คุณเสพติดเฟซบุ๊คหรือเปล่า?
คุณเสพติดเฟซบุ๊คหรือเปล่า?
บทความเพื่อเสริมสร้างจิตวิญญาณ
สังคมของพวก “หลงตนเอง”
ธวัช เย็นใจ
“แต่บัดนี้ เมื่อพวกท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือ
พระเจ้าทรงรู้จักพวกท่านแล้ว ทำไมท่านจึงกลับไปหา
ภูตผีที่ครอบงำจักรวาล ซึ่งอ่อนแอและน่าอเนจอนาถ
และอยากจะไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก?”
“พวกเขาสัญญาว่า จะให้เสรีภาพกับคนเหล่านั้น แต่
ตัวเขาเองยังเป็นทาสของความเสื่อมทราม เพราะว่าผู้
ใดพ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น”
(กท. ๔.๘-๙, ๑ ปต. ๒.๑๙)
ทาส ตามความหมายในภาษาไทยคือ “ผู้ที่ขายตัว หรือถูกนำตัวมาขาย หรือถูกจับตัวมาให้เป็นคนรับใช้ หรือเพื่อทำงานหนักอื่นๆ โดยที่ผู้เป็นนายมีสิทธิ์เหนือทาสคนนั้น หรือบางทีใช้ความหมายเท่ากับขี้ข้า หรือผู้ยอมตนอยู่ในอำนาจของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างถอนตัวไม่ขึ้น” (พจนานุกรมฉบับมติชน หน้า ๔๒๘)
ในภาษากรีกใช้คำว่า “ดูลือโอ” (douleuo) หมายถึงเป็นข้าของคนอื่น พระเยซูตรัสถึงมนุษย์ว่า “ไม่ควรเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” (มธ. ๖.๒๔) หรือเป็นลักษณะของการปรนนิบัติรับใช้ เหมือนกับลูกที่ดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ (ลก. ๑๕.๒๙) เปาโลใช้คำนี้ในความหมายของการ “ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า” (กจ. ๒๐.๑๙) ทุกคนรู้ว่า การเป็นทาสของความผิดบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ (รม. ๖.๖) นอกจากนั้น ดูลือโอยังเกี่ยวกับการพฤติกรรมและดำเนินชีวิตประจำวันของคนใดคนหนึ่ง การเชื่อฟังและยอมทำตามบางสิ่งบางอย่าง ((รม. ๗.๖, ๒๕)
อาจจะแรงไปถ้าถามใครว่า “คุณเป็นทาสของเฟซบุ๊คหรือเปล่า?”
น่าจะถามว่า “คุณติดเฟซบุ๊คหรือเปล่า?” (นี่ยังพอฟังได้)
บางคนเรียกพฤติกรรมของการเล่นเฟซบุ๊คว่า “เวทีเพื่อคนหลงตัวเอง” (หากเล่นไม่ระวังอาจจะหลงทางก็ได้นะ จะบอกให้!) นี่น่าจะจริงนะ เพราะสังเกตจากเฟซบุ๊คของผมเอง เพียงสองวันเท่านั้นจะมีโพสต์เข้ามาเกือบพันราย ต้องคอยลบทิ้งกันไม่หวาดไม่ไหว
เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ว่านี้ ตามสถิติบอกว่า สามเดือนที่แล้วมีสมาชิกกระจายอยู่ทั่วโลกถึง ๙๐๑ ล้านคน (ตอนนี้ยอดน่าจะพุ่งขึ้นไปสูงกว่าแล้ว) เหล่านักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า สังคมเฟซบุ๊คเป็นของพวก “หลงตนเอง” ซึ่งทางตะวันตกเรียกว่า เป็นอาการของนาร์ซิสซัส” ซึ่งมาจากนิทานของชาวกรีกที่ชายหนุ่มคนหนึ่งมองดูน้ำในสระกลางป่า เห็นรูปร่างหน้าของตนเองว่าหล่อเหลาซะเหลือเกิน จนไม่เป็นอันกินอันนอน วนเวียนดูเงาของตนเองในน้ำ จนกระทั่งถึงแก่ชีวิตและกลายเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าดอกนาร์ซิสซัสนั่นแหละ!
อย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้ “ผู้ใดที่พ่ายแพ้ต่อสิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น”
คนที่เสพติดเฟซบุ๊คจะมีความสุขกับการที่ได้พูดถึงตนเองให้ชาวโลกฟังทั้งวันทั้งคืน ผ่านการแชร์รูปภาพ การเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ หรือส่งมันไปทั้งภาพทั้งเสียงทางคลิปวีดิโอบนเฟซบุ๊ค
สาวกของสื่อออนไลน์ที่รักทั้งหลาย ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า การส่งเฟซบุ๊คในระดับพอเหมาะพอดีมันก็ยังน่ารัก
และรับได้อยู่ แต่ถ้าท่านเล่นส่งมันทุกวันและวันละหลายครั้ง เอียนครับ มันเหลือรับประทานจริงๆ เพลาๆหน่อยได้ไหม?
เพราะไม่มีใครอยากจะฟังแต่เรื่องของท่านคนเดียวหรอก ขอเวลาส่วนตัวให้เขาบ้างเถอะ (ไหว้ล่ะ นึกว่าสงสารก็แล้วกัน ฮา!)
(หมายเหตุ : ในช่วงหลังๆนี้มีคริสเตียนหลายคนได้ใช้เฟซบุ๊คเป็นช่องทางเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ บางคนเปิดเฟซเพื่อจะโต้วาทีกันในหลักความเชื่อของคริสเตียน แต่บางคนก็ส่งข้อพระคัมภีร์ทั้งดุ้นเลย เป็นข้อความที่ต่อว่าอย่างรุนแรง โดยไม่มีการอธิบายอะไรเพิ่มเติม ไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรเคลือบแฝงอยู่หรือเปล่า?)
ผมมีเรื่องทำนองนี้จะเล่าให้ฟัง เมื่อปลายปีที่แล้วผมไปร่วมในงานฉลองคริสตมาสที่คริสตจักรกะเหรี่ยงแห่งหนึ่งในเขตลำพูน เขาเชิญนักเทศน์มาจากสภาคริสตจักรฯ พอแกเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละ ก็เป็นเหมือนไก่ในสังเวียน ที่กระโดดจิกและตีผมทันที ไม่ทราบว่าเคยโกรธเคืองกันมาแต่ปางใด และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ผมได้ไปร่วมงานไว้อาลัยเพื่อนคริสเตียนมิชชันนารีชาวฮาวายคนหนึ่ง ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเพราะโดนพลุระเบิด นี่ก็มาอีหรอบเดียวกัน แกเป็นศิษยาภิบาลและนักเทศน์สายเพนเตคอส ขณะยืนเทศนาอยู่บนธรรมาสน์ในวันนั้น พอแกเห็นหน้าผมเท่านั้น ก็ออกอาการและกระโดดเข้ากัดผมทันที
ต่อเรื่องนี้หลายปีที่ผ่านมา ผมได้สอนนักศึกษาในโรงเรียนพระคริสตธรรมหลายแห่ง และสอนพวกผู้นำคริสตจักรในวิชา “ศิษยาภิบาล” และได้กำชับพวกเขาอย่างแข็งขันว่า “คุณอย่าใช้ธรรมาสน์เป็นที่โจมตีคนอื่น (แม้ว่าสบโอกาสเหมาะก็ตาม) คนอื่นไม่เสียหรอก แต่คุณเองนั่นแหละจะเสีย ขอให้ตระหนักว่า ธรรมาสน์เป็นสถานที่สำหรับแบ่งปันพระพร ศิษยาภิบาลมิใช่นักการเมือง แต่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ถ้าคุณคิดจะต่อว่าใครในห้องประชุม ก็ให้ต่อว่าตัวเองก็ดีกว่า”
กลับมาเข้าเรื่องเฟซบุ๊คดีกว่า
ก็มีนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ ได้จัดทำแบบสอบถามขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นเข็มวัดแสดงว่า ใครคนใดตกเป็นทาสของเฟซบุ๊คอ่ะปล่าว? ลองดูนะครับ
หนึ่ง คุณใช้เวลาส่วนใหญ่คิดถึงแต่เฟซบุ๊ค หรือวางแผนที่จะเข้าเฟซบุ๊ค
สอง คุณรู้สึกถึงแรงกระตุ้นให้เล่นเฟซบุ๊คมากขึ้นเรื่อยๆ
สาม คุณใช้เฟซบุ๊คเป็นเครื่องมือเยียว เพื่อให้ลืมปัญหาส่วนตัว (หรือใช้เฟซบุ๊คเพื่อโจมตีฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับตน)
สี่ คุณพยายามที่จะเลิกเล่นเฟซบุ๊ค แต่ไม่เคยสำเร็จสักที
ห้า คุณมีปัญหาและรู้สึกกระสับกระส่ายต่อการที่ถูกบอกให้เลิกเล่นเฟซบุ๊ค
หก คุณเล่นเฟซบุ๊คมากจนกระทบต่อการทำงานหรือการเรียน
เขาบอกในตอนท้ายว่า
ถ้าใน ๖ ข้อนี้มันไปตรงกับใจของคุณ ๔ ข้อ ก็ขอให้ยอมรับเถิดว่า
คุณตกเป็นทาสของเฟซบุ๊คเข้าให้แล้ว!!
ถึงขั้นนี้แล้วไม่มีทางแก้อย่างอื่น
นอกจากต้องอธิษฐานพึ่งพาในอำนาจของพระเจ้า ขอพระเยซูคริสต์ทรงปลดปล่อยให้พ้นจากการเป็นทาสของเฟซบุ๊ค และขอฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะควบคุมวิถีชีวิตของเราให้มีความพอเหมาะพอดี ไม่มากเกินไป (แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะน้อยเกินไป)
หลงตนเองนั้นบางทีมีผลเสีย
หากถ้าหลงรักพระเยซูคริสต์มีแต่ได้กับได้เท่านั้น.