การทรงเลือกและการตอบสนองการทรงเลือก
บทเรียนพระคัมภีร์
การทรงเลือกและการตอบสนองการทรงเลือก
(Predestination and Free will)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
มีคำถามว่า เราหลุดพ้นโดยการทรงเลือกของพระเจ้า (Predestination) หรือโดยการตอบสนองการทรงเลือกนั้น (Free will) การทรงเลือกหมายความว่า พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลกว่าคนนั้นจะได้รับความหลุดพ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำบุญของเขา แต่ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้า
ส่วนการตอบสนองการทรงเลือกหมายความว่า เมื่อได้ยินได้ฟังบารมีพระเจ้าแล้ว ได้รับการทรงเรียกของพระเจ้าแล้ว ก็ตอบสนองการทรงเรียกนั้น ยอมรับเอาบารมีของพระเจ้า ก็จะได้รับความหลุดพ้นทันที ทั้งสองอย่างนี้เราหลุดพ้นเพราะอะไร เพราะการทรงเลือก หรือเพราะการตอบสนองการทรงเลือก หลายคนมักจะเข้าใจผิดแล้วเน้นด้านใดด้านหนึ่ง
ตามพระคัมภีร์แล้วเราหลุดพ้นได้ เนื่องมาจากการทรงเลือกของพระเจ้า และการที่เราตอบสนองการทรงเลือกด้วย
1. การทรงเลือกหรือการกำหนดไว้ล่วงหน้า (Predestination)
การทรงเลือกหรือการกำหนดไว้ล่วงหน้าที่ อาจารย์เปาโลกล่าวไว้ว่า “ในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายตาของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัย และพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ที่ทรงโปรดประทานให้แก่เราเปล่าๆ ในพระเยซูที่พระองค์ทรงรัก” (อฟ 1:4-6)
“ในพระองค์นั้น เราได้รับการทรงเลือกด้วย คือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์ เพื่อเราผู้มีความหวังในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะอยู่เพื่อยกย่องพระเกียรติ์ของพระองค์” (อฟ 1:11-12)
นอกจากนั้น พระคัมภีร์เดิมยังกล่าวไว้ โดยคนทรงของพระเจ้าที่ชื่อ เยเรมีย์ ว่า “เราได้รู้จักเจ้า ก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นคนทรงของเราให้แก่บรรดาประชาชาติ” (ยรม 1:5)
เมื่อพระเยซูทำพันธกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกสาวกเพื่อใช้ให้เขาไปเผยแพร่บารมีพระเจ้า พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน และได้แต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นไห้แก่ท่าน” (ยน 15:16)
“สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย” (ยน 6:37
“ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:44)
“และพระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า ‘ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดผู้นั้น”’ (ยน 6:65)
เมื่อเปาโบเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่กรุงโรม ท่านได้บอกคนเหล่านั้นว่า “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ไดทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะภาพลักษณ์แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นคนบุญ และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นคนบุญ พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย” (รม 8:29-30)
“แม้ก่อนบุตรนั้นเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก พระองค์จึงตรัสแก่นางนั้นว่า พี่จะปรนนิบัติน้อง ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาเราได้ชัง” (รม 9:11-13)
“แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า ‘ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้” ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาดินก้อนเดียวกันมาเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ แล้วถ้าโดยทรงประสงค์จะสำแดงการลงพระอาชญาและทรงให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฏ พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านานต่อผู้เหล่านั้น ที่เป็นภาชนะอันสมควรแก่พระอาชญา ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ เพราะจะได้ทรงสำแดงสง่าราศี อันอุดมของพระองค์ แก่บรรดาผู้ที่เป็นภาชนะแห่งพระเมตตา ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับศักดิ์ศรี คือเราทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเรียกมาแล้ว มิใช่จากยิวพวกเดียว แต่จากพวกต่างชาติด้วย” (รม 9:20-24)
และเมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่เมือง เธสะโกนิกา ท่านก็บอกเขาทั้งหลายว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิม ให้ถึงที่หลุดพ้นโดยพระธรรม ทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์ (ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง) และโดยท่านได้เชื่อความจริง” (2 ธส 2:13-14)
“เราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลาย และเมื่ออธิษฐานเราก็เอ่ยถึงท่านเสมอ ต่อหน้าพระบิดาเจ้าของเรา เรารำลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำและพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่ท่านเต็มใจทำงานหนัก และความพากเพียรซึ่งเกิดจากความหวังในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา (1 ธส 1:2-3)
“ดูก่อนพี้น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า เราทราบแน่ว่าพระเจ้าได้ทรงสรรท่านทั้งหลายไว้แล้ว และบารมีของพระเจ้าของเราที่มาถึงท่านมิใช่มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระธรรม” (1 ธส 1:4-5)
เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนพระเจ้าที่แคว้นกาลาเทีย ท่านก็บอกเขาเหล่านั้นว่า พระเจ้าได้เลือกสรรท่านไว้ตั้งแต่ครรภ์มารดา “เมื่อพระเจ้าผู้ทรงสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาและได้ทรงโปรดบัญชาใช้ข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ ทรงพอพระทัย” (กท 1:15)
และเมื่อท่านเขียนจดหมายไปถึง ทิโมธี ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านที่รับผิดชอบทำหน้าที่เป็นผู้ “อภิบาลชุมชนของพระเจ้าอยู่” ท่านก็บอกเขาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้เราหลุดพ้น และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ ทรงเลือกสรรเราไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ “ผู้ทรงช่วยเราให้หลุดพ้น และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น” (2 ทธ 1:9)
“เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกข์อย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความหลุดพ้น ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์” (2 ทธ 2:10)
ไม่ใช่เฉพาะพระเยซู เปาโลเท่านั้น ที่บอกเราว่า พระเจ้าได้เลือกสรรเราไว้ หรือกำหนดเราไว้ เพื่อจะให้มาถึงซึ่งความหลุดพ้นในพระองค์ เปโตรก็กล่าวเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่ท่านรับผิดชอบที่กระจัดกระจายอยู่ “เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ เรียนพวกที่กระจัดกระจายไปอยู่ในแคว้น…ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกและกำหนดไว้แล้ว และพระธรรมได้ทรงชำระแล้ว เพื่อให้มีความนบนอบเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และให้ได้รับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณและสันติภาพจงเกิดทวีคุณแก่ท่านทั้งหลายด้วยเถิด” (1 ปต 1:1-2)
ผู้เขียนหนังสือฮีบรู ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า พระเจ้าได้ทำพันธสัญญาไว้นานแล้ว ว่าจะเลือกเราและกำหนดเราไว้ เพื่อจะได้มาสู่การชำระให้หลุดพ้นโดยพระคุณของพระองค์ “เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นผู้กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกมาได้รับมรดกนิรันดร์ตามพระสัญญา เพราะการพลีชีวิตนั้นไถ่คนให้พ้นจากบาปอันเกิดใต้พันธสัญญาเดิมแล้ว” (ฮบ 9:15)
ยากอบก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การกลับใจใหม่เกิดจากเบื้องบนนั้น ไม่ใช่เราเกิดเอง(เหมือนกับเราเกิดจากบิดามารดา) แต่เป็นเพราะพระเจ้าเป็นผุ้ให้เราเกิด ดังที่ท่านกล่าวว่า “โดยทรงตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงให้เราทั้งหลายเกิดโดยถ้อยคำแห่งความจริงเพื่อเราทั้งหลายจะได้เป็นอย่างผลแรกแห่งสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสร้าง” (ยก 1:18)
2. การตอบสนองการทรงเลือก (Free will)
เมื่อพระเจ้าทรงเลือกเราไว้ หรือกำหนดเราไว้แล้ว เราจะหลุดพ้นทันทีโดยอัตโนมัติไหม ตอบว่า “ไม่” จริงอยู่พระเจ้าได้กำหนดเราไว้ และเลือกเราไว้ แต่เราจะต้องตอบสนองการทรงเลือก หรือการกำหนดไว้นั้น ดังที่ยอห์นกล่าวไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว 3:20)
ในพระคัมภีร์เดิม ก็กล่าวไว้ว่า “และอยู่มาจะเป็นอย่างนี้ คือผู้ที่ร้องทูลออกพระนามของพระเยโฮวาห์จะหลุดพ้น เพราะจะมีคนหลุดพ้นในภูเขาไซออนและในเยรูซาเล็มตามที่พระเจ้าตรัสไว้ และในพวกคนที่หลุดพ้นนั้นจะมีบรรดาบุคคลที่พระเจ้าทรงเรียกด้วย” (ยอล 2:32)
เมื่อพระเยซูสั่งสอนศิษย์ของพระองค์ พระองค์ก็กล่าวไว้ว่า “แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย” (มธ 10:33)
“ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะไม่โปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระธรรมจะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้และยุคหน้า (มธ 12:32)
“ด้วยว่าผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” (มธ 12:50)
“ด้วยว่าถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้นในเวลาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดาและด้วยเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์” (มก 8:38)
“เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน เพราะว่าพระเจ้าทรงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ต่อโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศแต่มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 3:15-16)
“ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” (ยน 3:18)
“เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้น ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอพระองค์” (รม 10:11-12)
ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ตรัสไว้โดยผ่านทางอิสยาห์ ซึ่งเป็นคนทรงของพระองค์ ว่าพระองค์ต้องการให้มวลมนุษย์หันกลับมาหาพระองค์ “มวลมนุษย์ทั่วแผ่นดินโลกเอ๋ย จงหันมาหาเราและรับการช่วยให้หลุดพ้น เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก” (อสย 45:22)
“เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมด จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (อสย 44:22)
“ผู้ใดปฏิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตร ผู้นั้นก็มีพระบิดาด้วย” (1 ยน 2:23)
“ผู้ใดยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า” (1 ยน 4:15)
“ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า และผู้ใดมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ผู้นั้นก็มีพรหมวิหารสี่ต่อคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย” (1 ยน 5:1)
“เราคือเยซูผู้ใช้ให้ทูตสวรรค์ของเราไปเป็นพยานสำแดงเหตุการณ์เหล่านี้แก่ท่านเพื่อชุมชนของพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “คริสตจักร”) ทั้งหลาย เราเป็นเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่ง พระธรรม (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวิญญาณ”) และเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า “เชิญมาเถิด และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วว 22:16-17)
มีคำถามว่า ความหลุดพ้นของเรา ขึ้นอยู่กับการทรงเลือกของพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับการตอบสนองการทรงเลือกของเรา คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับทั้งการทรงเลือกของพระเจ้า และการตอบสนองการทรงเลือกนั้นเอง พระคัมภีร์อ้างทั้งสองอย่าง ดังนั้นเราจะต้องเชื่อทั้งสองทฤษฎี แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ก็ตาม เราไม่สามารถประนีประนอมกับคำสอนด้านใดด้านหนึ่ง
พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่าเราจะต้องประนีประนอม เราจะต้องเชื่อทั้งการทรงเลือกของพระเจ้า และการตอบสนองการทรงเลือกของเรา จะไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจหลักคำสอนนี้ได้ จนกว่าเขาจะเกิดใหม่เข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าแล้ว เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว เราเข้าใจ แต่ก่อนนั้นเราจะไม่เข้าใจ เพราะเรามีข้อจำกัด แต่พระเจ้าไม่มีข้อจำกัด เราไม่มีความเข้าใจที่กว้างขวางเหมือนพระเจ้าที่จะเข้าใจข้อล้ำลึกทุกอย่างได้ ซึ่งเป็นของพรเจ้าเพียงผู้เดียว
แต่ทำไมเปาโลจึงเน้นเกี่ยวกับการทรงเลือกของพระเจ้าเป็นอย่างมาก ก็เป็นเพราะว่าท่านมีความเชื่ออย่างเข้มแข็งว่าท่านได้รับความหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้า ผู้ทรงเลือกท่าน กำหนดท่านไว้เพื่อจะได้รับความหลุดพ้นบาปก่อนวางรากสร้างโลก นี่เป็นความเชื่อของเปาโล ก่อนที่จะเกิดใหม่มีความเชื่อในพระเจ้านั้นเปาโลมีนามว่า “เซาโล” แต่เมื่อเชื่อในพระเจ้าแล้วท่านก็เปลี่ยนชื่อเป็น “เปาโล”
ก่อนนั้นท่านไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่เคยฝันว่าจะมาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ท่านรังเกียจพระเยซู และรังเกียจผู้เชื่อในพระเยซู จนกระทั่งไปขอใบอนุญาตจากมหาปุโรหิตผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งสภาซันเฮ็ดริน (สภาศาสนาของพวกยิว) ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วเดินทางเพื่อจะไปจับผู้เชื่อพระเจ้าที่เมืองดามัสกัสมาขึ้นศาลศาสนา
ขณะที่เดินทางไปยังเมืองดามัสกัสนั้น แสงสว่างจากฟ้าก็ส่องล้อมรอบตัวท่าน และท่านล้มลงที่พื้นดิน และมีเสียงดังมาถึงท่านว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม “ข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น ฝ่ายคนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่าง” แต่เสียงที่ตรัสกับข้าพเจ้านั้นเขาหาได้ยินไม่ ข้าพเจ้าถึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด”
พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองดามัสกัส และที่นั่นเขาจะบอกเจ้าให้รู้ถึงการทุกสิ่งซึ่งได้กำหนดไว้ให้เจ้าทำนั้น” เมื่อข้าพเจ้าเห็นอะไรไม่ได้เนื่องจากแสงแรงกล้านั้น คนที่มาด้วยกันกับข้าพเจ้าก็จูงมือพาข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส มีคนหนึ่งชื่ออานาเนียเป็นคนถือธรรมบัญญัติเคร่งครัด และมีชื่อเสียงดี เป็นที่นับถือของพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น ได้มาหาข้าพเจ้าและยืนอยู่ใกล้ กล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นได้อีกเถิด”
ข้าพเจ้าจึงเห็นได้ในเวลานั้น และข้าพเจ้าเห็นท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงเลือกท่านไว้ ประสงค์จะให้ท่านรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ ให้ท่านเห็นพระองค์ผู้เป็นคนบุญ และให้ได้ยินเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะว่าท่านจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ให้คนทั้งปวงทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งท่านเห็นและได้ยินนั้น เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นรับพิธีมุดน้ำ ด้วยออกพระนามของพระองค์ลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กจ 22:5-16)
เซาโลได้กลับใจใหม่เกิดจากเบื้องบน และกลายมาเป็นพันธกรแห่งบารมีของพระเจ้า ชื่อของท่านก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เป็น เปาโล เปาโลเชื่ออย่างมั่นคงว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้ท่านหลุดพ้น พระเจ้าได้ให้แสงสว่างจากสวรรค์ล้อมรอบท่าน พระเยซูคริสต์ปรากฏกับท่านเป็นการส่วนตัว และตรัสกับท่าน และพระเจ้าได้ส่งอานาเนียมาช่วยเหลือ และแนะนำท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ พระเจ้าเป็นผู้กระทำ เปาโลไม่มีส่วนแต่อย่างใด เป็นการกระทำของพระเจ้าฝ่ายเดียวเท่านั้น
เปาโลเคยเดินทางที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าจึงดึงฉวยท่านไว้ และทำให้ท่านเป็นอัครทูตผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เปาโลสารภาพผิดยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ในบรรดาคนบาปนั้น ท่านเป็นคนบาปมากที่สุด แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่วางรากสร้างโลกให้มารับความหลุดพ้นบาป เมื่อท่านมีความเชื่อและการสารภาพบาปพระเจ้าแล้ว ท่านก็ได้รับความหลุดพ้นบาป ซึ่งเป็นการตอบสนองการทรงเลือกของพระเจ้า
ในกรณีของเปาโลนี้ ถ้าพระเจ้าเพียงผู้เดียวเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับความหลุดพ้นของมนุษย์ แล้วพระเจ้าเลือกคนหนึ่งให้หลุดพ้น และอีกคนหนึ่งไม่ให้หลุดพ้นไหม คำตอบก็คือ “ไม่” พระคัมภีร์ของพระเจ้าไม่เคยกล่าวไว้เช่นนั้น พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มนุษย์มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะรับหรือปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าได้ พระเยซูคริสต์เคาะอยู่ที่ประตูใจของทุกคน หน้าที่ของเราคือเปิดประตูและให้พระองค์เสด็จเข้ามา ถ้าเราไม่เปิดประตูใจของเรา พระองค์ก็ไม่ยอมเข้ามา เพราะการเปิดประตูต้อนรับเป็นหน้าที่ของเรา
เราอาจจะยกตัวอย่างชายกระหายน้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้านำน้ำมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว เขาจะดื่มหรือไม่ดื่ม ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าเขาดื่มเขาก็จะไม่กระหาย แต่ถ้าเขาไม่ดื่มเขาก็จะกระหายอยู่เหมือนเดิม และถ้าเขาตายไป ใครเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็เขานั่นเองเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะการดื่มหรือไม่ดื่มเป็นหน้าที่ของเขา ไม่ใช่หน้าที่ของผู้นำน้ำมาให้ มีหลายครั้งพระคัมภีร์กล่าวว่า “ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูจะไม่ถูกลงโทษ แต่จะมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” ใครก็ตาม มีความหมายว่า “ผู้ใดก็ตาม” มนุษย์มีทางเลือกว่าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ ถ้าเชื่อก็จะได้รับชีวิตเข้าสู่นิพพาน ถ้าไม่เชื่อก็จะได้รับความตายตลอดไปในบึงไฟ
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะชัดเจนคือ มีชายคนหนึ่ง (เป็นคนไทย) เดินทางไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) เขาได้ตัดสินใจที่จะอยู่อเมริกาตลอดไป ในจุดนั้น เขารู้ล่วงหน้า และรู้ว่า การที่ลูกๆของเขาเกิดที่สหรัฐอเมริกาเป็นการกำหนดไว้แล้วว่า ลูกของเขาจะได้เป็นพลเมืองของอเมริกา เขารู้อย่างแน่นอนว่า คนที่เกิดที่อเมริกาจะได้เป็นพลเมืองของอเมริกา
เมื่อพระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดในโลกนี้เพื่อตายไถ่โทษบาปของคนในโลกนี้บนกางเขนก็เช่นกัน พระองค์รู้ล่วงหน้า และกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะไม่ต้องรับโทษ แต่จะได้รับชีวิตเข้าสู่นิพพาน ซึ่งเป็นการทรงเลือก และการตอบสนองการทรงเลือกของพระเจ้าของเรา
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)