gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ธรรมชีวิต วันที่ 7-14 สิงหาคม 2012‏

7 สิงหาคม 2012

“เมื่อเกิดความกดดัน”

ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน

โรม 5:3

อะไรทำให้ผลแอปเปิลดูน่ากิน? ก็เปลือกของมันน่ะสิ แล้วอะไรทำให้แอปเปิลมีรสชาติอร่อยอย่างแท้จริง? ก็คือน้ำและเนื้อในของมัน เพราะนั่นคือ “ลักษณะ” ที่แท้จริงของแอปเปิ้ล

ผมเรียนรู้สิ่งนี้ตอนเป็นเด็กขณะที่ดูคุณป้าซึ่งกลับมาจากต่างประเทศ มาทำซอสแอปเปิ้ลให้ดู ท่านนำแอปเปิลที่หั่นเป็นชิ้นๆ ไปต้มจนนิ่มแล้วนำมาบดด้วยสากไม้ผ่านกระชอนไปยังถ้วยที่รองอยู่ข้างใต้จนในกระชอนเหลือแต่เปลือกที่มอซอของมัน แต่รสชาติของน้ำซอสที่ได้นั้นแสนอร่อย!

พระเจ้าทรงใช้ความกดดันในชีวิต พื่อดึงเอาความหวานของลักษณะอย่างพระคริสต์ในตัวเราออกมา ความทุกข์ยากลำบากหรือ “ความกดดัน” ยังช่วยให้เราตระหนักถึงพลังอันน่ากลัวของธรรมชาติบาปในตัวเราและมองเห็นมันอย่างที่มันเป็นคือน่าเกลียดและไร้รส ภายใต้ภาวะกดดัน ความบาปทุกชนิดจะปรากฏออกมา ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความเห็นแก่ตัว กิเลสตัณหา หรือความเย่อหยิ่ง

ความกดดันเป็นความจริงของโลกที่กำลังเสื่อมสลาย ไม่ว่ามันจะมาจากภายนอกหรือจากความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีจริงข้างใน พระเจ้าทรงควบคุมระดับความรุนแรงและระยะเวลาของความกดดันที่เกิดขึ้นเพื่อที่เราจะสามารถตระหนักสารภาพ และละทิ้ง “เปลือก” แห่งเนื้อหนังซึ่งมาบดบังพระลักษณะของพระคริสต์ในชีวิตของเรา

ความทุกข์ยากลำบากไม่ได้เป็นสิ่งที่มนุษย์เสาะหา แต่เมื่อมันมาเยี่ยมเยือนเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะใช้มันเพื่อสร้างความอดทนลักษณะนิสัย และความหวัง (รม. 5:3-4) ขึ้นภายในเรา

ข้าแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ โปรดเปิดจิตใจของข้าพระองค์ออกเพื่อข้าพระองค์จะให้ชีวิตของตนเอง และรักผู้อื่นเหมือนดังที่พระองค์ทรงสอนไว้ ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

8 สิงหาคม 2012

“บ้านแห่งสัญลักษณ์”

ความจริงนั้นตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกข์สิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย

ฮีบรู 9:22

เพื่อนบ้านของเราต้องตกใจกลัว เมื่อมีชายหนุ่มสองคนเดินเข้าไปในบ้านของเธอโดยไม่ได้รับเชิญ เธอส่งเสียงร้องและพวกเขาก็วิ่งหนีไป แต่จะไม่มีใครตำหนิว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดี หากคุณเข้าไปในบ้านของใครสักคน คุณก็จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของคนคนนั้น

บางครั้งเราอาจลืมไปว่าการเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ โดยจะเห็นได้ชัดจาก “บ้านแห่งสัญลักษณ์” ในพันธสัญญาเดิมซึ่งเราเรียกว่า พลับพลาของพระเจ้า (อพย.25-27) การก่อสร้างและการจัดวางสิ่งของต่างๆ ภายในนั้นทำให้เรารู้ว่าเราจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ก็ต่อเมื่อเราอยู่ภายใต้เงื่อนไขของพระองค์เท่านั้น

ลองมาพิจารณาดูตัวอย่าง เช่น แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ (27:1-8) ด้วยกัน ทองสัมฤทธิ์ในพระคัมภีร์นั้นหมายถึงการพิพากษาความผิดบาป การฆ่าแกะและแพะบนแท่นบูชานั้นแสดงถึงผลของความบาป การตายอย่างทารุณของสัตว์ที่บริสุทธิ์เหล่านั้นบ่งชี้ถึงตัวแทนที่กำลังเสด็จมาคือ “พระเมษโปดกของพระเจ้า” ผู้ทรงปราศจากบาป เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน การเสียสละของพระองค์นั้นมากเกินพอที่จะทำให้บาปของมนุษย์ทั้งปวงได้รับการอภัย (ยน.1:29) วิธีเดียวที่จะเข้าไปไกลพระเจ้าก็คือการปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระองค์ เราต้องรับการอภัยที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราผ่านทางพระคริสต์

คุณต้อนรับพระเยซู พระเมษโปดกของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่คุณจากความผิดบาปแล้วหรือยัง?

ข้าแต่พระเจ้า  โปรดค้นหาข้าพระองค์ให้พบเมื่อข้าพระองค์หลงหาย  ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน

9 สิงหาคม 2012

“แรงจูงใจสูงสุด”

เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า

โคโลสี 1:10

เด็กชายชั้น ป.1 ยืนยิ้มแฉ่งอย่างพึงพอใจขณะที่ยื่นข้อสอบการสะกดคำมาให้ผม ซึ่งครูของเขาเขียนคำว่า “100% - ดีมาก” เอาไว้ตัวเบ้อเริ่ม เขาบอกผมว่า “ผมเอานี่ให้พ่อกับแม่ดูเพราะผมรู้ว่าพ่อกับแม่จะต้องดีใจ” ผมเห็นภาพของเด็กน้อยนั่งรถโรงเรียนกลับมาบ้าน และอยากจะเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นของพ่อแม่เมื่อได้เห็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา จะเห็นได้ชัดว่าแรงจูงใจสำคัญในชีวิตของเขาคือการทำให้พ่อและแม่มีความสุข

ในพระธรรม 2 ทิโมธี 2:3 เปาโลได้ใช้ภาพของทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ ท่านต้องการให้ทิโมธีรู้ว่าอะไรคือเหตุผลสูงสุดของการปรนนิบัติพระเจ้า แม้ในเวลาที่มีอุปสรรคเกิดขึ้น การทุ่มเทจนหมดใจด้วยการทำงานหนัก และระมัดระวังเอาใจใส่ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นจะเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์ เมื่อเราทำด้วยหัวใจที่รักและยอมจำนน

ในความเป็นมนุษย์ขององค์พระผู้ช่วยให้รอดนั้น ทรงปรารถนาให้การตายอย่างทารุณโหดร้าย และการตกเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ชาติเลื่อนพ้นไปจากพระองค์ แต่พระองค์ก็อธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” (ลก. 22:42) แรงจูงใจสูงสุดของพระเยซูก็คือการทำให้พระบิดาพอพระทัย และนั้นควรจะเป็นแรงจูงใจของเราด้วยเช่นกัน

ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์  ขอบพระคุณสำหรับการดูแลเอาใจใส่ของพระองค์ซึ่งปกคลุมข้าพระองค์ไว้ไม่ว่าข้าพระองค์จะอยู่ ณ จุดใด  โปรดประทานความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและกำลังแก่ข้าพระองค์ในการช่วยเหลือผู้อื่น  เช่นเดียวกับที่ข้าพระองค์ได้รับการช่วยเหลือมาก่อน  ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน

10 สิงหาคม 2012

“ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่”

โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยให้ข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้

โรม 7:24

นักวิ่งที่ถูกคู่แข่งทิ้งห่างจนดูเหมือนไม่มีทางจะชนะการแข่งขัน แต่สามารถตีตื้นกลับมานำได้อีกครั้ง คงจะช่วยกระตุ้นจินตนาการและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้อย่างดี ทีมที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยชนะในตอนสุดท้ายจะทำให้เราตื่นเต้นมากกว่าทีมที่ชนะด้วยการทำคะแนนได้ดีตั้งแต่ช่วงแรก

พระเยซูได้พลิกสถานการณ์อย่างมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา หลังจากถูกทำให้อับอาย ถูกดูหมิ่น ถ่มน้ำลายรด ถูกเฆี่ยน ถูกตี และถูกตรึงที่กางเขน บรรดาผู้ประหัตประหารพระองค์ก็อ้างชัยชนะและประกาศว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วทหารยามได้เฝ้าอุโมงค์ฝังพระศพเอาไว้ จะมีใครที่ถูกคู่แข่งทิ้งห่างจนไม่มีทางเอาชนะได้มากไปกว่านี้อีก?

แต่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น สามวันต่อมา พระองค์ได้ฟื้นขึ้นจากความตายและปรากฏพระองค์ในฐานะผู้มีชัยเหนือความบาป ความตาย และนรก เป็นการพลิกสถานการณ์ที่ไม่เหมือนครั้งอื่นใดในประวัติศาสตร์

คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีทางชนะอยู่หรือไม่? คุณเคยล้มลงอย่างไม่เป็นท่าหรือหรือเปล่า? จงคิดถึงการทนทุกข์ของพระเยซู ใคร่ครวญถึงการฟื้นคืนพระชนม์ และทูลขอให้พระองค์ประทานชัยชนะให้กับคุณ จงคิดถึงสิ่งที่พระองค์จะประทานให้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ห่างไกลจากเส้นชัยสักเพียงใด!

ไม่มีใครที่มีชัยชนะเหมือนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ข้าแต่พระเจ้าแห่งการให้และความรัก ขอบพระคุณสำหรับสารพัดของประทานและความสามารถที่แตกต่างกันที่ทรงประทานให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ไว้วางใจในพระองค์ที่จะพัฒนาพรสวรรค์เหล่านั้นที่อยู่ในตัวของข้าพระองค์ และใช้เพื่อพระสง่าราศีของพระองค์ กราบทูลในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

11 สิงหาคม 2012

“สวนสองแห่ง”

พระเจ้าทรงปลูกสวนสองแห่งไว้ที่เอเดนทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

ปฐมกาล 2:8

มีสวนที่สำคัญอยู่สองแห่งที่พระคัมภีร์พูดถึงคือ สวนเอเดนและสวนเกทเสมนี พระเจ้าทรงให้มนุษย์คนแรกคือ อาดัม อาศัยอยู่ในสวนเอเดน และพระเยซูเสด็จเข้าไปในสวนเกทเสมนีเพื่อนำสิ่งที่มนุษย์คนแรกสูญเสียไปกลับคืนมา

อาดัมคนแรกทำบาปในสวน อาดัมคนสุดท้ายมารับแบกบาปนั้นไว้ สวนเอเดนมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งมนุษย์สามารถชื่นชมมันได้ตราบชั่วนิรันดร์ ถ้าหากเขาไม่ทำลายความสัมพันธ์กับพระเจ้าลง สวนเกทเสมนีเป็นก้าวที่มุ่งสู่ต้นไม้แห่งความมรณา (กจ. 5:30,1 ปต. 2:24) เพราะความผิดบาปของอาดัมเขาจึงเสียสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตและนำความตายมาสู่มนุษยชาติ พระองค์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนทรงมีชัยชนะเหนือความตาย และโดยการฟื้นคืนพระชนม์อย่างสง่างามของพระองค์ ผู้เชื่อทุกคนจึงกลับมามีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง

สวนที่อาดัมล้มลงนั้นได้สูญหายไปจากโลกแล้ว แต่วันอันแสนยินดีกำลังจะมาถึงเมื่อพระองค์ผู้ทรงทนทุกข์ในสวนเกทเสมนีจะทำให้ทุกสิ่งกลับคืนมา คำสาปแช่งจะหมดไปจากโลกนี้ สัตว์ต่างๆ จะกลับมาเชื่องอีกครั้ง (อสย. 11:6-8) ทะเลทรายจะหายไป (อฮย. 35:6) แผ่นดินโลกจะให้ผลที่อุดมสมบูรณ์ (อมส. 9:13) และพระเยซูจะทรงประทับอยู่กับเราในโลกเพื่ออวยพรประชากรของพระองค์ (วว. 21:3)  สิ่งที่อาดัมทำให้สูญหายไป พระเยซูจะนำกลับคืนมา

ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์  ขอบพระคุณสำหรับการดูแลเอาใจใส่ของพระองค์ซึ่งปกคลุมข้าพระองค์ไว้ไม่ว่าข้าพระองค์จะอยู่ ณ จุดใด  โปรดประทานความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและกำลังแก่ข้าพระองค์ในการช่วยเหลือผู้อื่น  เช่นเดียวกับที่ข้าพระองค์ได้รับการช่วยเหลือมาก่อน  ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน

12 สิงหาคม 2012

หัวอกของพ่อและแม่

บิดาสงสารบุตรของตนฉันใด  พระเจ้าทรงสงสารบรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น

สดุดี   103:13

ลูกน้อยวัยสองเดือนเขาเราร้องไห้โยเยเพราะปวดท้อง  เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่ทั้งสามี "โย" กับดิฉันได้พยายามทุกวิถีทางที่จะหายาเพื่อมาบรรเทาความทุกข์ทรมานในยามค่ำคืนของลูกให้ได้  คืนนี้ดิฉันฟังเสียงหวีดร้องของลูก  เฝ้าดูลูกถีบเท้าน้อย ๆ ด้วยความเจ็บปวด  และจ้องมองนัยน์ตาของเธอในยามที่เธอร้องไห้เพื่อขอความช่วยเหลือ  ดิฉันรู้สึกประหนึ่งหัวใจของฉันจะแตกสลายเพราะฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้

โยปลอบและอุ้มลูกน้อยเดินทั่วบ้านเกือบชั่วโมง จากนั้นดิฉันอุ้มเธอไว้และพาไปนั่งชิงช้า และร้องเพลง  “พระคุณพระเจ้า” กล่อมลูกน้อย หลังจากนั้นอีกชั่วโมงเธอก็หลับในอ้อมแขนของดิฉันด้วยความอ่อนเพลีย  บ้านทั้งบ้านก็เงียบสงบลงอีกครั้ง  แต่ฉันรู้สึกว่าเราทั้งสองเหนื่อยหล้าที่ต้องดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยของเรา แต่เราทำทุกสิ่งได้เพราะเรารักลูกดั่งแก้วตาดวงใจของเรา

เมื่อชีวิตของเราประสบกับปัญหายุ่งยาก  พระเจ้าทรงโอบอุ้มและทรงเล้าโลมใจเรา  ทรงโอบกอดเราด้วยพระคุณอันแสนชื่นใจของพระองค์  เราจึงอยู่ในการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้า

ข้าแต่พระเจ้า  ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความรัก  การดูแลเอาใจใส่  และการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ตลอดไป  ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน

13 สิงหาคม 2012

“อย่าเป็นเป้า”

พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกซ้ำ...

สดุดี 34:18

กรมอุตุนิยมวิทยาได้แนะนำว่า ถ้าคุณบังเอิญไปอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะที่กำลังเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ให้คุณคุกเข่าลง โน้มตัวไปข้างหน้า และเอามือวางไว้ตรงหัวเข่า เพื่อที่เวลาฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆ ร่างกายของคุณจะได้หลีกเลี่ยงจากการเป็นสื่อไฟฟ้า ความปลอดภัยสูงสุดจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้ร่างกายตกเป็นเป้าน้อยที่สุด

คริสเตียนที่เผชิญกับพายุของชีวิตสามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้กับจิตวิญญาณของเรา โดยการไม่แสดงตัวให้เป็นเป้าที่โดดเด่น นั่นหมายความว่าเราจะต้องถ่อมตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า (สดด. 34:18) เพราะความหยิ่งผยองและความดื้อดึงจะทำให้ใจของเราแข็งกระด้าง เราต้องพูดแต่ความจริง (ข้อ 13) หลีกหนีจากความชั่ว กระทำความดีและแสวงหาสันติภาพ (ข้อ 14) พระบิดาในสวรรค์ปรารถนาให้เราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในเวลาที่ใจของเราปวดร้าว เพื่อพระองค์จะได้เยียวยาบาดแผลของเราด้วยความรักและประทานกำลังใหม่ให้กับเรา

เราอาจจะเปียกโชกท่ามกลางสายฝนแห่งความทุกข์ยากลำบากที่กระหน่ำลงมา และบางครั้งลมก็กรรโชกแรงจนเราแทบจะยืนไม่ติด ขณะที่สายฟ้าฟาดลงมาแต่ละครั้ง เราอาจจะอยากลุกขึ้นและวิ่งหนีไป แต่การรักษาท่าทีแห่งความถ่อมใจ และความยำเกรงพระเจ้าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและแน่นอนที่สุดในการฟันฝ่าพายุ กษัตริย์ดาวิดยืนยันกับเราว่าผู้ที่วางใจในพระเจ้าท่ามกลางพายุของชีวิตนั้นจะไม่ถูกปรับโทษ (ข้อ 22)

ข้าแต่พระเจ้า  โปรดประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ที่จะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดและความยากลำบากทุกชนิดอย่างไม่หวั่นไหวในความเชื่อของข้าพระองค์  ในนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน

14 สิงหาคม 2012

“ลมแห่งรัก”

ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

1 ยอห์น 4:8

ชาวนาคนหนึ่งมีกังหันลมอยู่ที่โรงนา ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก” เมื่อเพื่อนๆ ถามว่าเหตุใดเขาจึงเขียนเช่นนั้น ชาวนาตอบว่า “เพื่อเตือนใจให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าไม่ว่าลมจะพัดไปในทิศทางใด พระเจ้ายังคงเป็นความรัก”

เมื่อ “ลมจากทิศใต้” ที่ชื่นฉ่ำได้หอบเอาฝนแห่งพระพรมาให้ พระเจ้าทรงเป็นความรัก “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน” (ยก. 1:17)

เมื่อ “ลมจากทิศเหนือ” อันหนาวเหน็บแห่งการทดลองและการทดสอบพัดมาปะทะตัวคุณ พระเจ้าทรงเป็นความรัก “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง” (รม. 8:28) เมื่อ “ลมตะวันตก” พัดกระหน่ำมาที่คุณด้วยเจตนาของการลงโทษ พระเจ้าทรงเป็นความรักเพราะ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก” (ฮบ. 12:6)

เมื่อ “ลมตะวันออก” ทำท่าว่าจะหอบเอาทุกสิ่งไปจากคุณ พระเจ้าทรงเป็นความรัก “และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรื่องของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (ฟป. 4:19)

บางทีคุณอาจจะรู้สึกท้อแท้และเศร้าใจ หากเป็นเช่นนั้น จงระลึกว่าพระเจ้ายังคงห่วงใยคุณ สิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่นั้นคือสิ่งที่พระเจ้าส่งมาหรือทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

ใช่แล้ว ไม่ว่าลมจะพัดไปในทิศทางใด พระเจ้าทรงเป็นความรัก

ข้าแต่พระเจ้าแห่งชีวิต โปรดให้ข้าพระองค์หันกลับมาหาแสงสว่างของพระองค์ทุกวัน เพื่อข้าพระองค์จะเติบโตเป็นคนที่พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพระองค์เป็น   กราบทูลในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?