20.ความมั่นคงของความหลุดพ้น (Eternal Security)
บทเรียนพระคัมภีร์
ความมั่นคงของความหลุดพ้น
(Eternal Security)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา
เมื่อกลับใจเชื่อในพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อในพระองค์จะได้รับการไถ่โทษบาป การชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 (Justification) การชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 (Sanctification) ซึ่งเป็นความหลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีคำถามว่า ถ้าเราทำผิดทำบาป ความหลุดพ้นนี้จะหายไปไหม จะยั่งยืนยาวนานเท่าใด
พระคัมภีร์กล่าวว่า ใครก็ตามที่เกิดใหม่ ได้รับการไถ่โทษบาปได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 แล้ว สิ่งที่ได้รับนั้นก็จะยั่งยืนยาวนานตลอดไปเป็นนิตย์ ผู้เชื่อนั้นไม่มีวันที่จะหล่นหายไปจากสิ่งที่เขาได้รับนั้นเลย แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาได้รับนั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติหรือการกระทำของเขาเอง ดังที่พระเยซูได้คำประกันกับสาวกของพระองค์ว่า:
“สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้เป็นขึ้นมาในวันที่สุด เพราะแน่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:37-40)
“ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:44)
“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเราและเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา เราให้ชีวิตเข้าสู่นิพพานแก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้” (ยน 10:27-29)
“เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่านเพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระธรรมแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ยน 14:16-17)
ตามพระคำของพระเจ้าข้อนี้ เราจะเห็นว่า พระธรรมของพระเจ้าเสด็จเข้ามาอยู่กับผู้เชื่อในพระองค์ และจะอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ ถ้าผู้เชื่อนั้นถูกทอดทิ้งให้ได้รับโทษ และถูกทิ้งลงในบึงไฟ พระธรรมของพระเจ้าก็จะได้รับโทษ และถูกทิ้งลงในบึงไฟด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ท่านได้บอกคนเหล่านั้นว่า “ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังถ้อยคำแห่งความจริง คือบารมีของพระเจ้าเรื่องความหลุดพ้นของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระธรรม แห่งพระสัญญา เป็นมัดจำของการรับมรดกของเราจนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์” (อฟ 1:13-14)
ส่วนเปโตร เมื่อท่านเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่ ท่านได้บอกคนเหล่านั้นว่า “สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังอันมีชีวิตอยู่โดยการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์ และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความหลุดพ้น” (1 ปต 1:3-5)
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายไปยังชุมชนของพระเจ้าที่กรุงโรม ท่านได้บอกคนเหล่านั้นว่า “พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายดัวยกันกับพระบุตรนั้นหรือ ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ได้ตายแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และทรงสวดอ้อนวอนขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงมีพรหมวิหารสี่ต่อเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ของพระเจ้าได้ ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเราได้” (รม 8:32-39)
“เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษา ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้” (2 ทธ 1:12)
“ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์” (ฟป 1:6)
“ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทรงพระองค์นั้นให้ได้รับความหลุดพ้น เพราะว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลของพระกรุณาให้คนเหล่านั้น” (ฮบ 7:25)
เมื่อยอห์นเขียนหนังสือวิวรณ์ ท่านได้รับนิมิตจากพระเจ้าว่า “ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะสวมสีขาวและเราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์” (วว 3:5)
“ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (1 ยน 5:13)
ข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูยืนยันว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา
“พระเยซูตรัสกับเธอว่า ‘เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก”’ (ยน 11:25)
“ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิตแต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา (ยน 3:36)
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวาใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (ยน 5:24)
“เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:40)
“เพราะว่าพระเจ้าทรงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน” (ยน 3:16)
ข้อพระคัมภีร์ที่ดูเหมือนว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจจะหล่นจากความหลุดพ้น
มีข้อพระคัมภีร์อยู่ข้อหนึ่งที่ดูเหมือนว่า เชื่อพระเจ้าแล้ว อาจจะหล่นจากความหลุดพ้น ได้นั้น ซึ่งกล่าวไว้ใน ฮีบรู 6:4-8 ความว่า “เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รู้รสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนในพระธรรม และได้ชิมความดีงามแห่งพระคำของพระเจ้า และฤทธิ์เดชแห่งยุคที่จะถึงนั่น ถ้าเขาเหล่านั้นได้ชิมแล้วหลงไป ก็เหลือวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจอีกได้ เพราะตัวเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าเสียแล้ว และทำให้พระองค์ทรงรับการดูหมิ่นเยาะเย้ย ด้วยว่าพื้นแผ่นดินแห่งใดที่ได้รับรับน้ำฝนอยู่เสมอ และเกิดมีพืชผักขึ้นให้ประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่ถ้าพื้นดินนั้นมีต้นหนามใหญ่และหนามย่อยเกิดขึ้น ก็ไร้ค่าจนเกือบจะถูกแช่งสาป แล้วในที่สุดจะถูกเผาไฟ” ความหมายของข้อนี้คือผู้เชื่อคนใดคนหนึ่งที่เป็นปัจเจก หรืออาจจะเป็นคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้าก็ได้
ผู้ที่ถูกอ้างถึงใน หนังสือฮีบรู 6:4-6 นี้ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า คนที่เป็นปัจเจกเหล่านี้คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ และกิจกรรมของศาสนา เหมือนกับพวกฟาริสี และคัมภีราจารย์ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “ธรรมาจารย์”) ที่พระเยซูอ้างถึงและเรียกเขาว่าเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล และเป็นลูกของงูพิษ
ปัจเจกบุคคลเหล่านี้เป็นเหมือนครูสอนผิด และผู้นำศาสนาที่สอนผิด ที่ทำตัวเป็นเหมือนทูตแห่งแสงสว่าง เขารู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี สามารถคัดออกมาสอนและอ้างอิงได้เป็นข้อๆ แต่เขาไม่เชื่อในพระคัมภีร์นั้น
คนเหล่านี้จะเข้ามามีส่วนในกิจกรรมของชุมชนของพระเจ้า และสังคมของผู้เชื่อในพระเจ้า เขาได้รู้รสของความดีแห่งพระคำของพระเจ้า แต่เขาไม่ได้กลืนกินพระคำเข้าไป และยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เขาได้มีส่วนในกิจกรรมแห่งพระธรรมของชุมชนของพระเจ้า โดยไปประชุมร่วมกัน ร้องเพลงร่วมกัน และคบหาสมาคมกับผู้เชื่อในพระเจ้าคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าเขาเชื่อในพระเจ้า และมีความรู้ในพระคัมภีร์จริงๆ มีหน้าที่ มีกิจกรรมในชุมชนของพระเจ้า แต่แท้จริงเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขายังไม่ได้กลับใจเกิดใหม่จากเบื้องบน
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หล่นหายไปจากความหลุดพ้น เพราะเขายังไม่ได้รับความหลุดพ้นตั้งแต่แรกนั้นเลย ในข้อที่ 7 และ 8 ของหนังสือฮีบรูนี้ บอกให้เราเห็นถึงการเก็บเกี่ยวพืชผล 2 อย่างคือ สิ่งหนึ่งเป็นสิ่งดีและสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทั้งสองอย่างนั้นก็ได้รับผลเท่าเทียมกัน
มีคำถามว่า ทำไมผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เข้ามามีบทบาทในชุมชนของพระเจ้าจึงไม่สามารถเกิดใหม่จาเบื้องบนและได้รับกาอภัยบาปได้
คำตอบก็คือเขาไม่เชื่อในพระเจ้า ถ้าเราบอกเขาว่าพระคำของพระเจ้าเป็นความจริง เขาก็จะบอกว่าเขาเห็นด้วย แต่เขาไม่เชื่อ และถ้าเราบอกเขามีหนทางเดียวที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ คือการเกิดใหม่ เขาก็จะบอกว่าเขารู้ดี ความรอบรู้ กิจกรรม ประสบการณ์ และการคุ้นเคยสนิทสนมของเขา ไม่สามารถทำให้เขาได้รับความหลุดพ้นได้ เพราะเขายังไม่ได้กลับใจใหม่ ยังไม่ได้เกิดใหม่จากเบื้องบน เขาจึงไม่สามารถรับความหลุดพ้นของพระเจ้าได้เลย
ปัจเจกบุคคลเหล่านี้เขาเปรียบเหมือนดิน 2 ชนิดที่พระเยซูกล่าวไว้ใน มัทธิว บทที่ 13 ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้ “และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระคำ แล้วรับทันทีด้วยความปรีดี แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระคำนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระคำแล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระคำนั้นเสียจึงไม่เกิดผล” (มธ 13:20-22)
คนเหล่านี้บางคนจะแสดงการอัศจรรย์หลายอย่างในนามของพระเยซู แต่พระเยซูตรัสว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระคำ ในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมาก ในพระนามของพรองค์มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะได้กล่าแก่เขาว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” (มธ 7:22-23)
ยูดาส อิสคาริโอท เป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ยูดาสไม่ได้แตกต่างไปจากสาวกคนอื่นเลย ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่อยู่กับพระองค์ เขาก็ทำเหมือนกับสาวกคนอื่นๆ ไม่มีใครรู้ว่ายูดาสจะทรยศหักหลังพระเยซู แต่พระเยซูรู้ว่ายูดาสพระเยซูไม่ได้เชื่อในพระองค์จริงๆ ยูดาสไม่ได้หล่นหายไปจากความหลุดพ้น เพราะเขายังไม่ได้รับความหลุดพ้นตั้งแต่แรก ดูเหมือนว่าเขาเป็นสาวกของพระองค์ และเชื่อในพระองค์จริงๆ แต่ไม่ใช่ เขาไม่ได้เชื่อในพระองค์ และไม่ได้เป็นสาวกของพระองค์จริงๆ ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นคนร้าย” (ยน 6:70)
ฉะนั้น มีพระคัมภีร์บางข้อ ที่ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้เชื่อในพระเจ้าแล้วอาจจะหล่นหายไปจากความหลุดพ้นของพระเจ้า ก็คือ หนังสือฮีบรู 6:4-8 แต่ก็มีข้ออื่นๆ ที่เราจะนำมากล่าวอ้างในตอนนี้ว่า ผู้เชื่อในพระเจ้านั้นไม่มีทางที่จะหล่นหายไปจากความหลุดพ้นของพระเจ้าได้เลย ข้อที่มีคำถามเพียงเล็กน้อยไม่สามารถที่จะทำให้ข้อสนับสนุนอีกมากมายอ่อนความหมายลง เพราะว่าผู้เชื่อในพระเจ้าจะได้รับความหลุดพ้นนิรันดร์ ในพระเยซูผู้เป็นความหลุดพ้นของเราทุกคน
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)