระเยซูไม่เพียงพอที่จะใช้หนี้บาปของเรา แต่การตายของพระเยซูคริสต์ก็พอเกินพอแล้วสำหรับค่าไถ่โทษบาปของเรา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังจากที่เราได้รับความหลุดพ้น
-แต่พระเจ้าทรงสำแดงพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ตายเพื่อเรา (รม 5:8)
-เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ตายเพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ (1 คร 15:3)
-เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ไม่มีบาป ให้เป็นความบาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญของพระเจ้าทางพระองค์ (2 คร 5:21)
ดังนั้น จากที่กล่าวมาทั้งหมด จึงมีคำถามว่า ผู้เชื่อพระเจ้าสามารถใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ใช้ชีวิตแบบ “ตามใจฉัน” “ทำอะไรก็ได้ ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก แล้วก็ยังได้รับความหลุดพ้นอยู่ใช่ไหม คำตอบก็คือ “No” “ไม่ใช่” เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างชัดเจนว่าผู้เชื่อพระเจ้าจะใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้ที่ถูกทรงสร้างใหม่แล้ว ดังที่เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร 5:17)
สิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องทำและไม่ทำคือ:
-เขาจะทำตามพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ความยินดี สันติภาพ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “สันติสุข”) ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย (กท 5:22-23)
-เขาจะไม่ทำตามเนื้อหนัง (เนื้อหนังเป็นภาษาเฉพาะของเปาโล มีความหมายว่า “บาป”) ซึ่งมี “การล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (กท 5:19-21)
-ผู้ที่อยู่ในพระองค์ไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์ ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรม เหมือนอย่างพระองค์ทรงชอบธรรม ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารก็ทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร ผู้ที่เกิดจากพระเจ้า ไม่กระทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้น และเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า (1 ยน 3:6-9)
-ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ด้วยการทำบาปอย่างต่อเนื่อง
ในการตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ว่าพระคุณของพระเจ้าส่งเสริมให้มีการทำบาปนั้น เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้” (รม 6: 1-2)
-ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย (1 คร 6:12)
-เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น (1 คร 10:23)
ความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้ามีอยู่ 3 ขั้นตอน
-พระองค์ชำระให้เราเป็นคนชอบธรรมในขั้นที่หนึ่ง (Justification)
-พระองค์ชำระเราให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification)
-พระองค์ให้เรารวมตัวกันเป็นชุมชนของพระเจ้า ให้ช่วยเหลือกันและกัน ให้เสริมสร้างกันและกันขึ้น เพื่อสง่าราศีของพระองค์ (Edification)
-พระองค์จะให้เราจะหลุดพ้นในขั้นที่สาม (Glorification) เมื่อเราไปอยู่กับพระองค์ หรือเมื่อพระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมาครั้งที่สอง
-ความหลุดพ้นทั้งสามขั้นตอนไม่ได้เป็นข้ออ้างให้เราทำความบาป
ความหลุดพ้นทั้งสามขั้นตอนนี้ คือความมั่นคงที่ทำให้เราได้รู้ว่าพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้า เป็นหลักประกันสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ การได้รู้จักและเข้าใจถึงความหลุดพ้น ซึ่งเป็นของประทานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทำให้ความคิดที่ว่าความหลุดพ้นโดยพระคุณนี้เป็นข้ออ้างให้ทำความบาปได้ จึงไม่เป็นความจริง และไร้เหตุผล
-เราจะมีชีวิตอยู่ในความบาปได้อย่างไร เมื่อรู้ถึงราคาที่พระเยซูคริสต์ได้จ่ายออกไปเพื่อซื้อเราไว้แล้ว (รม 6:15-23) ถ้าเราทำเช่นนั้น ก็แสดงว่า เราเป็นคนที่ไม่รู้อะไร เป็นคนบาปหนาสาโหด เป็นพวกบัวที่ยังอยู่ในโคลนตม
เมื่อเราได้รับพรหมวิหารสี่ของพระเจ้า และเมื่อเรารู้ว่าพรหมวิหารสี่ของพระองค์ค้ำประกันเรา เราจะทำบาปได้อย่างไร คนที่คิดและทำเช่นนั้นแสดงไม่เข้าใจว่าความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์คืออะไร ขอสรุปจากคำสอนของยอห์นอีกครั้งหนึ่งว่า “ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์” (1 ยน 3:6)
แสดงว่า ผู้ที่ “อยู่ในพระองค์” จะไม่ทำบาปเลย คือในพระเยซูนั้น หรือใน “คนใหม่” นั้น เราไม่ทำบาปเลย แต่ใน “คนเก่า” หรือตัวเก่าของเรานั้น เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่ไม่มีผลกระทบต่อความหลุดพ้นทั้งสามขั้นตอนที่เราได้รับแล้ว (รม7:13-20) เพราะเราเชื่อฟังกฎของพระเจ้า ไม่ได้เชื่อฟังกฎของเนื้อหนัง (รม7:21-25) เราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราหลุดพ้นเพราะพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่หลุดพ้นเพราะความสามารถ หรือศักยภาพของเรา
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
ใน วันพฤหัสที่ 26 พฤษภาคม 2012 เวลา 8:20 น.