สวัสดีความสุข(สุก)!
สวัสดีความสุข(สุก)!
ดัชนีวัดความสุขด้วยมาตรฐาน (Happy Planet Index) ได้รายงานว่า ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ
“วานูอาตู” (Vanuatu) ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรที่ห่างจากประเทศออสเตรเลียประมาณ ๑,๓๐๐ ไมล์ มีประชากรเพียง ๒ แสนคน พวกผู้ชายจะใส่ผ้าเตี่ยว ผู้หญิงจะนุ่งกระโปรงทำด้วยใบไม้ พวกเขาเป็นชาวเกาะที่ผมหยิกหยอง อยู่บ้านกระต๊อบหลังคามุงด้วยหญ้าและเลี้ยงชีพด้วยการหาปลา ไม่น่าเชื่อว่า นี่คือคนที่มีความสุขมากที่สุด!
ย้อนกลับมาดูบ้านเราที่เรียกตนเองว่าผู้เจริญแล้ว ท่ามกลางความขัดแย้งในสังคม การต่อสู้ทางการเมืองกับเศรษฐกิจ การก่อการร้ายและสงคราม ไปจนถึงการช่วงชิงทางด้านศาสนา การก่อม็อบ เดินขบวนและกดดันให้มี “ศาสนาประจำชาติ” เหตุการณ์นี้ทำให้ผมระลึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่ว่า “เรามีศาสนามากพอที่จะทำให้เราเกลียดกัน แต่ไม่มากพอที่จะทำให้เรารักกัน”
เราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวและหวาดเสียว หลายชาติเร่งผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไข้หวัดนกระบาดและป้องกันยาก เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงทำให้ผู้คนหาทางออกด้วยวิธีง่ายๆ เกือบทุกวันมีข่าวจี้และข่มขืน ร้านขายทองถูกปล้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ บางร้านจึงติดลูกกรงเหล็กรอบร้านเพื่อป้องกันตนเอง ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า เดือนเมษายนที่ผ่านมามีเช็คเด้ง ๑๑,๙๖๗ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ๒.๘๙ % แสดงถึงสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีเอามากๆ
สังคมที่เอารัดเอาเปรียบและอยู่แบบตัวใครตัวมัน นักการเมืองที่ซื่อตรงคนหนึ่งเขียนติดไว้ที่โต๊ะทำงานของตนเอง โดยอธิบายถึงลักษณะของผู้คนที่มีขาดความยุติธรรมว่า “เร็วก็หาว่าล้ำหน้า ช้าก็หาว่าอืดอาด ฉลาดก็ถูกระแวง ทำก่อนก็ถามว่าใครสั่ง ทำทีหลังก็ด่าว่าไม่รู้จักคิด เกลียดคนตรง หลงคนงอ ชอบกินลูกยอ แต่ให้ลูกโยน หัวตัวเองไม่พอใจ ชอบหัวใหม่ ด้วยการใส่หัวโขน คนดีจึงเผ่นหนีหน้า คนที่เดินหน้าจึงมีแต่โจร...”
มนุษยโลกต่างต้องการสันติสุข ทุกคนร่ำร้องโหยหาเสรีภาพและสันติภาพที่แท้จริง ดังบทกลอนชื่อ “อยากจะให้” ของคุณอมรินทร์ ปิยะสัจจเดช ที่บอกในตอนหนึ่งว่า
“อยากจะให้โลกมนุษย์ผุดผ่องใส
งามวิไลสดสวยดังสวรรค์
อยากจะให้พฤกษชาตินานาพันธุ์
หลากสีสันรัญจวนยวนใจกาย
อยากจะให้ปฐมพีมีสีเขียว
ไม่แห้งเหี่ยวชุ่มชื่นระรื่นหลาย
อยากจะให้ทุกชีวิตสุขสบาย
โยงใยสายไมตรีมีสัมพันธ์...”
อยากจะให้ผู้น้อยด้วยวัยวุฒิ
เสมือนบุตรผูกจิตพิสมัย
อยากจะให้ผู้สูงอายุวัย
เป็นร่มไทรไม่เพียงแต่เลี้ยงลูกตน
อยากจะให้กุลสตรีเป็นศรีบ้าน
ไม่แรดร่านงานเรือนหมั่นฝึกฝน
อยากจะให้เพศแม่ทุกทุกคน
ประพฤติตนตามประเพณีมียางอาย
อยากจะให้ชาติชายไว้ศักดิ์ศรี
สร้างเสริมบุญบารมีไม่ขาดหาย
อยากจะให้สัตบุรุษมนุษย์ชาย
จงไว้ลายเป็นหลักเอกเฉกผู้นำ
อยากจะให้พระและครูผู้สอนศิษย์
รู้ถูกผิดหลีกเลี่ยงเพลี่ยงถลำ
อยากจะให้ผู้สอนสั่งประพฤติธรรม
ให้ศิษย์จำทำแบบอย่างไม่คลางใจ...” [1]
ในตลอดพระธรรมยอห์นพระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” พระองค์ทรงเป็นผู้ถือสิทธิอำนาจแห่งชีวิต (ยน.๕.๑-๔๗) พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตสำหรับผู้ที่หิวโหยฝ่ายจิตวิญญาณ (๖.๑-๗๑) พระองค์ทรงเป็นน้ำที่ธำรงชีวิต ผู้ที่กระหายจะได้ดื่มและอิ่มหนำสำราญในจิตใจ (๗.๑-๕๒) พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เพื่อส่องทางให้แก่คนที่เดินอยู่ในความมืดบาปจะพบทางออก (๙.๑-๔๑) พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแห่งชีวิต (๑๐.๑-๔๒)
พระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต นำจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่สวรรค์ (๑๔.๑-๓๑)
พระเยซูยังบอกอีกว่า พระองค์ทรงเป็นสันติสุขที่แท้จริง โดยตรัสว่า “เรามอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” (๑๔.๒๗) เปาโลก็ได้ยืนยันในเรื่องนี้ “เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา” (รม. ๕.๑)
“แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา” (อฟ. ๒.๑๓-๑๔)
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์รายงานว่า [2] “ไทยติดอับดับท้ายรายชื่อประเทศสงบสุข”
ดังนี้
“เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ผลของการจัดอันดับประเทศที่สงบสุขบนโลกพบว่า ประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศที่สงบสุขมากที่สุดในโลก ส่วนอิรักเป็นประเทศที่ไม่สงบสุขมากที่สุดในโลก ขณะที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ ๑๐๕ จากทั้งหมด ๑๒๑ ประเทศ
ทั้งนี้ ดัชนีความสงบสุขโลก เป็นผลจากการศึกษาของสำนักศึกษาวิจัยอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารรายสัปดาห์ ดิ อีโคโนมิสต์ ของอังกฤษที่เผยแพร่ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ G-8 ที่ประเทศเยอรมัน ได้จัดอันดับความสงบสุขของประเทศทั่วโลก ๑๒๑ ประเทศ โดยวัดจากปัจจัยต่างๆรวมทั้งระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น องค์กรอาชญากรรมและงบประมาณด้านทหาร
โดยประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุขที่สุด ๑๐ อันดับแรกได้แก่นอร์เวย์ นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ สวีเดน แคนาดา โปรตุเกสและออสเตรเลีย ในขณะที่สหรัฐอเมริกาถูกจัดอยู่ในอับดับที่ ๙๖
(ใครที่อยากจะไปอยู่อเมริกา โดยคิดว่าเป็นแดนสวรรค์นั้น ต้องคิดกันใหม่แล้วล่ะครับ - ผู้เขียน)
สำหรับ ๑๐ ประเทศอับดับสุดท้ายที่ไม่สงสุขมากที่สุดในโลกคือ อิรัก ซูดาน อิสราเอล รัสซีย ไนจีเรีย โคลัมเบีย ปากีสถาน เลบานอน ไอวอรี่โคสท์ แองโกล่าตามลำดับ ส่วนประเทศไทยถูกจับอยู่ในอันดับที่ ๑๐๕ ของการจัดอันดับครั้งนี้ ซึ่งถือว่ามีความสงบสุขน้อยกว่าประเทศอิหร่าน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ ๙๗ และฟีลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ ๑๐๐ และเวซูเอล่าซึ่งอยู่ในอันดับที่ ๑๐๒ ในขณะที่อินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ ๗๘ ส่วนพม่าอยู่ในอันดับที่ ๑๐๘”
ความสุขที่แท้จริงที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงอะไร?
โรเบิร์ต ยัง (Robert Young)[3] อธิบายว่าในพระคัมภีร์เดิมใช้สองคำ คำแรกคือ “ชาลวาห์” (Shalvah) หมายถึงการหยุดพัก สงบ และความปลอดภัย (ดนล. ๘.๒๕) คำต่อมาคือ “ชาโลม” (Shalom) หมายถึงความสุข ความสงบ สันติภาพ หรือสวัสดิภาพ เป็นคำที่ชาวยิวใช้ในการทักทายกัน เช่นเดียวกับที่คนไทยเวลาพบปะก็จะยกมือไหว้และกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ/ค่ะ” นั่นแหละ
ชนชาติอิสราเอลพูดถึงความสุข แต่ตลอดเวลานับพันๆปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยมีสันติสุขที่แท้จริง!
คงจะเป็นเหมือนที่นักบวชท่านหนึ่งเขียนบทกลอนว่า
“ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุกคน ชอบเจ้า วิ่งเข้าหา
แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็สุก หรือเกรียมไหม้
เขาว่าสุข สุขหนอ เออออไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย” [4]
ในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งเขียนเป็นภาษากรีก ใช้คำว่า “อิเรเน” (Eirene) ซึ่งในฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า Peace หมายถึงการรวมกันเป็นหนึ่ง ความผูกพัน มีพันธะต่อกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และสันติสุข
คำนี้ในบรรดาพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด นายแพทย์ลูกาและอาจารย์เปาโลได้อ้างไว้มากที่สุด (ดูพระธรรมลูกาและพระธรรมโรม)
พระวจนะของพระเจ้าได้ให้คำจำกัดความ “สันติสุขที่แท้จริง” โดยภาพรวมจากพระคริสตธรรมคัมภีร์
แต่เดิมเริ่มแรกนั้น พระเจ้าทรงสร้างโลกและสารพัดสิ่งขึ้น จากนั้นพระองค์ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกคืออาดัมกับเอวาให้เป็นตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์มีสัมพันธภาพที่ดีและมีสันติสุขอย่างล้นเหลือ
ในปฐมกาลบทที่ ๓ มีเหตุการณ์พลิกผันไป เมื่อมาซาตานในคราบของงูเข้ามาล่อลวงให้มนุษย์กินผลไม้ต้องห้าม ทั้งสองคนหลงเชื่อและทำตาม นั่นเป็นความผิดบาปครั้งใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามนุษย์ก็ถูกตัดขาดจากพระเจ้า สันติสุขกับพระเจ้าได้เหือดหายไปเสียแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระเยซูคริสต์เสด็จมาเทศนาสั่งสอน ยอมรับเอาความทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์ แล้วพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาในวันที่สาม ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระองค์ เขาได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าและรับสันติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง
มีเรื่องเล่าว่า เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งทำเรือขึ้นมาด้วยมือของตนเอง วันหนึ่งเขาเอาเรือไปลอยที่แม่น้ำ พอดีฝนมาและลมได้พัดหอบเอาเรือของเขาหายไป พยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เด็กชายเศร้าโศกเสียใจมาก วันหนึ่งเขาเดินไปเที่ยวที่ตลาดในเมือง พอเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นเรือของตนวางอยู่ จึงเข้าไปเพื่อจะเอาคืน แต่เจ้าของร้านบอกว่า จะต้องจ่ายเงินซื้อในราคา ๓๐๐ บาท เด็กชายรีบกลับมาบ้านและแคะกระปุกออกสินแล้วตรงไปที่ร้านจ่ายเงินตามจำนวน เขาโอบกอดเรือด้วยความรักและพูดว่า “ตอนแรกเจ้าเป็นของฉัน แต่หายไป เดี๋ยวนี้ฉันจ่ายเงินซื้อเจ้ากลับคืนมา เจ้าเป็นของฉันอีกครั้ง โอ ฉันมีความสุขจังเลย”
พระเยซูคริสต์กอดมนุษย์ไว้ในอ้อมพระทรวง ก็ตรัสในทำนองเดียวกันว่า “ตอนแรกเราสร้างเจ้า และเจ้าเป็นของเรา แต่เจ้าได้หลงไปในความผิดบาป เดี๋ยวนี้เราจ่ายด้วยชีวิตและพระโลหิตของเราเพื่อจะได้เจ้ากลับคืนมา เจ้าเป็นของเราอีกครั้ง”
นี่คือสันติสุขที่แท้จริง!
ความสุขตามทัศนะของคริสเตียน มิใช่ว่าในโลกนี้คุณได้อะไร คุณมีอะไร หรือคุณเป็นอะไร แต่เพราะคุณกลับคืนดีกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ต่างหาก!.
[1] รายงานผลสรุปการจัดอบรมค่ายยุวชนสมานฉันท์และการเสวนาทงศาสนา ฝ่ายศาสนสัมพันธ์ กองศาสนูปถัมภ์ กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม หน้า ๘๘
[2] หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
[3] Young’s Analytical Concordance to The Bible. By Robert Young หน้า ๗๓๖-๗๓๗
[4] พุทธทาสภิกขุ