gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.
  • 1.jpg
  • 8.jpg
  • 8c93171994eedd86cee381b2fcc378be.jpg
  • 15.jpg
  • download.png
  • images.2.png
  • no-fat-1.png
  • no-fat-2.png
  • s__5963780.jpg

16.พระเจ้าช่วยให้มุษย์หลุดพ้นโดยความเชื่อ (God Saves Man by Grace through Faith)

บทเรียนพระคัมภีร์

พระเจ้าช่วยให้มุษย์หลุดพ้นโดยความเชื่อ

(God Saves Man by Grace through Faith)

เขียนโดยบรรพต เวชกามา


ถ้าเราคิดเป็น และให้ความเป็นธรรมกับพระเจ้า (หรือธรรมชาติ) เราจะเห็นความจริงว่า มนุษย์ไม่ได้ทำอะไรเลย เกิดมาก็ไม่ได้เกิดด้วยตนเอง มีผู้ทำให้เราเกิด (คือบิดามารดา) ข้าวปลาอาหาร อากาศหายใจ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อชีวิตจะได้อยู่รอด เราก็ไม่ได้สร้างมา มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือ พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างไว้แล้ว เพื่อเรา เพื่อจะให้เราได้มีชีวิตอยู่ เพื่อเราจะได้ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า สิ่งทรงสร้างเหล่านี้ เรียกวา “พระคุณโดยทั่วไป” ใครๆ ก็ได้รับ เช่น แดดออก ฝนตก อากาศหายใจ ใครๆ ก็ได้รับ

สิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์ทำได้

แต่มีพระคุณของพระเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือ

-การชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification)

-การชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) และ

-การที่จะได้เข้าสู่ศักดิ์ศรี คือได้รับร่างกายใหม่เป็นชีวิตเข้าสู่นิพพานในความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification)

พระคุณของพระเจ้าที่เป็นความหลุดพ้นทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ มนุษย์ไม่มีหน้าที่และไม่มีสิทธิที่จะทำได้เลย มีแต่ยอมรับเอาในสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อเขาแล้วเท่านั้นเอง

แต่มนุษย์ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อว่าการกระทำของพระองค์ดังกล่าวจะเพียงพอ จึงได้ตะเกียกตะกายสร้างความหลุดพ้นของตนเองขึ้นมา ซึ่งพระเจ้าก็ไม่ได้บังคับให้เขายอมรับเอาพระคุณนั้น เขาจะรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเอง เพราะพระองค์ไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาเป็นตุ๊กตาไขลาน

แต่พระองค์สร้างให้เขามีอิสรเสรีที่จะเลือกเอง เขาจะรับเอา หรือไม่รับเอา ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเอง ดังที่พระคำของพระองค์กล่าวไว้ดังต่อไปนี้

นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว 3:20)

การตอบสนองความเชื่อในพระองค์จึงเป็นหน้าที่ของเรา

การตอบสนองความเชื่อในพระองค์จึงเป็นหน้าที่ของเรา พระองค์เคาะประตูใจของเราอยู่แล้ว ถ้าเราเปิดออกพระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจของเราได้

ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับมนุษย์กำลังจะตายเพราะกระหายน้ำ แต่มีน้ำมาให้เขาดื่ม ถ้าเขายอมดื่ม เขาก็ไม่ตาย ได้ชีวิต แต่ถ้าเขาไม่ดื่ม เขาก็ตาย

เช่นเดียวกัน พระเยซูได้ยื่นมือออกมาเพื่อช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความตายแล้ว ถ้าเขายื่นมือออกไปจับพระองค์ เขาก็จะได้รับความหลุดพ้น การยืนมือออกไป นั้นเป็นหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์ที่จะต้องทำ อย่าลืมว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างให้เขาเป็นตุ๊กตาไขลาน

ประชาชนถามพระเยซูว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยน 6:28-29)

ตามความหมายของข้อนี้ งานของพระเจ้าไม่ใช่การสร้างชุมชนของพระองค์ การถวายทรัพย์สิ้นเงินทอง การทำดีต่อสังคม หรือการศึกษาพระคัมภีร์ การสอนพระคำของพระเจ้า หรือการเป็นพยานให้กับบารมีของพระเจ้า

แต่งานของพระเจ้าคือการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ หรือการวางใจในพระเยซูคริสต์ การทำดีอื่นเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตการเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์ การทำดีเหล่านั้นไม่ใช่งานของพระเจ้า งานของพระเจ้าคือ การเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า

งานที่เราจะต้องทำซึ่งมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ การเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย มีเพียงประการเดียวเท่านั้น

ศาสนาทุกศาสนาในโลก แม้แต่ศาสนาคริสต์ไม่ว่าจะเป็นนิกายโปรเตสแตนท์ หรือนิกายโรมัน คาทอลิก ก็ยังสอนว่าจะต้องทำดีอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อจะได้รับความหลุดพ้น เขาเชื่อในการทำดี หรือการทำบุญของมนุษย์ เพื่อจะได้รับความหลุดพ้น

แต่พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเช่นนั้น พระคัมภีร์สอนว่า งานของเราคือให้เราเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่มีบุญบารมีใดๆของมนุษย์ที่จะมีพลังอำนาจพอที่จะทำให้เขาหลุดพ้นได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ เขาจะหลุดพ้นได้โดยพระคุณของพระเจ้าเพราะความเชื่อเท่านั้น

อาจารย์เปาโลเน้นอย่างหนักแน่นว่า เราทั้งหลายจะหลุดพ้นได้โดยพระคุณเพราะความเชื่อ โดยปราศจากการประพฤติหรือการกระทำใดๆของเรา

ส่วนอาจารย์ยากอบเน้นว่า ความเชื่อที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความหลุดพ้น ข้อแตกต่างระหว่างเปาโลและยากอบนั้น เพียงแต่มองความเชื่อคนละมุม

เปาโลเน้นว่าความเชื่อเป็นเงื่อนไขของความหลุดพ้น การประพฤติไม่ใช่เงื่อนไขของความหลุดพ้น

แต่ยากอบเน้นว่า การประพฤติเป็นผลของความเชื่อที่แท้จริง ดังนั้นยากอบจึงสอนว่า ถ้าไม่มีการกระทำตาม ความเชื่อนั้นก็ไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง เพราะความเชื่อที่แท้จริงมีพลัง ผลักดันให้ทำตามที่เชื่อนั้น จะบอกว่ามีความเชื่อ แล้วไม่ทำอะไรไม่ได้

ใครก็ตามที่อ้างว่าเชื่อพระเจ้า แล้วไม่ทำความดีอะไรเลย ปล่อยตัวสำมะเลเทเมา ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก แสดงว่าคนนั้นไม่มีความเชื่อที่แท้ในพระเจ้าเลย

ถ้าเป็นความเชื่อที่แท้จริง ย่อมจะมีผลที่ดีเกิดขึ้นและตามออกมา แต่ถ้าไม่มีผลอันใดออกมา ก็แสดงว่าไม่มีความเชื่ออยู่แล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้า มีความเชื่อที่แท้จริง ย่อมจะทำการดีอยู่แล้ว เพราะการดีเป็นผลสืบมาจากความเชื่อในพระเจ้า

พวกเราเองไม่สามารถบอกได้ว่าใครมีความเชื่อ และไม่มีความเชื่อ แต่เราสามารถรู้ได้ว่าคนคนนั้นมีความเชื่อหรือไม่จากผลการกระทำในความเชื่อ ไม่ใช่เงื่อนไขของความหลุดพ้น ทั้งเปาโลและยากอบต่างกล่าวว่า การประพฤติไม่ใช่รากฐานของความหลุดพ้น แต่เป็นผลของความเชื่อ

การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ หมายความว่าเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระองค์อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มอบความไว้วางใจกับพระองค์ และทำตามคำบัญชาของพระองค์ 100 % ไม่ใช่ 99 %

มีนักไต่เชือกคนหนึ่งซึ่งต้องการข้ามน้ำตกแห่งหนึ่ง ด้วยรถเข็ญล้อเดียว ฝูงชนจำนวนมากได้เฝ้าดูและชื่นชมการกระทำที่กล้าหาญของเขา ชายนักไต่เชือกคนนั้นถามผู้ที่มาเฝ้าดูทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายเชื่อว่าผมจะข้ามไปด้วยรถเข็ญคันนี้ไหม

ฝูงชนต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราเชื่อว่าคุณจะสามารถข้ามไปด้วยรถเข็ญคันนี้ได้ เพราะพวกเราเห็นแล้วว่า คุณสามารถข้ามไปมาได้แล้ว

นักไต่เชือกคนนั้นตอบว่า ถ้าคุณเชื่อผม ขอได้โปรดมาขี่รถเข็ญนี้ด้วยเถิด ไม่มีใครขึ้นมาขี่รถเข็ญคันนั้นเลย การขึ้นมาขี่รถเข็ญเพื่อจะข้ามน้ำตกไปนั้นเป็นความเชื่อ การขึ้นมาขี่รถเข็ญมีหมายความว่า วางใจ เชื่อพึ่งอาศัยอยู่ในนักไต่เชือกอย่างเต็มที่ (100 %) โดยปราศจากความสงสัย และเป็นการไม่ไว้วางใจในชายนักไต่เชือกเลย (0 %) ในกรณีที่เราเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูก็เช่นเดียวกัน

เกี่ยวกับความหลุดพ้นนี้ เมื่อเปโตรกล่าวแก่ฝูงชนนั้น ท่านบอกเขาทั้งหลายว่า ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน และซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน จึงได้หายโรคเป็นปกติในผู้อื่นความหลุดพ้น ไม่มีเลย ด้วยว่าอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายหลุดพ้นได้ไม่ทรงโปรดให้มีในทามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ 4:10-12)

จากคำกล่าวของเปโตรนั้น เราจะเห็นว่า มนุษย์หลุดพ้นได้โดยพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น เพราะไม่มีนามอื่นที่ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นบาปได้เลย เมื่อท่านกล่าวกับโครเนลิอัส ท่านก็บอกว่า คนทรงของพระเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกๆคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของเรา เพราะพระนามของพระองค์” (กจ 10:43)

เมื่อเปาโลถูกจำจองอยู่ในคุกเมืองฟิลิปปี ท่านได้อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เกิดแผ่นดินไหว จนรากคุกสะเทือนสะท้าน ประตูคุกเปิดหมดทุกบาน ผู้คุมเรือนจำพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่เปาโลห้ามไว้ เขาจึงถามเปาโลว่า เขาจะต้องทำอย่างไร จึงจะ หลุดพ้น ได้ เปาโลบอกกับเขาว่า จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะหลุดพ้น ได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กจ 16:31)

พระเยซูยืนยันว่าผู้ที่วางใจในพระองค์ได้รับความหลุดพ้น

เมื่อพระเยซูปฏิบัติพันธกิจของพระเจ้า พระองค์ก็บอกให้สาวกของพระองค์เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ การเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์นั่นแหละจะทำให้เขาหลุดพ้น

พระองค์ตรัสแต่หญิงนั้นว่า ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหลุดพ้น จงไปเป็นสุขเถิด” (ลก 7:50)

ผู้ใดเชื่อและทำพิธีมุดน้ำแล้วผู้นั้นจะหลุดพ้น แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ” (มก 16:16

เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 3:15)

เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระคำของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ประทานพระธรรมของพระเจ้าอย่างจำกัด พระบิดาทรงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิติเข้าสู่นิพพาน ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา” (ยน 3:34-36)

เราบอกความจริงแก่ท่านทังหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวาใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (ยน 5:24)

เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:40)

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 6:47)

พระเยซูตรัสกับเธอวา เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยับจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม่”’ (ยน 11:25-26)

ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” (ยน 3:18)

แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 1:12)

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา” (ยน 14:12)

เมื่อเปาโลเขียนจดหมายไปถึงชุมชนของพระเจ้าที่กรุงโรม ท่านบอกเขาทั้งหลายว่า เพราะว่าเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนบุญได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ” (รม 3:28) พระคัมภีร์ข้อนี้สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ดังนี้ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายสรุปได้ว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญได้ก็โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติที่เป็นหลักจริยะธรรมของพระเจ้าด้วย

ส่วนในบทที่ 5:1-2 ท่านกล่าวว่า เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนบุญเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้า ทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้ายืนอยู่ในร่มพระคุณ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า” (รม 5:1-2)

พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ว่า เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในพระเยซูแล้วซึ่งไม่ใช่ตามธรรมบัญญัติของโมเสสหรือพิธีเข้าสุหนัต เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้ายืนอยู่ในพระคุณโดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า

เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนพระเจ้าที่แคว้นกาลาเทีย ท่านก็บอกเขาเหล่านั้นว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีใจเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เป็นคนบุญโดยเชื่อพึ่งอาศัยในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนบุญได้เลย” (กท 2:16) และพระคัมภีร์ข้อนี้ สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ดังนี้คือ

ไม่มีผู้ใดเป็นที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญได้โดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรม แต่โดยความเชื่อในโลหิตพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีความเชื่อในโลหิตพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในโลหิตพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรม เพราะว่าโดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรมนั้นไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญได้เลย

ในบทที่ 3:11 ท่านก็บอกว่า เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญในสายตาของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า คนบุญจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

ข้อนี้ก็สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ว่า แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญในสายตาของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติของโมเสสเพื่อจะถุกชำระให้เป็นคนบุญได้เลย เพราะว่า `คนที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ'ในพระเยซู (กท 3:11)

ในข้อที่ 3:24 เปาโลก็บอกว่า เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในข้อนี้ก็สามารถแปลแบบขยายข้อวามได้ว่า “เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติของโมเสสเพื่อการชำระคนให้เป็นคนบุญจึงเป็นครูของเราซึ่งนำเรามาถึงอ้างถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในพระเยซู

“เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ” (กท 3:26)

กล่าวโดยสรุป การหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้านี้ เป็นที่เข้าใจยากเล็กน้อยสำหรับคนไทย เพราะไม่มีตัวอย่างนี้ในสังคมไทยเลย นักโทษประหารที่รับนิรโทษกรรรมจากพระเจ้าอยู่หัว ก็จะไม่ได้รับการอภัยโดยพระคุณ ที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย กว่าเขาจะได้รับการนิรโทษกรรม เขาจะต้องทำดี จะต้องเป็นนักโทษชั้นดี ชั้นเยี่ยม จึงจะได้รับนิรโทษกรรม ถ้าเขาเป็นนักโทษชั้นเลว ไม่มีทางที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเลย

แต่ตรงกันข้าม พระคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปนี้ทรงประทานให้แก่คนบาป โดยที่เขาไม่ต้องทำดีอย่างใดเลย ในทางตรงกันข้าม เขายิ่งทำความชั่วช้ามากเท่าใด เขาก็จะได้รับความหลุดพ้น ได้รับการนิรโทษกรรมจากพระองค์อยู่นั่นเอง ดังนั้น พระคุณของพระเจ้าที่ให้คนบาปหลุดพ้นนี้ จึงเกินที่เขาจะเข้าใจได้ เพราะแม้ว่าเขาเป็นคนบาป พระเจ้าก็ยังช่วยเขาให้พ้นบาปนั้น

เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)

 


 

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?