15.พระเจ้าช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณ (God Saves Man by Grace)
บทเรียนพระคัมภีร์
พระเจ้าช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณ
(God Saves Man by Grace)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
เพราะมนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยตนเองให้หลุดพ้น (จากบาป จาก กิเลส ราคะ ตัณหา) ได้ด้วยตนเอง แม้ว่าเขาจะพยามทำตาม ตะเกียกตะกายขนาดไหน ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้ เพราะเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ภายใต้การถูกแช่งสาป อยู่ภายใต้กฎแห่งความตาย ดังนั้นพระองค์จึงได้มาช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณ ในบทเรียนนี้เราจะเรียนต่อไปว่า พระเจ้าช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อ
คำว่า ความเชื่อ แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Faith และคำในภาษาอังกฤษแปลมาจากคำในภาษากรีกอีกทีหนึ่งว่า “pisteos” มีความหมายว่า “ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง (ฮบ 11:1)
ความเชื่อเป็นของประทานเช่นเดียวกับพระคุณ หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่า พระคุณเป็นของพระเจ้า ส่วนความเชื่อนั้นเป็นของเรา ซึ่งไม่เป็นความจริง ความเชื่อนั้นไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของประทานของพระเจ้า พระองค์ประทานให้กับเรา เหมือนกับพระคุณ ไม่มีสักสิ่งหนึ่งเลยที่เป็นของเรา มีแต่เป็นของพระเจ้า ที่พระองค์ประทานให้โดยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขาของพระองค์
ความเชื่อเป็นของประทานของพระเจ้าไม่ใช่ของเราเอง
เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความหลุดพ้นด้วยพระคุณเพราะความเชื่อ ความหลุดพ้นนี้มิใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของจากพระเจ้า” (อฟ 2:8)
“ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์”(รม 10:17) ในภาษาไทย คำว่า “การได้ยิน” ไม่ค่อยจะสื่อความหมายมากนัก เพราะการได้ยินที่ไม่เข้าใจก็เรียกว่าได้ยินเช่นกัน แต่ในที่นี้ หมายถึงการได้ยินที่เข้าใจ และการได้ยินนั้น คือได้ยิน “พระคำของพระเจ้า” ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า การได้ยินเพราะการประกาศพระคริสต์นั้น พระคัมภีร์ภาษากรีกบอกว่า ได้ยินพระคำของพระเจ้า ดังนั้น พระคำของพระเจ้าจึงเป็นแหล่งกำเนิดของความเชื่อ ความเชื่อจึงเป็นของประทานของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระคุณ
ในหนังสือกิจการเปโตรได้สั่งสอนพระคำของพระเจ้าที่เฉลียงซาซโลมอน ท่านได้บอกว่า“โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย” (กจ 3:16)
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายไปถึง ทิโมธี ท่านได้บอกกับทิโมธีว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความหลุดพ้นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทธ 3:15)
“และพระคุณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น มีมากเหลือล้นสำหรับข้าพเจ้า พร้อมด้วยความเชื่อ และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์” (1 ทธ 1:14)
สวนผู้เขียนหนังสือฮีบรู เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าชาวฮีบรู ท่านบอกคนเหล่านั้นว่าให้พวกเขา “หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า” (ฮบ 12:2) พระเยซูคริสต์เป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และเป็นผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ ดังนั้นความเชื่อที่เรามีจึงมาจากพระองค์
คำกำจัดความของความเชื่อ
คำกำจัดความของความเชื่ออยู่ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11:1 ซึ่งกล่าวว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” พระคำของพระเจ้าข้อนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เมื่อเรามีความเชื่อและความหวังแล้ว เราจะได้รับเงินตอบแทนหนึ่งล้านบาทใช่ไหม ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน
คำตอบของฮีบรู 11:1 นี้คือ พระเยซูคริสต์เป็นเป้าหมายหรือเป็นจุดประสงค์ของความเชื่อ ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงเป็นสิ่งที่เราหวังนั้น ไม่ใช่เงินทองแต่อย่างใด และพระเยซูสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ แต่เรามีความหวัง มีความเชื่ออยู่ว่า วันหนึ่งพระองค์จะมารับเราไปอยู่กับพระองค์
เมื่อเปโตรเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้า ที่กระจัดกระจายอยู่ ท่านก็บอกเขาเหล่านั้นว่า “ซีโมนเปรโตร ผู้รับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์ เรียนท่านทั้งหลายที่ได้ความเชื่อเท่าเทียมกับเรา ด้วยการชำระให้คนเป็นคนบุญ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความชอบธรรม”) ของพระเจ้าของเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์เจ้าพระผู้ช่วยให้หลุดพ้นของเรา” (2 ปต 1:1)
“สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ใดทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่โดยการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโดย ซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 ปต 1:3-4)
และเมื่อยอห์น เขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้า ท่านก็บอกเขาเหล่านั้นว่า “และเราทั้งหลายรู้ว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานสติปัญญาให้เรา เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้าแท้ และเราอยู่ในพระเจ้าแท้นั้น โดยอยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (1 ยน 5:20)
พระธรรมเป็นของประทานจากพระเจ้า
นอกจากความเชื่อแล้ว พระธรรมก็ยังเป็นของประทานจากพระเจ้าด้วย ดังเปาโลบอกกับชุมชนของพระเจ้าชาวเมืองโครินธ์ว่า ถ้าพระธรรม (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวิญญาณ”) ไม่ทรงนำ ไม่มีใครที่จะสามารถพูดได้ว่า พระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครที่เชื่อพระเยซูคริสต์ได้โดยปราศจากการช่วยเหลือของพระธรรมของพระเจ้า ผู้ที่จะเชื่อพระเยซูได้นั้น พระธรรมจะต้องเป็นผู้นำให้เขาเชื่อ “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบอกท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ไม่มีผู้ใดซึ่งพูดโดยพระธรรม ของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีผู้ใดอาจพูดว่า “พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่พูดโดยพระธรรม” (1 คร 12:3)
พระธรรมเป็นผู้ลงโทษโลกนี้ โดยการเปิดเผยความบาปของโลกนี้ออกมา และพระองค์จะลงโทษบาปของมนุษย์ตามจิตสำนึกในใจของเขา การกระทำของพระองค์เช่นนี้ ทำให้มีการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง และทำให้มนุษย์เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า
ถ้าพระธรรมของพระเจ้าไม่ช่วยเหลือ ไม่มีทางที่คนเราจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ได้ ดังที่ยอห์นกล่าวไว้ว่า “เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความถูกต้อง และการพิพากษา ในเรื่องความผิดนั้น คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา ในเรื่องความถูกต้องนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว” (ยน 16:8-11)
“เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่าความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระธรรมจะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระธรรม จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้และยุคหน้า” (มธ 12:31-32 ;มก 3:28-29)
ทำไมความผิดบาปที่ต่อต้านหรือกล่าวร้ายพระธรรมจึงไม่ได้รับการอภัยบาป เพราะว่า พระธรรมเป็นผู้นำให้เราให้มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความบาปของเราจึงได้รับการอภัย แต่ถ้าเรากล่าวร้ายหรือต่อต้านพระธรรม พระองค์จะทรงพระพิโรธ และไม่นำเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ได้ ฉะนั้นเราจะต้องถูกบาปแช่งตลอดไปชั่วนิรันดร์
“พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และทรงประทานพระธรรมแก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่เรา พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ” (กจ 15:8-9)
“ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระธรรม เพราะว่าพระธรรมทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเอง ฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระธรรมของพระเจ้าฉันนั้น เราทั้งหลายไม่ได้รับธรรมะของโลก แต่ได้รับพระธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา” (1 คร 2:9-12)
“และความหวังมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ของพระเจ้า ได้หลั่งเข้าสู่สิตใจของเรา โดยทางพระธรรม ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว” (รม 5:5)
“ครั้นอปอลโลจะใคร่ข้ามไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็ส่งเสริมให้กำลังใจ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “หนุนใจ”) เขาและได้เขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้เขารับรองท่านไว้ ครั้นท่านไปถึงแล้ว ท่านได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ได้เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้ามากมาย” (กจ 18:27) ตามความหมายของข้อนี้ เขาทั้งหลายเชื่อโดยพระคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นของประทานของพระเจ้า
“หรือว่าท่านประมาทกระกรุณาคุณอันอุดม และความอดกลั้นพระทัยและความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่” (รม 2:4)
“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนบุญเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติภาพในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า” (รม 5:1-2)
“แต่ว่าจงลุกขึ้นเถิด ด้วยว่าเราได้ปรากฏแก่เจ้า เพื่อจะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงเหตุการณ์ซึ่งเจ้าเห็น และถึงเหตุการณ์ที่เราจะสำแดงตัวเราและแก่เจ้าในเวลาภายหน้า เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาตินี้ และจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปหานั้น เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขา และให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นคนบุญแล้ว โดยความเชื่อในเรา” (กจ 26:16-18)
“ท่านทั้งหลายคิดดูซิว่าคนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และดูหมิ่นพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้า และขัดขืนพระธรรม (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “พระวิญญาณ”) ผู้ทรงพระคุณนั้น ควรจะถูกลงโทษมากยิ่งกว่าคนเหล่านั้นสักเท่าใด” (ฮบ 10:29) พระธรรมคือ ธรรมะแห่งพระคุณของพระเจ้า
กล่าวโดยสรุปคือ เราทั้งหลายหลุดพ้นโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ การหลุดพ้นนั้นเป็นการกระทำของพระเจ้า มนุษย์ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากรับเอาโดยความเชื่อเท่านั้น จากนั้นพระเจ้าก็จะประทานพระธรรมของพระองค์เข้ามาในใจเพื่อจะชำระเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)