16.พระเจ้าช่วยให้มุษย์หลุดพ้นโดยความเชื่อ (God Saves Man by Grace through Faith)
บทเรียนพระคัมภีร์
พระเจ้าช่วยให้มุษย์หลุดพ้นโดยความเชื่อ
(God Saves Man by Grace through Faith)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา
ถ้าเราคิดเป็น และให้ความเป็นธรรมกับพระเจ้า (หรือธรรมชาติ) เราจะเห็นความจริงว่า มนุษย์ไม่ได้ทำอะไรเลย เกิดมาก็ไม่ได้เกิดด้วยตนเอง มีผู้ทำให้เราเกิด (คือบิดามารดา) ข้าวปลาอาหาร อากาศหายใจ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อชีวิตจะได้อยู่รอด เราก็ไม่ได้สร้างมา มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือ พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างไว้แล้ว เพื่อเรา เพื่อจะให้เราได้มีชีวิตอยู่ เพื่อเราจะได้ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า สิ่งทรงสร้างเหล่านี้ เรียกวา “พระคุณโดยทั่วไป” ใครๆ ก็ได้รับ เช่น แดดออก ฝนตก อากาศหายใจ ใครๆ ก็ได้รับ
สิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์ทำได้
แต่มีพระคุณของพระเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือ
-การชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification)
-การชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) และ
-การที่จะได้เข้าสู่ศักดิ์ศรี คือได้รับร่างกายใหม่เป็นชีวิตเข้าสู่นิพพานในความหลุดพ้นขั้นที่ 3 (Glorification)
พระคุณของพระเจ้าที่เป็นความหลุดพ้นทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ มนุษย์ไม่มีหน้าที่และไม่มีสิทธิที่จะทำได้เลย มีแต่ยอมรับเอาในสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อเขาแล้วเท่านั้นเอง
แต่มนุษย์ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อว่าการกระทำของพระองค์ดังกล่าวจะเพียงพอ จึงได้ตะเกียกตะกายสร้างความหลุดพ้นของตนเองขึ้นมา ซึ่งพระเจ้าก็ไม่ได้บังคับให้เขายอมรับเอาพระคุณนั้น เขาจะรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเอง เพราะพระองค์ไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาเป็นตุ๊กตาไขลาน
แต่พระองค์สร้างให้เขามีอิสรเสรีที่จะเลือกเอง เขาจะรับเอา หรือไม่รับเอา ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเอง ดังที่พระคำของพระองค์กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว 3:20)
การตอบสนองความเชื่อในพระองค์จึงเป็นหน้าที่ของเรา
การตอบสนองความเชื่อในพระองค์จึงเป็นหน้าที่ของเรา พระองค์เคาะประตูใจของเราอยู่แล้ว ถ้าเราเปิดออกพระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจของเราได้
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับมนุษย์กำลังจะตายเพราะกระหายน้ำ แต่มีน้ำมาให้เขาดื่ม ถ้าเขายอมดื่ม เขาก็ไม่ตาย ได้ชีวิต แต่ถ้าเขาไม่ดื่ม เขาก็ตาย
เช่นเดียวกัน พระเยซูได้ยื่นมือออกมาเพื่อช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความตายแล้ว ถ้าเขายื่นมือออกไปจับพระองค์ เขาก็จะได้รับความหลุดพ้น การยืนมือออกไป นั้นเป็นหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์ที่จะต้องทำ อย่าลืมว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างให้เขาเป็นตุ๊กตาไขลาน
ประชาชนถามพระเยซูว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยน 6:28-29)
ตามความหมายของข้อนี้ งานของพระเจ้าไม่ใช่การสร้างชุมชนของพระองค์ การถวายทรัพย์สิ้นเงินทอง การทำดีต่อสังคม หรือการศึกษาพระคัมภีร์ การสอนพระคำของพระเจ้า หรือการเป็นพยานให้กับบารมีของพระเจ้า
แต่งานของพระเจ้าคือการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ หรือการวางใจในพระเยซูคริสต์ การทำดีอื่นเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตการเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์ การทำดีเหล่านั้นไม่ใช่งานของพระเจ้า งานของพระเจ้าคือ การเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า
งานที่เราจะต้องทำซึ่งมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ การเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย มีเพียงประการเดียวเท่านั้น
ศาสนาทุกศาสนาในโลก แม้แต่ศาสนาคริสต์ไม่ว่าจะเป็นนิกายโปรเตสแตนท์ หรือนิกายโรมัน คาทอลิก ก็ยังสอนว่าจะต้องทำดีอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อจะได้รับความหลุดพ้น เขาเชื่อในการทำดี หรือการทำบุญของมนุษย์ เพื่อจะได้รับความหลุดพ้น
แต่พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเช่นนั้น พระคัมภีร์สอนว่า งานของเราคือให้เราเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่มีบุญบารมีใดๆของมนุษย์ที่จะมีพลังอำนาจพอที่จะทำให้เขาหลุดพ้นได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ เขาจะหลุดพ้นได้โดยพระคุณของพระเจ้าเพราะความเชื่อเท่านั้น
อาจารย์เปาโลเน้นอย่างหนักแน่นว่า เราทั้งหลายจะหลุดพ้นได้โดยพระคุณเพราะความเชื่อ โดยปราศจากการประพฤติหรือการกระทำใดๆของเรา
ส่วนอาจารย์ยากอบเน้นว่า ความเชื่อที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความหลุดพ้น ข้อแตกต่างระหว่างเปาโลและยากอบนั้น เพียงแต่มองความเชื่อคนละมุม
เปาโลเน้นว่าความเชื่อเป็นเงื่อนไขของความหลุดพ้น การประพฤติไม่ใช่เงื่อนไขของความหลุดพ้น
แต่ยากอบเน้นว่า การประพฤติเป็นผลของความเชื่อที่แท้จริง ดังนั้นยากอบจึงสอนว่า ถ้าไม่มีการกระทำตาม ความเชื่อนั้นก็ไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง เพราะความเชื่อที่แท้จริงมีพลัง ผลักดันให้ทำตามที่เชื่อนั้น จะบอกว่ามีความเชื่อ แล้วไม่ทำอะไรไม่ได้
ใครก็ตามที่อ้างว่าเชื่อพระเจ้า แล้วไม่ทำความดีอะไรเลย ปล่อยตัวสำมะเลเทเมา ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก แสดงว่าคนนั้นไม่มีความเชื่อที่แท้ในพระเจ้าเลย
ถ้าเป็นความเชื่อที่แท้จริง ย่อมจะมีผลที่ดีเกิดขึ้นและตามออกมา แต่ถ้าไม่มีผลอันใดออกมา ก็แสดงว่าไม่มีความเชื่ออยู่แล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้า มีความเชื่อที่แท้จริง ย่อมจะทำการดีอยู่แล้ว เพราะการดีเป็นผลสืบมาจากความเชื่อในพระเจ้า
พวกเราเองไม่สามารถบอกได้ว่าใครมีความเชื่อ และไม่มีความเชื่อ แต่เราสามารถรู้ได้ว่าคนคนนั้นมีความเชื่อหรือไม่จากผลการกระทำในความเชื่อ ไม่ใช่เงื่อนไขของความหลุดพ้น ทั้งเปาโลและยากอบต่างกล่าวว่า การประพฤติไม่ใช่รากฐานของความหลุดพ้น แต่เป็นผลของความเชื่อ
การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ หมายความว่าเชื่อพึ่งอาศัยวางใจในพระองค์อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มอบความไว้วางใจกับพระองค์ และทำตามคำบัญชาของพระองค์ 100 % ไม่ใช่ 99 %
มีนักไต่เชือกคนหนึ่งซึ่งต้องการข้ามน้ำตกแห่งหนึ่ง ด้วยรถเข็ญล้อเดียว ฝูงชนจำนวนมากได้เฝ้าดูและชื่นชมการกระทำที่กล้าหาญของเขา ชายนักไต่เชือกคนนั้นถามผู้ที่มาเฝ้าดูทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายเชื่อว่าผมจะข้ามไปด้วยรถเข็ญคันนี้ไหม”
ฝูงชนต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราเชื่อว่าคุณจะสามารถข้ามไปด้วยรถเข็ญคันนี้ได้ เพราะพวกเราเห็นแล้วว่า คุณสามารถข้ามไปมาได้แล้ว”
นักไต่เชือกคนนั้นตอบว่า “ถ้าคุณเชื่อผม ขอได้โปรดมาขี่รถเข็ญนี้ด้วยเถิด” ไม่มีใครขึ้นมาขี่รถเข็ญคันนั้นเลย การขึ้นมาขี่รถเข็ญเพื่อจะข้ามน้ำตกไปนั้นเป็นความเชื่อ การขึ้นมาขี่รถเข็ญมีหมายความว่า วางใจ เชื่อพึ่งอาศัยอยู่ในนักไต่เชือกอย่างเต็มที่ (100 %) โดยปราศจากความสงสัย และเป็นการไม่ไว้วางใจในชายนักไต่เชือกเลย (0 %) ในกรณีที่เราเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูก็เช่นเดียวกัน
เกี่ยวกับความหลุดพ้นนี้ เมื่อเปโตรกล่าวแก่ฝูงชนนั้น ท่านบอกเขาทั้งหลายว่า “ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน และซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน จึงได้หายโรคเป็นปกติ…ในผู้อื่นความหลุดพ้น ไม่มีเลย ด้วยว่าอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายหลุดพ้นได้ไม่ทรงโปรดให้มีในทามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ 4:10-12)
จากคำกล่าวของเปโตรนั้น เราจะเห็นว่า มนุษย์หลุดพ้นได้โดยพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น เพราะไม่มีนามอื่นที่ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นบาปได้เลย เมื่อท่านกล่าวกับโครเนลิอัส ท่านก็บอกว่า “คนทรงของพระเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกๆคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของเรา เพราะพระนามของพระองค์” (กจ 10:43)
เมื่อเปาโลถูกจำจองอยู่ในคุกเมืองฟิลิปปี ท่านได้อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เกิดแผ่นดินไหว จนรากคุกสะเทือนสะท้าน ประตูคุกเปิดหมดทุกบาน ผู้คุมเรือนจำพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่เปาโลห้ามไว้ เขาจึงถามเปาโลว่า เขาจะต้องทำอย่างไร จึงจะ “หลุดพ้น” ได้ เปาโลบอกกับเขาว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะหลุดพ้น ได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กจ 16:31)
พระเยซูยืนยันว่าผู้ที่วางใจในพระองค์ได้รับความหลุดพ้น
เมื่อพระเยซูปฏิบัติพันธกิจของพระเจ้า พระองค์ก็บอกให้สาวกของพระองค์เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ การเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์นั่นแหละจะทำให้เขาหลุดพ้น
“พระองค์ตรัสแต่หญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหลุดพ้น จงไปเป็นสุขเถิด” (ลก 7:50)
“ผู้ใดเชื่อและทำพิธีมุดน้ำแล้วผู้นั้นจะหลุดพ้น แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ” (มก 16:16
“เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 3:15)
“เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระคำของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ประทานพระธรรมของพระเจ้าอย่างจำกัด พระบิดาทรงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิติเข้าสู่นิพพาน ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา” (ยน 3:34-36)
“เราบอกความจริงแก่ท่านทังหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวาใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (ยน 5:24)
“เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:40)
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 6:47)
“พระเยซูตรัสกับเธอวา ‘เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยับจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม่”’ (ยน 11:25-26)
“ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” (ยน 3:18)
“แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 1:12)
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา” (ยน 14:12)
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายไปถึงชุมชนของพระเจ้าที่กรุงโรม ท่านบอกเขาทั้งหลายว่า “เพราะว่าเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนบุญได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ” (รม 3:28) พระคัมภีร์ข้อนี้สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ดังนี้ “เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายสรุปได้ว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญได้ก็โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติที่เป็นหลักจริยะธรรมของพระเจ้าด้วย”
ส่วนในบทที่ 5:1-2 ท่านกล่าวว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนบุญเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้า ทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้ายืนอยู่ในร่มพระคุณ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า” (รม 5:1-2)
พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในพระเยซูแล้วซึ่งไม่ใช่ตามธรรมบัญญัติของโมเสสหรือพิธีเข้าสุหนัต เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้ายืนอยู่ในพระคุณโดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า
เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนพระเจ้าที่แคว้นกาลาเทีย ท่านก็บอกเขาเหล่านั้นว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีใจเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เป็นคนบุญโดยเชื่อพึ่งอาศัยในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนบุญได้เลย” (กท 2:16) และพระคัมภีร์ข้อนี้ สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ดังนี้คือ
“ไม่มีผู้ใดเป็นที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญได้โดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรม แต่โดยความเชื่อในโลหิตพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีความเชื่อในโลหิตพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในโลหิตพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรม เพราะว่าโดยการกระทำตามธรรมบัญญัติที่เป็นพิธีกรรมนั้น ‘ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญได้เลย’
ในบทที่ 3:11 ท่านก็บอกว่า “เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญในสายตาของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า คนบุญจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”
ข้อนี้ก็สามารถแปลแบบขยายข้อความได้ว่า “แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญในสายตาของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติของโมเสสเพื่อจะถุกชำระให้เป็นคนบุญได้เลย เพราะว่า `คนที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ'ในพระเยซู (กท 3:11)
ในข้อที่ 3:24 เปาโลก็บอกว่า “เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญโดยความเชื่อ” ในข้อนี้ก็สามารถแปลแบบขยายข้อวามได้ว่า “เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติของโมเสสเพื่อการชำระคนให้เป็นคนบุญจึงเป็นครูของเราซึ่งนำเรามาถึงอ้างถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในพระเยซู”
“เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ” (กท 3:26)
กล่าวโดยสรุป การหลุดพ้นโดยพระคุณของพระเจ้านี้ เป็นที่เข้าใจยากเล็กน้อยสำหรับคนไทย เพราะไม่มีตัวอย่างนี้ในสังคมไทยเลย นักโทษประหารที่รับนิรโทษกรรรมจากพระเจ้าอยู่หัว ก็จะไม่ได้รับการอภัยโดยพระคุณ ที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย กว่าเขาจะได้รับการนิรโทษกรรม เขาจะต้องทำดี จะต้องเป็นนักโทษชั้นดี ชั้นเยี่ยม จึงจะได้รับนิรโทษกรรม ถ้าเขาเป็นนักโทษชั้นเลว ไม่มีทางที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเลย
แต่ตรงกันข้าม พระคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปนี้ทรงประทานให้แก่คนบาป โดยที่เขาไม่ต้องทำดีอย่างใดเลย ในทางตรงกันข้าม เขายิ่งทำความชั่วช้ามากเท่าใด เขาก็จะได้รับความหลุดพ้น ได้รับการนิรโทษกรรมจากพระองค์อยู่นั่นเอง ดังนั้น พระคุณของพระเจ้าที่ให้คนบาปหลุดพ้นนี้ จึงเกินที่เขาจะเข้าใจได้ เพราะแม้ว่าเขาเป็นคนบาป พระเจ้าก็ยังช่วยเขาให้พ้นบาปนั้น
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)