13.ใครช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นบาปได้ (Who Saves Man?)
บทเรียนพระคัมภีร์
ใครช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นบาปได้
(Who Saves Man?)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ เป็นคนบาปมีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ เป็นคนบาป แม้ว่าจะถือศีล 5 รักษาศีล 5 ก็ไม่สามารถที่จะกลายเป็นคนบุญที่ไม่มีบาปกรรม ไม่มีเวรกรรมได้ ยิ่งถือศีลห้ายิ่งเป็นการเพิ่มบาปกรรมให้กับเรามากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งถือเคร่งครัดเท่าใด ก็ยิ่งฝ่าฝืนมากเท่านั้น
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะคนเราเป็นคนที่มีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา (เกิดขึ้นมาอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย) ซึ่งก็คือเป็นคนที่มีบาปกรรม หรือเวรกรรมนั่นเอง ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า:
“ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญสักคนเดียว ไม่มีเลย
ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
เขาทุกคนหลงทางไปหมด
เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ปากของเขาในการล่อลวง
ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย
ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่า และคำเผ็ดร้อน
เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด
ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์
และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติภาพ
เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย”
(รม 3:10-18)
มนุษย์ไม่สามารถจะเป็นคนบุญได้ด้วยตัวเอง
นั่นคือสภาพที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนแต่อยู่ในสภาพนั้น ไม่สามารถทำดีได้ หรือไม่สามารถรักษาศีล 5 ได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมักจะมีคนมาบอกว่า “ไม่เป็นไร ทำได้หนึ่งข้อ สองข้อ ก็ดีกว่าไม่ทำตามเลย”
เราจะทำได้กี่ข้อ หรือทำไม่ได้เลยก็ไม่แปลก และแตกต่างกัน แม้ว่าทำได้หนึ่งข้อ หรือสองข้อ เราก็ยังเป็นคนที่มีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะตัณหา เหมือนเดิม เหมือนกับคนที่ทำไมได้เลย ไม่ใช่ว่า เมื่อทำตามได้แล้ว เราจะกลายเป็นคนบุญที่ไม่มีธรรมชาติบาป กิเลศ ราคะ ตัณหาหายไป
ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น กิเลส ราคะ ตัณหา ของเราไม่มีวันที่จะหายไปได้ ตราบใดที่คุณอาศัยอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังนี้ เราอาจจะรักษาศีล ถือศีลได้ ข่มใจลง และทำให้กิเลส ราคะ ตัณหา น้อยลง แต่ไม่มีทางที่มันจะหมดไปจากเรา เพราะเราเกิดมาพร้อมกับกิเลส ราคะ ตัณหา
ตราบใดที่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นคนบุญได้ แม้ว่าจะรักษาศีล 5 เคร่งครัดเท่าใด หรือเราอาจจะไปเป็นนักบวช เราก็ยังมีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา อยู่เหมือนเดิม
เราอาจจะบอกว่า กิเลส ราคะ ตัณหา น้อยลง แต่จะให้หมดไปนั้น ไม่มีทาง ตราบใดที่เรายังเป็นลูกหลานของอาดัม-เอวา (ปู่สางกะสา ย่าสางกะสี) อยู่
และศีล 5 (หรือศีลอื่นๆ) ก็ไม่มีหน้าที่ทำให้เราเป็นคนบุญ เพียงแต่มีหน้าที่บอกว่า เราเป็นคนที่มีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา เท่านั้น ซึ่งก็คือการเป็นคนที่มีบาปกรรมนั่นเอง
ถ้าจะเปรียบเทียบ ศีลก็เหมือนกับ “กระจกเงา” ที่ใช้ส่องให้เห็นว่า หน้าตาเราเป็นอย่างไร กระจกเงานั้นไม่มีหน้าที่ที่จะชำระหน้าตาที่สกปรกของเรา ผู้ที่จะชำระเราให้สะอาด เป็นคนบุญได้คือพระเจ้า ไม่ใช่ศีลห้า (หรือศีลอื่นๆ) “เพราะว่าในสายตาของพระเจ้า ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนบุญได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ (ศีลห้า หรือศีลอื่นๆ) เพราะว่าโดยธรรมบัญญัติ(ศีลห้า หรือศีลอื่นๆ) นั้นทำให้เรารู้จักบาปได้” (รม 3:20)
ดังนั้น การที่เราจะเป็นคนบุญได้ ก็ต้องหาทางใหม่ ต้องเดินทางใหม่ นั่นคือการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้เราเป็นคนบุญได้ โดยการเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ ไม่ใช่การทำตามศีลห้า หรือหรักษาศีลห้า
ดังที่เปาโลกล่าวไว้ว่า “ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าธรรมบัญญัติ (ศีลห้า หรือศีลอื่นๆ) คือบาปหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะธรรมบัญญัติ (ศีลห้า และศีลอื่นๆ) แล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติ (ศีลห้า และศีลอื่นๆ) มิได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ” (รม 7:7)
พระเจ้าให้มนุษย์หลุดพ้นโดยพึ่งในพระคุณของพระองค์
ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ในเมื่อเราเป็นคนที่มีธรรมชาติบาป มีกิเลส ราคะ ตัณหา ซึ่งก็คือมีบาปกรรม เวรกรรม ที่ฝังอยู่ในร่างกายจิตใจของเรา เราไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้ด้วยตัวเองโดยการถือศีลห้า (หรือศีลอื่นๆ)
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราอาจจะถามว่า “เชื่อพระเจ้าแล้วจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้หรือ” ตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทันที” เราอาจจะถามต่อไปว่า “เชื่อพระเจ้าแล้วจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร”
คำตอบก็คือ “คุณจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้โดยพระคุณของพระเจ้า” พระเจ้าผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจ เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามมาตรฐานของพระองค์ที่กำหนดไว้ตามหลักศีลห้า ศีลสิบ หรือศีลอะไรก็ตาม พระองค์จึงได้มาทำแทนเขา ซึ่งเรียกว่า “พระคุณ”
สภาพที่แท้จริงของมนุษย์
ความหลุดพ้นนี้ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรอด”) เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับมนุษย์ชาติ เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้ว และขอย้ำอีกครั้งว่า มนุษย์ทุกคนในโลกนี้
-เป็นคนบาป (มีกิเลส ราคะ ตัณหา)
-เสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า
-จิตวิญญาณของเขามืดบอดไป
-เขาต้องพบกับความตาย (ทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ) เพราะการฝ่าฝืนและการทำบาป
-ในที่สุดเขาจะต้องถูกจับโยนลงในบึงไฟ
-เขาไม่สามารถที่จะช่วยตนเองให้พ้นจากสภาพที่เป็นคนบาปนี้ได้เลย
พระเจ้าช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้น
ดังนั้นพระเจ้าจึงได้วางแผนการณ์ และเป็นผู้มาช่วยเขาให้หลุดพ้น ความสำคัญของความหลุดพ้นนี้ คือ
-การช่วยกู้ หรือช่วยเหลือให้มนุษย์พ้นจากความตายและการทนทุกข์ทรมานในบึงไฟ
การที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากความบาปความตายเข้าสู่ชีวิตได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์เจ้า และบุญบารมีของพระองค์ที่ประทานให้แก่มนุษย์
ตามพระคัมภีร์ ความหลุดพ้นเป็นของประทานของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ทำเอง คนเราไม่สามารถที่จะทำความหลุดพ้นได้ด้วยตนเอง พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้โดยพระเยซูคริสต์ “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความหลุดพ้นด้วยพระคุณเพราะความเชื่อ ความหลุดพ้นนี้มิใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของจากพระเจ้า” (อฟ 2:8)
ความหมายของคำว่าหลุดพ้นตามภาษากรีก
แท้จริงคำว่า “ความหลุดพ้น” แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า “Salvation” และคำนี้แปลมาจากภาษากรีกอีกทีว่า “โซเทเรีย” (Soteria) ในพระคัมภีร์ภาษาไทย แปลคำนี้ว่า “ความรอด” เท่านั้น (ซึ่งเป็นคำที่คนไทยทั่วไปไม่ใช้และไม่เข้าใจและเป็นภาษาเฉพาะของคริสเตียน) คำนี้ในภาษากรีก มีความหมายหลายอย่าง คือ
-หลุดพ้นจากศัตรู
-หลุดพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย
-หลุดพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ หรือภัยสงคราม
แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพราะมนุษย์เป็นคนบาป (มีกิเลส ราคะ ตัณหา) โลกนี้ตกอยู่ใต้อำนาจบาป ตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า การหลุดพ้นที่สูงสุด และสำคัญที่สุด คือ
-การหลุดพ้นจากบาป (ได้แก่การ มีกิเลส ราคะ ตัณหา)
-หลุดพ้นจากความตาย (ฝ่ายจิตวิญญาณ)
-หลุดพ้นจากการแช่งสาปของพระเจ้า
เพื่อจะให้เข้าใจได้ทันที ว่าความหลุดพ้นในที่นี้คือ การหลุดพ้นจากบาป ดังนั้น ในบทเรียนนี้ เราจึงใช้คำว่า “ความหลุดพ้น” แทนคำว่า “ความรอด”
มนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หลุดพ้นได้
มนุษย์ในโลกนี้ เปรียบเสมือนคนที่ตกลงไปในน้ำและว่ายน้ำไม่เป็น และกำลังจะจมน้ำตาย เขาจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ถ้าจะรอดพ้นจากความตายได้ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งช่วยเหลือเขาให้พ้นจากการจมน้ำนั้น
เมื่อครั้งคนทรงของพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 และฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “ผู้เผยพระวจนะ” พระคัมภี่ร์ฉบับแปลจาก KJV แปลว่า “ศาสดาพยากรณ์” ส่วนคาทอลิกแปลว่า “ประกาศกของพระเจ้า”) ที่ชื่อโยนาห์ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า และถูกจับโยนลงในทะเล มีปลาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกลืนเขาไว้ในท้อง และเขาไม่สามารถออกมาจากท้องปลานั้นได้ เขาจึงสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า “ในคราวที่ข้าพระองค์ตกทุกข์ได้ยาก ข้าพระองค์ร้องทุกข์ต่อพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงสดับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลจากท้องของนรก และพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์”(โยนาห์ 2:2)
จากนั้นพระเจ้าก็ทรงช่วยเหลือโยนาห์ โดยให้ปลาไปสำรอกเขาออกที่ชายฝั่ง เขาจึงรอดพ้นจากความตาย “การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า” (โยนาห์ 2:9) ไม่ใช่ของโยนาห์เอง
เมื่อพวกอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ เดินทางรอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะเข้าสู่คานาอันแผ่นดินแห่งพันธสัญญา เขาบ่นตำหนิติเตียนต่อว่าพระเจ้าและโมเสส พระเจ้าจึงได้ส่งงูแมวเซา ซึ่งเป็นงูพิษให้มากัดพวกเขาพบกับความตาย หลายคนตาย หลายคนกำลังจะตาย ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดตายจากพิษของงูนั้นได้เลย เขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยตัวเองให้หลุดพ้นได้
ดังนั้นโมเสสจึงสวดอ้อนวอนขอต่อพระเจ้า เพื่อให้ช่วยเหลือเขาเหล่านั้น และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสา ทุกคนที่ถูกงูกัดเมื่อเขามองดูเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้” (กดว 21:8) ผู้ที่เชื่อฟังถ้อยคำของโมเสส และมองดูงูนั้นปลอดภัยจากพิษงูนั้น
เมื่อลาซารัสตาย พระเยซูเสด็จไปยังอุโมงค์ฝังศพและกล่าวว่า “จงเอาหินออกเสีย มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ขา ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะตายมาสามสี่วันแล้ว” (ยน 11:39) ลาซารัสตายไปสามสี่วันแล้ว เนื้อหนังของเขาจะต้องเน่าเปื่อยแน่นอน เขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดจากความตายได้เลย พระเยซูจึงตรัสกับเขาด้วยเสียงอันดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด” ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด” (ยน 11:43-44)
ข้อพระคัมภีร์ทื่ยืนยันว่าพระเจ้าช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น
ตามพระคัมภีร์ แม้ว่าเรายังหายใจอยู่ แต่เราทั้งหลายตายแล้วในการละเมิด และความบาป ดังที่เปาโลกล่าวว่า “พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครองครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง” (อฟ 2:1-2)
คนตายแล้วจะไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีความรู้สึก และไม่มีจิตใจ เขาไม่สามารถที่จะช่วยให้ตนเองมีชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้น เมื่อเราตายแล้ว หรือเป็นคนที่ตายแล้ว ความหลุดพ้นจึงไม่ได้หลุดพ้นโดยเราเอง แต่มีคนอื่นมาช่วย เพราะคนที่ตายแล้วไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตนเองได้เลย
“และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่าน และด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน” (คส 2:13)
“ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ)” (อฟ 2:5)
“ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระธรรมก็คือชีวิตและสันติภาพ” (รม 8:6)
จากพระคำของพระเจ้าที่ยกมาทั้งหมด เราจะเห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยตนเองให้หลุดพ้นได้ พระเจ้าจึงได้มาช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความตาย
พระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นได้
การช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นนั้น เป็นการกระทำของพระเจ้า มีแต่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพราะเขาตายแล้ว แม้ว่าเขายังไม่ได้ตายจริงๆ (ทางเนื้อหนัง) แต่เขาก็ได้ตายแล้ว เขาไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หลุดพ้นได้ พระองค์จึงได้มาช่วยเขาให้พ้นจากความตาย โดยการตายของพระเยซูคริสต์เจ้า เพื่อไถ่โทษเขา และนำเขาออกจาความตายเข้าสู่ชีวิต
ข้อพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นได้
ในพระคัมภีร์เดิมโดยคนทรงของพระเจ้าที่ชื่อโยนาห์ ได้กล่าวไว้ว่า “แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตว์บูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียงโมทนาพระคุณ ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า” (โยนาห์ 2:9)
“พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความหลุดพ้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำลังเข้มแข็งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงใคร” (สดด 27:1)
“ความหลุดพ้นของคนบุญมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขาในเวลายากลำบาก” (สดด 37:39)
“จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว ความหลุดพ้นของข้าพเจ้ามาจากพระองค์” (สดด 62:1)
ขณะที่เปโตรถูกจับกุม และถูกสอบสวนโดยผู้ครอบครอง กับพวกผู้ใหญ่ และพวกคัมภาจารย์ ท่านได้ยืนยันกับพวกเขาว่า “ในผู้อื่นความหลุดพ้นไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายหลุดพ้นได้ไม่ทรงโปรดให้มีในท่างกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ 4:12)
และเปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือกิจการว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงรู้ว่า พระเจ้าทรงใช้คนให้นำความหลุดพ้นของพระองค์ไปยังคนต่างชาติแล้ว เขาก็จะฟัง” (กจ 28:28)
เมื่อผู้เขียนหนังสือฮีบรู เขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าชาวฮีบรู ท่านก็ได้บอกคนเหล่านั้นว่า “ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟังโดยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทรงทน เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระเยซูก็เลยทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่ง ความหลุดพ้นนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อพระองค์” (ฮบ 5:8-9)
เมื่ออัครทุตยอห์นเขียนหนังสือวิวรณ์ ท่านก็บอกว่า “คนเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า “ความหลุดพ้นขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเราผู้ประทับบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับลูกแกะของพระเจ้า”(พระคัมภีร์ภาษาไทยเป็นภาษาเฉพาของตนเองว่า “พระเมษโปดกของพระเจ้า) (วว 7:10)
จากพระคำของพระเจ้าเหล่านี้ ยืนยันว่า ความหลุดพ้นของเรามาจากพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เราไม่มีทางที่จะสร้างหรือทำความหลุดพ้นขึ้นมาได้ เพราะเราเป็นคนตาย คนตายไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ฉันใด เราก็เป็นฉันนั้น ดังนั้น เราจึงต้องพึ่งพระเจ้าในพระเยซูเพื่อจะได้รับความหลุดพ้น
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม 2012 เวลา 10:55 น.