กับดักศิษยาภิบาล หลุมพรางที่มารซาตานใช้ได้ผลเสมอ
กับดักศิษยาภิบาล
หลุมพรางที่มารซาตานใช้ได้ผลเสมอ
ภาพ หลุมยักษ์ หลุม กัวเตมาลา 2007
ภาพจากเน็ต http://hilight.kapook.com/view/49284
ธวัช เย็นใจ
ผู้นำในองค์กรของเราจะพบกันทุกๆสามเดือน
คราวนี้ (๒๕-๒๗ มิย.๑๒) เราไปจัดประชุมที่คริสตจักร
แบ๊บติสต์แม่อาย จ.เชียงใหม่ ติดชายแดนเหนือสุด
และได้เชิญอาจารย์รอน ฮาม มิชชันนารีคณะ AMG
มาเป็นวิทยากร ตลอดเวลาสองวัน อาจารย์รอน
ได้แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเราในเรื่อง
“กับดักของศิษยาภิบาล ๑๔ ประการ” ซึ่งเป็นประโยชน์
อย่างมากในฝ่ายวิญญาณ ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตก๊อปปี้
นำมาเสนอต่อแฟนคลับเว็บไซต์ของเรา
อาจารย์รอนเริ่มต้นด้วยการอ่านพระคัมภีร์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้เลี้ยงแกะ ศิษยาภิบาล และผู้นำคริสตจักร คือพระธรรมทิตัส ๑.๙ กล่าวถึงคำเตือนของเปาโลที่ให้ยึดมั่นในคำสอนอันมีหลักอย่างแท้จริง และในเอเสเคียล ๓๔.๑-๑๐ บอกถึงว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษบรรดาผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงตนเอง แต่ไม่ยอมเลี้ยงแกะของพระองค์ ๑ ปต. ๕.๑-๕ เปโตรในฐานะของผู้อาวุโสฝ่ายวิญญาณเตือนบรรดาผู้ใหญ่ในคริสตจักรต่างๆ(ในแคว้นทั้งห้า) ให้ดูแลเอาใจใส่สมาชิกในคริสตจักร ด้วยความจริงใจและจริงจัง มิใช่ทำไปเพราะเห็นแก่สินจ้างรางวัล เพื่อจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีในอนาคต
ดังนั้น บรรดาผู้นำของคริสตจักรทั้งหลาย จะต้องระมัดระวังการดำเนินชีวิตให้ดี เพราะมีกับดักที่มีอันตรายนานา ประการ เรียงรายอยู่ตามหนทางแห่งการรับใช้พระเจ้า
อาจารย์รอนได้ตั้งหัวเรื่องในการสอนครั้งนี้ว่า “แนวโน้ม ๑๔ ประการของศิษยาภิบาล” แต่ผมอยากจะเป็นเปลี่ยน “กับดักของซาตาน” เพราะเมื่อฟังคำสอนแล้ว เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้นำ และถือว่านี่เป็นคำเตือนสอนจากพระเจ้าที่มาถึงสำหรับชีวิตของผมเองโดยตรงทีเดียว
(๑)ความเฉื่อยชา (indifferent)
เราพบความจริงว่า ในปัจจุบันนี้มีศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรหลายคน ที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่อยากจะสนใจ ไม่แยแสหรือเข้าไปเกี่ยวข้องและมีส่วนร่วมในงานรับใช้พระเจ้า พวกเขาหมดเรี่ยวแรงฝ่ายจิตวิญญาณ เมินเฉย เฉื่อยชาและเกียจคร้าน
ด้วยเหตุนี้เปโตรในฐานะของอัครทูตและผู้นำคริสตจักร จึงกล่าวเตือนว่า “จงเฝ้าระวังทั้งตัวท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตพระบุตรของพระองค์” ( ๑ ปต. ๕.๒๘)
(๒)การประนีประนอม (compromise)
มีผู้นำคริสตจักรจำนวนไม่น้อยที่ชอบอะลุ่มอล่วย ยินยอม โอนอ่อนผ่อนตามความคิดเห็นของคนที่มีอิทธิพลทางด้านการเงินในคริสตจักร ซึ่งอาจจะเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง หรือคณะกรรมการ คนเก่าคนแก่หรือผู้เริ่มก่อตั้งโบสถ์ เนื่องจากความเกรงใจในพวกบุคคลดังกล่าว จึงทำให้ศิษยาภิบาลไม่กล้าที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือปฏิบัติตามสิ่งพระคัมภีร์สอนไว้
ด้วยนิสัยแห่งความประนีประนอมนี้เอง จึงทำให้เขาไม่อยากจะ“ขัดแข้งขัดขา” และเหยียบหัวแม่เท้าของผู้อื่นที่มีอำนาจในโบสถ์ เขาเป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะแห่งยูดาห์(ในพระคัมภีร์เดิม)ที่พระเจ้าสั่งให้ไปตักเตือนกษัตริย์เยโรโบอัมถึงความผิดบาป และบอกแก่ผู้เผยพระวจนะว่า “อย่ารับประทานอาหารในเมืองนั้นเด็ดขาด” แต่ต่อมาก็มีผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนกัน ที่อยู่ในเมืองดังกล่าวทำการพูดจาหลอกล่อให้รับประทานอาหาร และอ้างว่าเป็นคำสั่งที่มาจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน จนกระทั่งผู้เผยพระวจนะไขว้เขวและหลงทำตาม จึงต้องพบกับจุดจบในชีวิตอย่างน่าอนาถ (๑ พกษ. ๑๓.๑-๓๔)
(๓)มีความแตกแยก ไม่ลงรอยกัน (inconsistent)
เป็นไปได้ที่ผู้นำบางคนของคริสตจักรจะมีคำสอนที่ดีมาก แต่ความประพฤติของเขาไม่สอดคล้องกับคำสอนนั้น มีความคิดเห็นที่แตกแยก ไม่ลงรอยกับคนอื่น เขาไม่กล้าที่จะกล่าวเหมือนกับเปาโลที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนที่ข้าพเจ้าทำตามอย่างพระคริสต์” (๑ คร. ๑๑.๑)
คนแบบนี้จะกล่าวว่า “จงทำตามคำสอนของข้าพเจ้า แต่อย่าทำตามอย่างข้าพเจ้า”
พระคัมภีร์บอกว่าคนเหล่านี้ “ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” (๒ ทธ. ๓.๕) ฉบับมาตรฐานแปลว่า “ยึดถือทางของพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น คนเช่นนี้ท่านอย่าคบ” หรือเหมือนที่พระเยซูตรัสว่า “ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาเป็นพระดำรัสสอน” (มธ. ๑๕.๘)
(๔)สนใจในการบันเทิงเริงรมย์ (entertainment & distractions)
ผู้นำบางคนให้ความใส่ใจในสิ่งเหล่านี้มากกว่าการเตรียมเทศน์เตรียมสอนพระวจนะของพระเจ้า หลายสิ่งที่ได้ขโมยเวลาของเขาไปเสีย โดยเฉพาะวัตถุที่มีจอ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี ภาพยนตร์ กีฬา และอื่นๆ ผู้นำคริสตจักรบางคนคิดว่า จะต้องมีการแสดง(เสแสร้ง)ฝ่ายจิตวิญญาณ คิดว่าเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ พยายามทำให้ทุกสิ่งในโบสถ์นั้นเป็นสิ่งบันเทิง สนุกสนานและผู้เข้าร่วมประชุมชอบอกชอบใจ
สื่ออิเลคทรอนิกนั้นจะต้องนำมาใช้อย่างเหมาะสม ถ้ามากไปก็อาจจะกลายเป็นความผิดบาปได้ เหมือนดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า คนเหล่านี้ “รักความสนุกสนานยิ่งกว่ารักพระเจ้า” (๒ ทธ. ๓.๓)
(๕)รับเอาความเห็นของมนุษย์มากกว่าของพระเจ้า
ยอห์นได้กล่าวถึงผู้คนในสมัยที่พระเยซูยังทรงสั่งสอนอยู่ในโลกว่า “อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเกิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา เพราะพวกเขารักการชมเชยจากมนุษย์ มากกว่าการชมเชยจากพระเจ้า” (ยน. ๑๒.๔๒-๔๒)
เราพบความจริงว่า มีผู้นำหลายคนในคริสตจักรสมัยปัจจุบันก็เข้าข่ายนี้ ชอบการยกยอปอปั้นของมนุษย์ มากกว่าความพอพระทัยของพระเจ้า
เปาโลได้บอกแก่พี่น้องคริสเตียนชาวเมืองเธสะโลนิกาว่า การมาเยี่ยมของท่านนั้นไม่ไร้ประโยชน์ แม้จะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากนานาประการ เพราะท่านแน่ใจว่าคำเทศนาสั่งสอนของท่านนั้นมาจากเจตนาบริสุทธิ์ มิได้เกิดจากความคิดแบบผิดๆ ยกยอปอปั้น แฝงไว้ด้วยความโลภหรือกลอุบาย “เราจึงประกาศไปไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจเรา” (๑ ธส. ๒.๑-๖)
(๖)ยุ่งอยู่กับการทำสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
ผู้นำฝ่ายวิญญาณบางคนมีลักษณะของนักธุรกิจมากกว่าเป็นผู้เลี้ยงแกะของพระเจ้า สามารถที่จะหลอกลวงและอวดอ้างว่า เขาเองเป็นคนที่เก่งกาจทางด้านจิตวิญญาณมากกว่าคนอื่นๆ เขาต้องการซื่อเสียง เกียรติและแสวงหาเงินทองเข้าพกเข้าห่อตนเองและพรรคพวกของตนเอง ดังที่มีข่าวปรากฏอยู่เนืองๆว่า นักเทศน์และศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงบางคนถูกตรวจสอบทางด้านการเงิน
จุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้รับใช้คืออะไร? พระองค์ตรัสแก่โมเสสขณะที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารว่าให้คนอิสราเอล(ปัจจุบันคือคริสเตียนทุกคน) “ให้ยำเกรงพระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน” (ฉธบ. ๑๐๑๒-๑๓)
(๗)เห็นแก่ตัวและเห็นแก่เงิน
ผู้นำคริสตจักรมักจะใช้พระวจนะของพระเจ้า เพื่อนำไปสู่การเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน ความสะดวกสบาย ความมั่งคั่งและความสมบูรณ์พูนสุข เขามักจะอ้างสิทธิพิเศษในการรับใช้พระเจ้าหรือการเป็นคริสเตียน บางครั้งพูดหมือนกับว่าเขาสามารถที่จะทำให้พระเจ้าทำตามคำสั่งของตนเองได้ หรือคิดว่าพระองค์ทรงเป็นหนี้อะไรบางอย่างเขาอยู่ “ผู้มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางที่จะได้รับประโยชน์(ฝ่ายโลก)” (๑ ทธ. ๖.๕)
บางคริสตจักรเน้นว่ามาเชื่อพระเยซูแล้วจะร่ำรวย มีบ้าน ที่ดิน เงินในธนาคารและมีรถยนต์ป้ายแดงขับ!
คนพวกนี้จะเน้นในเรื่องที่ว่า เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว จะมีสุขภาพดี และร่ำรวย ในภาษาอังกฤษว่า Health, wealth, and prosperity Gospel (กลุ่มผู้เชื่อที่เน้นในเรื่องพระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง) เปาโลได้กล่าวว่า “เพราะเราไม่เหมือนกับคนเป็นอันมาก ที่เอาพระวจนะของพระเจ้าไปขายกิน แต่เราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนซื่อสัตย์ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า” (๒ คร. ๒.๑๗)
นอกจากนี้แล้ว พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงพฤติกรรมของคนโลภมักได้ไว้อีกมากมาย โดยยกตัวอย่างชัดเจนจากชีวิตของผู้รับใช้คนหนึ่งชื่อบาลาอัม ที่พร้อมจะทำผิดบาปถ้ามีคนจ้างเขาด้วยเงิน เรียกว่า “เห็นเงินตาโต” (๒ ปต. ๒.๑๒-๑๖, ๒ ทธ. ๓.๑-๔)
(๘)ชอบใช้เวลาอยู่กับคริสเตียนด้วยกัน
ผู้นำคริสตจักรแบบนี้จะไม่ชอบใช้เวลาอยู่กับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาจะนั่งอยู่ที่โบสถ์และรอให้คนบาปเดินเข้ามาหาเอง เขาทำตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสว่า จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ นำคนรับเชื่อ ให้บัพติสมาและเลี้ยงดู(สร้างสาวก)ให้เติบโตขึ้น (มธ. ๒๘.๑๙-๒๐)
คริสเตียนที่ไม่มีเพื่อนเป็นคนนอก(ยังไม่เชื่อพระเยซู) ย่อมเป็นคนผิดปกติ!
(๙)หลีกเลี่ยงที่จะสอนพระคัมภีร์บางตอน
ผู้นำบางคนไม่กล้าที่จะสอนพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม โดยเฉพาะตอนที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ยากลำบาก เมื่อใครก็ตามที่ติดตามเป็นสาวกของพระเยซูอย่างแท้จริง ให้เขาได้รับทราบความจริง ไม่กล้าที่จะแตะต้องความผิดบาปบางอย่าง ไม่กล้าสอนเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเยซูและของคริสเตียน เขาไม่กล้าที่จะสอนพระธรรมวิวรณ์โดยอ้างว่าเข้าใจยากมาก เขาไม่กล้าที่จะดำเนินชีวิตแบบที่แตกต่างจากชาวโลก แต่ชอบความสะดวกสบายเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
พระคัมภีร์สอนว่า “ให้ทิ้งตัวเก่าของพวกท่าน ที่คู่กับการประพฤติแบบเดิม ซึ่งถูกตัณหาล่อลวงทำให้พินาศไป และให้วิญญาณจิตของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่ และรับการสอนให้สวมสภาพใหม่ ซึ่งได้ทรงสร้างขึ้นตามแบบอย่างของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” (อฟ. ๔.๒๒-๒๔) นอกจากนั้น เปาโลยังบอกถึงชีวิตของคริสเตียนที่แท้จริงคือความสว่าง “อย่ามีส่วนในกิจการของความมืดที่ไร้ผล แต่จงเปิดเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า” (อฟ. ๕.๑๑)
(๑๐)ไม่ได้สอนด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า
ผู้นำคริสตจักรแบบนี้อาจจะมีความรู้มากมายก่ายกอง แต่ทว่าปราศจากความกระตือรือร้น เขาสอนเหมือนกับว่า “ถ้าคุณอยากทำตามนี้ก็ได้ แต่ถ้าไม่อยากทำตามก็ไม่เป็นไร เลือกได้ตามสบายเลย” เรื่องตัวอย่างที่เขายกขึ้นมาอ้างขณะเทศนานั้นน่าสนใจมากกว่าพระวจนะของพระเจ้าเสียอีก
เมื่อเทศนาจบแล้ว ผู้คนจะจำเรื่องเล่าได้ดี แต่ลืมคำสอนในพระคัมภีร์ไปเสียหมดสิ้น!
หลังจากวันอาทิตย์แล้ว บรรดาสมาชิกในคริสตจักรแทบจะจำบทเรียนจากพระวจนะไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ให้จิตวิญญาณไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น
พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนถึงลักษณะนิสัยของคนสมัยนี้ว่า “เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาครูไว้สำหรับตน ตามความอยากของตนเองเพื่อสนองหูที่คัน พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ”
แต่เปาโลได้กำชับทิโมธีอย่างเคร่งครัดว่า “แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์” (๒ ทธ. ๔.๓-๕)
เราพบว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสั่งสอนนั้นมีความแตกต่างจากพวกนักศาสนาชาวยิวอย่างมากมาย “เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านั้นเสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนกับคำสอนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา” (มธ. ๗.๒๘)
(๑๑)ไม่มีการลงวินัยในคริสตจักร
ศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักรไม่กล้าเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อผู้นำหรือสมาชิกทำความผิดบาป หรือกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจกันในโบสถ์ เปาโลได้แนะนำคริสเตียนชาวกาลาเทียว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย” (กท. ๖.๑)
เมื่อเปาโลได้ข่าวว่า สมาชิกในคริสตจักรโครินธ์ได้ทำผิดล่วงประเวณีระหว่างลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยง ท่านแนะนำหั้ดการอย่างเด็ดขาดคือ “ขับคนที่ทำผิดนั้นออกไปเสีย” อย่าเพิกเฉยละเลยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้พระนามของพระเยซูเสื่อมเสีย (๑ คร. ๕.๑-๘)
ในพระคัมภีร์เดิมมีผู้รับใช้คนหนึ่งชื่อเอลี มีลูกชายสองคนแต่ปล่อยปละละเลยให้กลายเป็นอันธพาล ละเมิดสิทธิอำนาจของพระเจ้าเกี่ยวกับเครื่องสัตวบูชาในพระวิหาร ยิ่งกว่านั้นก็ทำการล่วงประเวณีกับหญิงรับใช้ในเต็นท์นัดพบของพระองค์ด้วย เมื่อเอลีได้ยินเรื่องราวอันชั่วร้ายแทนที่จะมีการลงวินัยอย่างเด็ดขาด เขากลับห้ามปรามด้วยถ้อยคำที่เบาบาง นี่เองเป็นเหตุทำให้ตัวเอลีและลูกชายทั้งสองต้องพบความตายอย่างน่าอนาถ (๑ ซมอ. ๒.๑๒-๒๓)
(๑๒)ดูภาพลามกทางอินเตอร์เนท
ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก ตกลงในความผิดบาปดูภาพลามกอนาจารทางสื่อออนไลน์ มันค่อยๆซึมซับเข้าไปในชีวิตจิตใจ จนกระทั่งติดเป็นนิสัยถึงขั้นทำชั่วล่วงประเวณีกับหญิงอื่น ในสหรัฐอเมริกาได้มีการสำรวจพบว่า ศิษยาภิบาล ๒ ใน ๓ ดูภาพลามกในอินเตอร์เนท
ปัจจุบันผู้คนมักหลีกเลี่ยงคำว่าอนาจาร โดยหันไปใช้คำว่า “ภาพศิลปะ” แทน
ครั้งหนึ่งมีการประชุมของผู้รับใช้พระเจ้า(ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ผู้นำประชุมได้ถามว่า “ใครชอบเรื่องเพศสัมพันธ์บ้าง?” ปรากฏว่าผู้ชายส่วนใหญ่ยกมือขึ้น ผู้นำประชุมจึงกล่าวว่า “นี่แสดงว่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์ยกมือขึ้นยอมรับความจริง ส่วนอีก ๕ เปอร์เซ็นต์นั้นโกหก!”
อาจารย์รอนกล่าวว่า น่าเสียใจและน่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่มีศิษยาภิบาลบางคนถูกจับได้ว่า ชอบดูภาพลามกทางอินเตอร์เนท เขาจึงถูกไล่ออก”
ความบาปของผู้ชายมักจะเริ่มต้นจากการมองเห็น พระเยซูตรัสว่า “ตาเป็นประทีปของร่างกาย เมื่อตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่เมื่อตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้น จงระวังให้ดี ไม่ให้ความสว่างของท่านซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป” (ลก. ๑๑.๓๔-๓๕) เปาโลได้เตือนคริสเตียนเอเฟซัสว่า “การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆ และการละโมบ อย่าให้มีขึ้นในหมู่พวกท่านเลย...ท่านจงรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนลามก คนละโมบ จะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (อฟ. ๕.๓-๕)
(๑๓)รักร่วมเพศ (homosexual)
กะเทย เกย์ ตุ๊ด ทอม-ดี้ และอีแอบ
มีผู้นำคริสเตียนหลายคนที่ไม่กล้าแตะต้องเรื่องรักร่วมเพศ เพราะมันไปกระทบกับหลายคนในคริสตจักร รวมไปถึงระดับผู้นำบางคนด้วยที่มีพฤติกรรมชอบไม้ป่าเดียวกัน เมื่อเร็วๆนี้บารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ออกมารับรองว่า ผู้ชายสามารถแต่งงานกันผู้ชายได้ และผู้หญิงก็แต่งงานกันผู้หญิงได้เหมือนกัน
ขอให้เข้าใจว่า เราไม่ได้ต่อต้านคนที่รักร่วมเพศ แต่เราเกลียดชังพฤติกรรมอันชั่วช้าเลวทรามของพวกเขา
พระคัมภีร์กล่าวถึงความผิดบาปในเรื่อง “รักร่วมเพศ” ไว้อย่างชัดเจน “เหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจอธิปไตยที่พระเจ้าทรงประทานให้ แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานอันเหมาะสมของตนนั้น พระองค์ได้ทรงจำจองไว้ด้วยเครื่องพันธการอันไม่รู้จักสลาย ขังไว้ในที่มืด จนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น เช่นเดียวกับเมืองโสดมและเมืองโกโมราห์ และเมืองที่อยู่รอบๆนั้น ที่ได้ประพฤติชั่วและมัวเมาในกามวิตถาร ก็ได้ทรงบัญญัติไว้เป็นตัวอย่างของการที่จะต้องได้รับอาชญาในไฟนิรันดร” (ยูดาห์ ๖-๗)
พระธรรมปฐมกาลบันทึกถึงความพินาศของเมืองโสดมกับโกโมราห์ เพราะความผิดบาปรักร่วมเพศ “เกย์และกะเทย” ขอสังเกตคำที่พระวจนะกล่าวถึง “ประพฤติชั่ว” และ “มัวเมาในกามวิตถาร” (พจนานุกรมได้อธิบายกามวิตถาร
ว่า การประกอบกามกิจที่ผิดปรกติวิสัย) ในปัจจุบันนี้ประเทศต่างๆที่สนับสนุนและเห็นดีเห็นงามไปกับพวกรักร่วมเพศ จะต้องถูกทำลายด้วยไฟกำมะถันเช่นกัน
(๔)เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า
เมื่อไม่นานมานี้ มีศิษยาภิบาลของคริสตจักรเพนเตคอสคนหนึ่ง ทำงานรับใช้พระเจ้ามานานถึง ๓๐ ปี และได้ออกมาปฏิเสธความเชื่อว่า “พระเจ้าไม่มีอยู่จริง เพราะว่าเมื่อผมอธิษฐาน และไม่ได้รับคำตอบจากพระองค์” จากนั้นเขาลาออกจากคริสตจักรไป
ทุกวันนี้มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องให้พวกคริสเตียนเปิดใจออกให้กว้างๆ ยอมอดทนและอดกลั้นต่อคนที่หลาก หลายความเชื่อ (tolerance) ไม่มีความคิดแปลกแยก ไม่ถือเขาถือเรา แต่ยอมรับคนที่แตกต่างออกไป เพื่อความสงบสุขและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว
แต่พระคัมภีร์สอนว่าอย่างไร?
“คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า ไม่มีพระเจ้า เขาทั้งหลายเลวทรามลง กระทำกิจการที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี” (สดด. ๑๔.๑) พระเยซูได้ตรัสบอกแก่พวกสาวกล่วงหน้าไว้แล้วว่าในวาระสุดท้าย “จะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น พวกเขาทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ เพื่อล่อลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงไป” (มธ. ๑๓.๒๒)
สรุป ภายหลังจากที่อาจารย์รอน ฮาม สอนจบแล้ว ก็ได้ส่งเรื่องนี้ไปให้แก่เพื่อนคนหนึ่งทางอีเมล เมื่อเพื่อนคนนั้นได้รับและอ่านจบแล้ว จึงส่งอีเมลตอบกลับมาว่า “ในจำนวน ๑๔ เรื่องนั้น ผมได้ทำผิดบาปถึง ๑๓ เรื่องด้วยกัน
ผมจึงต้องคุกเข่าลงอธิษฐานสารภาพกับพระเจ้า”
แล้วพวกเราคริสเตียนทั้งหลายล่ะ?
เราน่าจะลองเช็คตัวเองดู หากสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือบกพร่อง ขอให้เราอธิษฐานและเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ แน่นอน พระคุณและความรักของพระองค์นั้นยังมีเพียงพออยู่เสมอ
วันนี้จึงยังไม่สายเกินไปครับ.
แก้ไขล่าสุด (วันศุกร์ที่ 06 กรกฏาคม 2012 เวลา 16:15 น.)