gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ธรรมชีวิต 1-9 กรกฎาคม 2012‏

1 กรกฎาคม 2012

“ฤดูกาลของชีวิต”

ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของเขา

สุภาษิต 16 : 9

ชีวิตของดิฉันมีอะไรทำน้อยลง ไม่ใช่เป็นเพราะบริษัทของตนเองปิดตัวลง แต่ลูกชายกำลังจะเข้าโรงเรียนอนุบาลหลังจากที่เป็นแม่บ้านมานานถึงสิบปี ในที่สุดลูกๆ ทั้งสี่คนก็จะไปอยู่ที่โรงเรียนตลอดทั้งวัน

ดิฉันมีแผนหลายอย่าง หลายปีก่อนหน้านี้พระเจ้าทรงเรียกให้ดิฉันเป็นครู หลังจากได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับลูกๆ จนพวกเขาเข้าโรงเรียนแล้ว ดิฉันก็จะไปสอนพิเศษสักสองสามปีและหลังจากนั้นหากพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ดิฉันก็จะสอนเต็มเวลา

แต่ดิฉันหวาดกลัว สงสัยในความสามารถของตนเองและวิตกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวทำไมดิฉันจึงหวาดหวั่นและเศร้าใจ ถ้าหากพระเจ้าทรงเรียกดิฉัน ทำไมดิฉันจึงไม่มั่นใจ

เมื่อปรึกษาสามีเกี่ยวกับความกลัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นเขากล่าวเรียบๆ ว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเรียกคุณให้ทำงานนี้ พระองค์ก็จะประทานพละกำลังตามที่คุณต้องการด้วยเช่นกัน”

ดิฉันตระหนักว่าในชีวิตของดิฉันถ้าพระเจ้าทรงเรียกให้ไปยังสถานที่ใด พระองค์จะทรง ชี้แนะและค้ำจุนดิฉันด้วยตลอดฤดูกาลของชีวิต พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ความรักของพระเจ้ามั่นคงไม่เสื่อมคลาย

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสถานที่ที่ข้าพระองค์อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ และที่ที่ข้าพระองค์จะไปในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป โปรดช่วยให้ข้าพระองค์พึ่งพาความเข้าใจอันถ่องแท้สมบูรณ์ของพระองค์ตลอดทุกฤดูกาลของชีวิต ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

2 กรกฎาคม 2012

“ศูนย์กลางของชีวิต”

ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น ข้าพระองค์ทุกคนเป็นผลพระหัตถกิจของพระองค์

อิสยาห์ 64 : 8

เมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันได้เรียนเกี่ยวกับการปั้นดินเผามันเป็นชั้นเรียนที่สนุกสนาน แต่บางครั้งดิฉันก็ทำได้ช้ามาก บทเรียนหนึ่งๆ นั้นดิฉันจะเรียนในวันแรก แล้วก็ทำซ้ำๆ กัน เกือบจะทุกวันต่อๆ มา ไม่มีงานใดจะสำเร็จลงได้จนกว่าจะตั้งดินเหนียวไว้ตรงกลางของแป้นหมุนก่อนที่จะเริ่มทำการปั้น ถ้วยและชามที่ดูเหมือนจะเสร็จแล้วกลับยุบลง ถ้าก้อนดินเหนียวนั้นอยู่ไม่ตรงจุดศูนย์กลาง ดิฉันพบว่า เมื่อแป้นเริ่มหมุนดิฉันต้องใช้สมาธิและพลังทั้งหมดที่มีเพื่อจับก้อนดินเหนียวไว้ในมืออย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะ “รู้สึก” ถึงจุดศูนย์กลางของแป้นหมุนให้ได้ ปกติดิฉันมักจะหลับตาเพราะสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นศูนย์กลางนั้นอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เมื่อดิฉันพบจุดศูนย์กลางแล้วจึงจะสามารถปั้นดินเหนียวให้เป็นสิ่งต่างๆ ที่มีประโยชน์และสวยงามได้

มันไม่ยากเลยที่จะพบความคล้ายคลึงกันระหว่างการเรียนปั้นกับสัมพันธภาพกับพระเจ้า ถ้าดิฉันพยายามให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตด้วยความเต็มใจ ชีวิตของดิฉันก็อาจจะเป็นประโยชน์และสะท้อนถึงความรักอันงดงามขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นอยู่ ณ ศูนย์กลางของพระองค์ทั้งในวันนี้และตลอดไป โปรดปั้นข้าพระองค์เพื่องานรับใช้ของพระองค์ และให้ข้าพระองค์เป็นภาชนะแห่งพระวิญญาณของพระองค์ ทูลอธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

3 กรกฎาคม 2012

“พระพักตร์ของพระเจ้า”

ยาโคบตอบว่า “มิได้ ข้าพเจ้าขอที ถ้าข้าพเจ้าถูกใจท่านแล้ว ขอรับของกำนัลนั้นจากมือข้าพเจ้า เพราะแท้จริงเมื่อข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าเพราะท่านต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี”

ปฐมกาล 33 : 10

วันนั้นดิฉันจำได้ว่า เงินของตัวเองหายเกลี้ยงในขณะที่ดิฉันกำลังเดินทางไปร่วมงานเสวนาเกี่ยวกับหนังสือ จึงหวังว่าจะขายหนังสือได้หลังจากงานนั้นเงินที่ดิฉันเก็บไว้เพื่อเป็นเงินทอนหายไปหมด เจ้าหัวขโมยต้องเป็นลูกชายแน่ๆ ดิฉันโกรธมากและดูเหมือนเขาก็รู้ตัวด้วย

ลูกชายสารภาพว่าเขาเอาเงินไป เขาเสียใจแต่บอกว่า เขาจำเป็นต้องใช้เงินนั้นและคิดว่าดิฉันคงไม่ว่าอะไร เขากล่าวอีกว่าเขาตั้งใจจะคืนให้ก่อนที่ดิฉันจะรู้ว่ามันหายไป ดิฉันผิดหวังกับการกระทำของลูกชาย เขารู้ว่าการขโมยเงินนั้นเป็นความผิด  ดิฉันจะอภัยให้กับการขโมยของเขาได้อย่างไร และแล้วดิฉันก็คิดถึงเรื่องของเอซาว ยาโคบผู้เป็นน้องชายได้ขโมยสิทธิบุตรหัวปีไปจากเขา (ปฐมกาล 27) ดิฉันแน่ใจว่ายาโคบคงจะคิดว่าเอซาวคงไม่มีวันอภัยให้เขาได้ แต่เอซาวทำได้ การยกโทษทำให้ชีวิตของเอซาวมีความสุข และทำให้เขาสามารถต้อนรับน้องชายในแบบที่ทำให้ยาโคบรู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า

ดิฉันอธิษฐานเผื่อตนเองและลูกชายทุกวัน แม้จะอภัยให้เขาแล้วก็ตาม แต่ดิฉันยังไม่สามารถที่จะพูดคุยกับเขาด้วยการยอมรับอย่างแท้จริงที่ทำให้เขามองเห็น “พระพักตร์ของพระเจ้า” ที่อยู่ในตัวดิฉันได้ อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งดิฉันจะทำได้ แล้วคุณล่ะ คุณเคยยกโทษให้ใครบางคนและรับรู้ถึงความปีติยินดีที่พวกเขาแสดงออกว่าได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในตัวของคุณบ้างหรือไม่

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ต้องการจะเป็นผู้ที่ให้อภัยได้เหมือนเช่นเอซาว เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้รับพระพรเหมือนยาโคบและมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


4 กรกฎาคม 2012

“เลือกสิ่งดี”

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงยืนที่ถนนและมองให้ดีและถามหาทางโบราณนั้นว่า ทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้นและให้จิตใจของท่านได้ความสงบ”

เยเรมีย์ 6:16

ดิฉันต้องตัดสินใจ ข้อดีและข้อด้อยของทางเลือกแต่ละอย่างก็หนักแน่นเท่า ๆ กัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า “เราควรจะเลือกอย่างระมัดระวัง เพราะว่าการตัดสินใจทุกครั้งจะมีผลตามมาทั้งดีและเลว”  ดิฉันคิดถึงการตัดสินใจที่ผ่านมาในอดีต บางอย่างดิฉันกระทำไปอย่างรวดเร็วและมีหลายครั้งที่ทำตามใจของตนเองอย่างปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายมากและดิฉันต้องพยายามแก้ไขเท่าที่สามารถจะทำได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดิฉันจึงอธิษฐานเกี่ยวกับทางเลือกที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วดิฉันก็รอด้วยความเชื่อให้พระเจ้าทรงนำทางในการเลือกที่ถูกต้อง อีกทั้งรู้ว่าอาจจะไม่ได้รับคำตอบในทันทีทันใดแม้ว่าการตัดสินใจจะต้องประสบกับความยุ่งยากแต่เราวางใจว่าพระเจ้าจะทรงส่องสว่างแก่ทางชีวิตของเรา พระวจนะของพระเจ้าจะนำเรา “เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์” (สดุดี 119:105) เราเลือกทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยแสงสว่างที่เรามี ด้วยรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ

ข้าแต่พระเจ้าพระผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยง โปรดสดับฟังอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงเป็นผู้นำแล้วข้าพระองค์ให้เดินไปตามทางชอบธรรม อธิษฐานในนามแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


5 กรกฎาคม 2012

“มองเห็นพระเจ้า”

พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า “...ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้น ขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด”

มาระโก 9:23-24

ทั้ง ๆ ที่โธมัสใกล้ชิดกับพระเยซูแต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าพระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนยังทรงพระชนม์อยู่อย่างที่สาวกคนอื่น ๆ มองเห็น โธมัสบอกว่าถ้าได้สัมผัสรอยตะปูที่พระหัตถ์และบาดแผลที่สีข้างของพระองค์ก่อนแล้วเขาจึงจะเชื่อ

บางครั้งผมเองก็สงสัย ความเชื่อของผมถูกทับถมไว้ด้วยภาระหนักแห่งความวิตกกังวลเกี่ยวกับครอบครัว การงาน สุขภาพ เพื่อนฝูงและเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้ ผมพบว่าตนเองเป็นเหมือนกับโธมัสที่มองหาข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่นี่พร้อมจะสนับสนุนความเชื่อของผม

จดหมายฝากในพระธรรม 1 ยอห์นนั้นบอกเราว่าที่ไหนมีความรักที่นั่นมีพระเจ้า แท้จริงแล้วเราทั้งหลายอ่านพบว่าพระเจ้าเป็นความรัก เมื่อผมอ่อนล้ากับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตและเริ่มสงสัยพระเจ้า ผมจะมองหาสิ่งต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ในการแสดงออกถึงความรักถ้อยคำที่อ่อนโยน ของประทานที่แสดงถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่และการช่วยเหลือต่าง ๆ เราจะเห็นว่าพระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และทรงกระทำพระราชกิจอยู่ทุกหนแห่งรอบตัวเรา

ข้าแต่พระเป็นเจ้า ยามที่ความเชื่อของข้าพระองค์แกว่งไกว โปรดเตือนให้ข้าพระองค์ระลึกว่าตราบใดที่ข้าพระองค์มองเห็นความรัก ข้าพระองค์ก็มองเห็นพระองค์ ทูลในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

6 กรกฎาคม 2012

“สิ้นสุด”

จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า

สดุดี 46:10

ดิฉันป่วยเป็นเวลานานหลายวันในช่วงอากาศหนาว ดิฉันเคยท้อแท้หวาดกลัว รำคาญ และรู้สึกอ่อนเพลีย   แต่แล้ววันหนึ่งอากาศก็อุ่นขึ้น ลมก็สงบลง และดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงอีกครั้ง ดิฉันถือหนังสือเฝ้าเดี่ยวที่เป็นข้อเตือนใจสำหรับตัวเองมาตลอดช่วงนั้นและคว้าผ้าห่มพร้อมกับเสื่อไปที่สนามหลังบ้าน นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อนและเปิดหนังสือออก ประโยคแรกที่อ่านก็คือ “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่าเราคือพระเจ้า” ดิฉันรู้ว่าประโยคนี้เขียนไว้เพื่อดิฉันโดยเฉพาะ ดิฉันหลับตาลงและทำใจให้สงบ พักผ่อนอยู่ในความนิ่งเงียบและปล่อยใจให้รู้สึกถึงการประทับอยู่ด้วยของพระเจ้าผู้ทรงนำดิฉันให้ผ่านพ้นความหนาวเย็นอันทารุณมาได้

ผ้าห่มกลายเป็นการโอบกอดของพระเจ้า อ้อมพระหัตถ์ที่ยึดมั่นและรักษาดิฉันให้หายจากความเจ็บปวดของโรคร้ายความรักของพระเจ้าโอบล้อมดิฉันไว้อย่างอบอุ่น ดิฉันสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด สัมผัสแห่งแสงอาทิตย์กลายเป็นความรักอันมั่นคงของพระเจ้า สายลมอ่อน ๆ ระงับความเดียวดายเสีย แสงสว่างแห่งการรักษาของพระเจ้าหลั่งไหลสู่ร่างกาย จิตวิญญาณและความคิดของดิฉัน ความมืดแห่งฤดูหนาวและโรคภัยไข้เจ็บดูเหมือนจะเลือนหายไป ความรู้สึกกลับมีชีวิตเริ่มต้นฟื้นคืนมา ดิฉันไม่ได้อยู่ตามลำพัง และเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นดิฉันก็รู้ว่าไม่เคยอยู่เดียวดาย

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์คือผู้ที่ข้าพระองค์รัก ผู้ทรงทำการรักษาเยียวยาทั้งกายและจิตวิญญาณของข้าพระองค์ ขอบพระคุณในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

7 กรกฎาคม 2012

“การทรงสำแดงของพระเจ้า”

...พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว หาได้ประทับที่นี่ไม่...จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์

มาระโก 16:6-7

เมื่อเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขากับพระเยซูพระองค์ทรงจำแลงพระกายต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด” ประโยคนี้กล่าวภายหลังจากที่เปโตร ประกาศว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์” (8:29)

ในคืนที่พระองค์ถูกจับ พระเยซูทรงเรียกเปโตร ยากอบและยอห์นให้ไปเป็นเพื่อนพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อพระองค์ถูกจับพวกสาวกต่างพากันหนีเอาตัวรอด มีบ่อยครั้งเพียงใดที่เรามีโอกาสได้ประสบกับพระสิริของพระเจ้าในชีวิต แต่กลับหวาดผวาขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและการทดลอง

เพื่อนบางคนของดิฉันเพิ่งจะกลับจากการไปภูเขาอธิษฐานช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขานับตั้งแต่ได้เข้าร่วมการอธิษฐานที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจครั้งนั้นแล้ว มีหลายครั้งในแต่ละปีที่ดิฉันลืมและอาจจะถึงกับปฏิเสธพระคริสต์ด้วยการละทิ้งพระองค์

ทั้ง ๆ ที่พวกสาวกไม่อาจจะอยู่กับพระเยซู แต่ข่าวอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับก็คือ พระเจ้าทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นถึงพระสิริของพระองค์เสมอมา “ชายหนุ่ม” ในชุดขาวประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาและดำเนินไปล่วงหน้าแล้ว แต่พระสิริและพระคุณของพระเจ้ายังคงฉายแสงส่องต่อหน้ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบกพร่องเมื่อจะรักษา คืนดี และสร้างใหม่

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเมตตา โปรดยกโทษข้าพระองค์ที่ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตตามอย่างผู้ที่เป็นพยานถึงพระสิริของพระองค์ ขอทรงทำให้ข้าพระองค์มองเห็นของประทานอันยิ่งใหญ่แห่งความรักและพระคุณของพระองค์ ทูลขอในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

8 กรกฎาคม 2012

“ใจใหม่”

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์

สดุดี 51:10

ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ผมได้รับพระพรให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมมิชชันนารีด้านทันตแพทย์ที่ทำงานกับชนเผ่ากะเหรี่ยงในหมู่บ้านอันห่างไกล สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือ คนส่วนใหญ่ดูมีความสุขแม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพย์สมบัติเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่พวกเขากลับร่ำรวยความรักและมีครอบครัวที่มั่นคง มีใจสุภาพและอ่อนโยน มีความรักผืนแผ่นดินและสำนึกว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้เสมอ

ในระหว่างการเดินทางไปทำงานเป็นครั้งแรก พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ในตัวผม พระองค์ทรงสร้างใจใหม่และนำผมเข้ามาสู่สัมพันธภาพกับพระเจ้า นับตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ใจของผมสงบและหนักแน่นขึ้น ผมมองเห็นพระเจ้าทรงกระทำราชกิจเช่นเดียวนกับสมาชิกคนอื่นในกลุ่มด้วย

ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผมว่างเปล่าก่อนที่จะร่วมการเดินทางเหล่านั้น แต่เมื่อผมรับใช้ผู้อื่นในนามขององค์พระคริสต์พระเจ้าก็ทรงสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผม ทุกครั้งที่เดินทางกลับผมจะได้รับมากกว่าก็ได้ให้ไป และชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ผู้ที่กำลังสับสนอยู่ในความเชื่อได้เข้ามาหาพระองค์ ขอทรงเปิดตาของเขา สร้างใจใหม่และเติมพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่พวกเขา ทูลขอในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

9 กรกฎาคม 2012

“ความเชื่อแบบของฉัน”

ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังมิได้เห็นนั้นมีจริง

ฮีบรู 11:1

เมื่อก่อน ทุกครั้งที่ดิฉันเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศแล้วส่งทางไปรษณีย์ มันเป็นสิ่งที่ดิฉันต้องวางใจเพราะไม่สามารถจะไปส่งจดหมายยังเมือง ยังประเทศ หรือทวีปต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องพึ่งบริการไปรษณีย์ ดิฉันต้องทิ้งจดหมายลงไปในตู้ที่มีจดหมายฉบับอื่น ๆ รออยู่ก่อนแล้วและวางใจว่าบริการไปรษณีย์จะนำจดหมายของดิฉันไปส่งยังจุดหมายปลายทาง ความวางใจในระบบไปรษณีย์นี้ทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่าจดหมายจะถูกส่งไปถึงมือผู้รับ แม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นขบวนการต่าง ๆ ด้วยตาของตนเองก็ตาม

เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่เราเผชิญกับปัญหา ความเชื่อที่เรามีต่อพระเจ้าจะช่วยเราได้ ถ้าปัญหาดูเหมือนยากเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ เราสามารถทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า จงปล่อยให้สถานการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและวางใจว่าพระองค์จะแก้ปัญหาให้เรา แม้เราจะมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม แต่ความเชื่อของเราคือ “ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้” คือความมั่นใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะสำเร็จ

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ยอมมอบปัญหาทุกอย่างไว้กับพระองค์ ขอทรงประทานความเชื่อที่จะวางใจในพระองค์ขณะที่ข้าพระองค์ทูลอธิษฐาว่า “ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์ สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์” อาเมน

 

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?