19.หลุดพ้นโดยความเชื่อ…หรือการประพฤติ?
บทเรียนพระคัมภีร์
ความหลุดพ้น
ในคำสอนของเปาโลและยากอบ
(หลุดพ้นโดยความเชื่อ…หรือการประพฤติ?)
Salvation according to Paul & James
Saved by Faith or by work
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา
หลุดพ้นโดยความเชื่อ หรือโดยการประพฤติ?
เรื่องความหลุดพ้นโดยพระคุณพระเจ้านี้ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อพระเจ้าชาวไทย ไม่ค่อยเข้าใจ หลายคนเชื่อและคิดว่า “หลุดพ้นโดยพระคุณ” แต่จะต้องประพฤติตามด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่หลุดพ้น เขามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า “ความเชื่อถ้าไม่ประพฤติตาม ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว” ดังนั้น เขาจึงพยายามที่จะทำดี ประพฤติดี เพื่อจะหลุดพ้น เพื่อจะช่วยพระเจ้า
คนที่คิด พูด และกระทำเช่นนี้ แสดงว่า เขาไม่เข้าใจ “ความหลุดพ้น 3 ขั้นตอน (Three Steps of Salvation) และไม่เข้าใจหลักคำสอนว่าด้วย “ความหลุดพ้น” ของเปาโลและยากอบ มักจะคิดว่า ทั้งสองท่านสอนขัดแย้งกัน เปาโลสอนว่า “หลุดพ้นโดยพระคุณ” (Saved by Grace) ส่วนยากอบสอนว่า หลุดพ้นโดยการประพฤติ (Saved by Work)
ความเข้าใจผิดของชุมชนของพระเจ้าเรื่องความหลุดพ้น
การไม่เข้าใจในหลักคำสอนว่าด้วยความหลุดพ้นนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้เชื่อพระเจ้าชาวไทยสมัยนี้เท่านั้น ในสมัยก่อนนั้น ชุมชนของพระเจ้า (The Churches of God) อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายคาทอลิกเท่านั้น และมีคำสอนสอนว่า ความหลุดพ้นได้มาโดยความเชื่อ แต่จะต้องประพฤติตามด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่หลุดพ้น
ชุมชนของพระเจ้า ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งคำสอนนี้เป็นเวลานานหลายศตวรรษ จนกระทั่งเกิดการปฏิรูปชุมชนของพระเจ้าขึ้น โดย มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ได้แยกตัวออกมาจากนิกายคาทอลิก มาเป็นนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งมีความเชื่อตามพระคัมภีร์ว่า ความหลุดพ้นนั้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนการประพฤตินั้นเป็นผลที่ได้จากการหลุดพ้นเพราะมีความเชื่อแล้ว กล่าวคือ เมื่อได้รับความหลุดพ้นโดยความเชื่อแล้ว ก็มีการตอบสนองความเชื่อนั้น โดยการประพฤติ ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระคำของพระเจ้า การประพฤตินี้ไม่ใช่เพื่ออยากจะได้ความหลุดพ้น แต่เพราะว่าได้รับการชำระให้เป็นคนบุญแล้ว หลุดพ้นแล้วในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification)
สาเหตุที่ถามว่า หลุดพ้นโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียวพอไหม?
คำถามที่ว่า ความหลุดพ้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือได้มาโดยความเชื่อบวกการประพฤตินั้น เกิดขึ้นเพราะไม่เข้าใจคำสอนของเปาโลที่กล่าวไว้ว่า “เพราะเราเห็นว่าคนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “คนชอบธรรม”) ได้ก็โดยอาศัยความเชื่อ นอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติของโมเสส” (รม 3:28)
และพระคัมภีร์ข้อนี้ เราสามารถแปลแบบขยายความว่า “เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายสรุปได้ว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 ได้ก็โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซู นอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติอันเป็นหลักจริยธรรมของพระเจ้า
และ เปาโลยังกล่าวอีกว่า “เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 โดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับปี 1971 แปลว่า “สันติสุขในพระเจ้า” พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานปี 2011 แปลว่า “อยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”) ทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (รม 5:1)
พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็สามารถแปลแบบขยายความว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนที่ถูกพระเจ้าชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 โดยความเชื่อในพระเยซูแล้ว ซึ่งไม่ใช่ตามธรรมบัญญัติของโมเสสหรือพิธีเข้าสุหนัต เราจึงมีสันติภาพกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (รม 5:1)
ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจคำสอนของเปาโลตามที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะไม่ถามว่าหลุดพ้นเพราะพระคุณ โดยความเชื่อเพียงอย่างเดียวหรือ เพราะเปาโลบอกไว้อย่างชัดเจนว่า เรา “ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 เพราะพระคุณ โดยความเชือ” เปาโลไม่ได้บอกว่า หลุดพ้นเพราะพระคุณ โดยความเชื่อ และการประพฤติตามธรรมบัญญัติของโมเสส (หรือของพระสมณโคดมด้วย)
สาเหตุที่คนเหล่านั้นสับสน ก็เพราะไม่เข้าใจคำสอนของยากอบที่ว่า “ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1ได้ ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” (ยก 2:24)
ถ้าเราอ่านเพียงผิวเผิน ดูเหมือนว่า ขัดแย้งกันจริงๆ เพราะเปาโลสอนว่า “ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เพราะพระคุณ โดยความเชื่อ” แต่ยากอบสอนว่า “ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เพราะพระคุณ โดยการประพฤติ” ไม่ใช่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว
ความจริงแล้ว เปาโลและยากอบไม่ได้สอนขัดแย้งกัน เหตุที่เปาโลเน้นว่า ถุกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุพ้นขั้นที่ 1 เพราะพระคุณ โดยความเชื่อนั้น เพราะเปาโลกำลังเผชิญอยู่กับกลุ่มบุคคลที่เป็นพวก “ครูศาสนายวิ” ที่เน้นว่า “ทำตามธรรมบัญญํติของโมเสสที่ว่าด้วยพิธีกรรม (โดยเฉพาะการเข้าสุหนัต) เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องมีความเชื่อก็จะได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่ง” (Justification) และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง” (Sanctification) กล่าวคือ เข้าจารีตนับถือศาสนายิว โดยไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ไม่เชื่อในการถูกชำระให้เป็นคนบุญ เพียงแต่ทำพิธีกรรมทางศาสนา โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็จะได้รับความหลุดพ้น
ส่วนยากอบ สาเหตุที่สอนว่า “การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งนั้น มีความเชื่อเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องประพฤติตามด้วย” เหตุที่สอนเช่นนั้น เพราะยากอบเผชิญกับกลุ่มบุคคลทีสอนผิด ที่เน้นว่า “มีความเชื่อเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องประพฤติตาม ก็จะได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง (Justification) และได้รับการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่สอง” (Sanctification) ดังนั้นทั้งสองท่านจึงเน้นไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เราจะคิดว่า ทั้งสองท่านสอนขัดแย้งกัน
ความหลุดพ้นตามคำสอนของเปาโลและยากอบ
เปาโลเน้นว่าเราหลุดพ้นโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียวว่า “ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้รับความหลุดพ้น (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรอด” ซึ่งเป็นการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1) แล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” (อฟ 2:8-9)
ส่วนยากอบกลับเน้นว่า การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งนั้นได้มาโดยความเชื่อและการประพฤติ ดังที่ท่านกล่าวว่า “ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการประพฤติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่บางคนจะกล่าวว่า ‘ท่านมีความเชื่อ และข้าพเจ้ามีการประพฤติ’ จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านโดยไม่มีการประพฤติซิ แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้าโดยการประพฤติ” (ยก 2:17-18)
ยากอบกำลังชี้แจงให้เห็นประเด็นที่ว่า เมื่อถูกชำระให้เป็นคนบุญโดยความเชื่อในขั้นที่ 1 (Justification) แล้ว จะส่งผลให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง และประพฤติดีในการถูกชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) ในคำสอนของยากอบนั้น ท่านเชื่อว่า พระเจ้าเป็นพลัง เป็นอำนาจ เมื่อเชื่อในพระองค์แล้ว ไม่ประพฤติไม่ได้ ไม่ทำดีไม่ได้ เพราะพลัง และอำนาจแห่งความดีของพระเจ้า ได้เข้ามาอยู่ในจิตใจของเราแล้ว พระองค์จะเป็นพลัง เป็นอำนาจ ผลักดันให้กระทำความดี ทำตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า คนที่ไม่ประพฤติตาม แต่อ้างว่า มีความเชื่อ แสดงว่า คนนั้น ยังไม่ได้ต้อนรับเอาพระเจ้า(ซึ่งเป็นพลังและอำนาจ) เข้ามาอยู่ในจิตใจของตนเลย
ดังที่ท่านกล่าวว่า “คนโฉดเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่า ความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นก็ไร้ผลหรือ อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ถวายอิสอัคบุตรของท่านบนแท่นบูชา เพราะการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 โดยการประพฤติไม่ใช่หรือ ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขา และความเชื่อก็สมบูรณ์ได้โดยการประพฤตินั้น และพระคัมภีร์ก็สำเร็จตามที่กล่าวไว้ว่า ‘อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าเขาเป็นคนที่ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1’ และเขาได้ชื่อว่า เป็น ‘สหายของพระเจ้า’ พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้เป็นคนบุญได้ ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกัน ราหับหญิงโสเภณีก็ถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ เมื่อนางได้ต้อนรับพวกผู้สอดแนม และส่งเขาทั้งหลายไปโดยทางอื่น กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น” (ยก 2:20-26)
ยากอบไม่ได้กล่าวว่า การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 ได้มาโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ แต่ท่านกล่าวถึงคนที่มีความเชื่อในพระคุณของพระเจ้าได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นในขั้นที่ 1 (Justification) นั้น คนผู้นั้นจะมีการประพฤติที่ดีในชีวิตเขาเป็นผลตามมาในการถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification)
ถ้ามีคนอ้างว่าเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 แต่ไม่ได้ประพฤติดีในการถูกชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 นี้ ก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นไม่ได้มีความเชื่อและยังไม่ได้ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นในขั้นที่ 1 (Justification) เลย
ดังที่ยากอบกล่าวว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตาม จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขาหลุดพ้นได้หรือ” “ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” “โอ คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่า ความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นก็ไร้ผลหรือ” “กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น” (ยก 2:14,17,20,26)
เปาโลก็ได้กล่าวถึงสิ่งเดียวกันนี้ในหนังสือจดหมายของท่านว่า ผู้เชื่อพระเจ้าที่กำลังดำเนินอยู่ในการถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) นี้ ควรจะมีผลของพระธรรมของพระเจ้าสำแดงออกมาในชีวิต ซึ่งท่านได้กล่าวไว้
“ส่วนผลของพระธรรมนั้นคือ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ความรัก”) ความยินดี สันติภาพ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “สันติสุข”) ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” (กท 5:22-23
ทันทีที่เปาโลบอกพวกเราว่าเราถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) โดยความเชื่อ มิใช่โดยการประพฤติที่ว่า “ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้รับการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 แล้วด้วยพระคุณโดยความเชื่อ การถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ (อฟ 2:8-9)
แล้วท่านได้บอกเราอีกว่าเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประพฤติการดีในการถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) ว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (อฟ 2:10)
เปาโลคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีในการดำเนินชีวิตในการถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 (Sanctification) เช่นเดียวกับที่ยากอบคิด ดังที่ท่านกล่าวว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร 5:17) การทำดี การประพฤติ ไม่ใช่การฝืนใจ แต่เป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นการตอบสนองพระคุณพระเจ้า เป็นการยอมทำตามการทรงนำของพระธรรม ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา และเรายอมที่จะทำตามความประสงค์ของพระองค์
ยากอบและเปาโลไม่ได้มีความคิดขัดแย้งกันในการสอนเรื่องการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นนี้เลย ท่านทั้งสองพูดถึงเรื่องเดียวกันแต่ในมุมมองแตกต่างกัน
เปาโลย้ำในเรื่องการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 โดยความเชื่อเท่านั้น ในขณะที่ยากอบได้เน้นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 (Justification) โดยความเชื่อในพระคริสต์นั้น จะก่อให้เกิดการประพฤติดีในการดำเนินชีวิตในการถูกชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง (Sanctification) ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจว่า ทั้งสองท่านสอนขัดแย้งกัน แสดงว่าเราไม่เข้าใจ จะต้องศึกษา และทำความเข้าใจให้ได้ว่า ความหลุดพ้นนั้น เป็นการกระทำของพระเจ้า ไม่ใช่เรากระทำเอง เราเป็นเพียงแต่ผู้รับเอาการกระทำของพระองค์มาเป็นของเราเท่านั้นเอง
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์ปฏิบัติพันธกิจอุดรธานี)