21.เราจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับความหลุดพ้นขั้นที่สอง (What do we have to do to received Sanctification)
บทเรียนพระคัมภีร์
เราจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับความหลุดพ้นขั้นที่สอง
(What do we have to do to received Sanctification)
เขียนโดย…บรรพต เวชกามา
(ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
เมื่อเราได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่ 1 แล้ว เราจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ความหลุดพ้นบาปขั้นที่สอง? คำตอบก็คือ เราจะต้องเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติหรือทำตามธรรมบัญญัติแต่อย่างใด ดังที่เปาโลบอกกับชุมชนของพระเจ้าชาวเมืองเธสะโลนิกาว่า:
“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องขอบพระคุณพระจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิม ให้ถึงที่หลุดพ้น โดยพระธรรม ทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์และโดยท่านได้เชื่อความจริง” (2 ธส 2:13)
เมื่อมีการประชุมใหญ่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เรื่องการถ้าไม่เข้าสุหนตตามจารีตของโมเสส จะหลุดพ้นไม่ได้ หลังจากโต้แย้งกันด้วยเหตุผลแล้ว เปโตรก็ได้กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และและทรงประทานพระธรรมของพระเจ้าแก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ” (กจ 15:8-9)
เมื่อเปาโลถูกจับกุม ท่านได้เล่าเรื่องให้ที่พระเจ้าเลือกท่านให้กับกษัตริย์ อากริปปาฟังว่า พระเจ้าเลือกท่านเพื่อท่านจะได้นำบารมีของพระเจ้าไปยังคนต่างชาติ “เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขา และให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นคนบุญแล้วโดยความเชื่อในเรา” (กจ 26:18)
“คนทรงทั้งหลายของพระเจ้าย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกๆคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์” (กจ 10:43)
หลักคำสอนว่าด้วยเรื่อง การชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่สองนี้ พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เราบริสุทธิ์เมื่อเราเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูคริสต์ ในตอนนั้นเราได้รับการอภัยบาป ถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ทรงตั้งเราไว้ให้เพื่อพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ค่อยๆตั้งเราไว้ แต่พระองค์ประกาศทันทีว่าเราเป็น “ผู้บริสุทธิ์” และ “สมบูรณ์แบบ” โดยพระคุณหรือบารมีของพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเราจะยังอยู่ในเนื้อหนังที่มีบาป และยังไม่สมบูรณ์แบบ ก็ตาม
เมื่อพระธรรมของพระเจ้ามาอยู่กับผู้เชื่อ ผู้ซึ่งถูกชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง และกำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่สอง จะเกิดสงครามขึ้นระหว่างชีวิตฝ่ายวิญญาณ และชีวิตฝ่ายเนื้อหนังในชีวิตของผู้เชื่อทันที เปาโลได้อธิบายเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ และฝ่ายเนื้อหนังไว้อย่างละเอียดในหนังสือโรม บทที่ 7 มีศัตรูที่สำคัญ 3 ประการคือ ปีศาจ โลกนี้ และ กิเลส ราคะ ตัณหาของเนื้อหนัง
ศัตรูทั้งสามอย่างนี้จะรบกวนและโจมตีผู้เชื่อขณะที่เขาดำเนินชีวิตในโลกนี้ ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระธรรมของพระเจ้าจะได้รับชัยชนะ และได้ชื่อว่า เป็นผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายธรรมะ ผู้ที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังจะได้รับความพ่ายแพ้ และได้ชื่อว่า ผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง
ผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายธรรมะ คือผู้ที่สำแดงผลของพระธรรมของพระเจ้าออกมาในการดำเนินชีวิต ผลของพระธรรมมีดังต่อไปนี้คือ
“ฝ่ายผลของพระธรรมนั้น คือพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความปลาบปลื้มใจ สันติภาพ (พระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า “สันติสุข”) ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” (กท 5:22-23)
ส่วนผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง คือผู้ที่สำแดงผลของเนื้อหนังออกมาในการดำเนินชีวิต ซึ่งมีดังต่อไปนี้คือ
“การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเพียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่าคนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (กท 5:19-21)
ผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้ามีผลงานที่ผลิตออกมาจากการประพฤติและการกระทำเช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ดำเนินชีวิตามเนื้อหนัง และผลิตผลงานแห่งเนื้อหนังออกมาเป็นนิสัยเป็นประจำวัน แท้จริงแล้วน่าสงสัยว่า คนนั้นเกิดใหม่หรือยัง เพราะเขายังดำเนินชีวิตที่ไม่แตกต่างจากผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่เลย เขาไม่มีสิทธิ์ในมรดกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า อย่าลืมว่า ใครก็ตามที่เกิดใหม่ เขาจะมีพระธรรมของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในจิตใจ พระธรรมนั้นจะเป็นพลังให้เขาสำแดงผลแห่งพระธรรมออกมา ใครที่ไม่ยอมสำแดงผลของพระธรรมออกมา น่าสงสัยว่า ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้รับพระธรรมของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ดูเหมือนว่ามีบางข้อที่บอกว่าให้ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องทำเพื่อจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง แต่เมื่อเราพิจารณาอย่างเที่ยงตรงแล้ว จะไม่เป็นเป็นนั้น เพราะพระคัมภีร์บอกว่าให้เราทำเพื่อจะให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ มีพรหมวิหารสี่ เป็นเครื่องผูกมัด และมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยพระธรรม
“จงอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮบ 12:14)
“ดูก่อนท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณจิตและจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า” (2 คร 7:1)
“จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วจงสวมพรหมวิหารสี่ทับสิ่งเหล่นี้ทั้งหมด เพราะพรหมวิหารสี่ย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์” (คส 3:13-14)
“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวเตรียมใจของท่านไว้ให้ดี และจงข่มใจ ตั้งความหวังให้เต็มเปี่ยมในพระคุณ คือพระคุณซึ่งจะทรงโปรดประทานแก่ท่านเมื่อพระเยซูคริสต์จะทรงสำแดงพระองค์ โดยที่ท่านเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ขอย่าได้ประพฤติตามกิเลศตัณหาอย่างที่เกิดจากความโง่เขลาของท่านในกาลก่อน แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ” (1 ปต 1:13-15)
“แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่าท่านมีความหวังเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพ และด้วยความนับถือ” (1 ปต 3:15)
“นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ เว้นเสียจากการล่วงประเวณี ให้ท่านทุกคนรูจักมีภรรยาในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ มิใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า” (1 ธส 4:3-5)
“และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้เป็นขึ้นมาในวันที่สุด เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และวางใจในพระบุตรได้มีชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้าย” (ยน 6:39-40)
“มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้ไปรับ” (ฟป 3:12-14)
การกลับใจเกิดใหม่จากเบื้องบน การได้รับการไถ่บาป การชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 การชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 ไม่ใช่รางวัล หรือของตอบแทน แต่เป็นของประทานหรือของขวัญจากพระเจ้า เปาโลกล่าวไว้ว่า ท่านยังสมบูรณ์แบบ แต่ท่านกำลังบากบั่นก้าวหน้าไป แต่ท่านกำลังมุ่งไปสู่เป้าหมายเพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งท่านจะได้รับเพราะการกระทำของท่าน การชำระให้บริสุทธิ์ไม่ใช่รางวัล แต่เป็นของประทานของพระเจ้า
เราจะได้รับความหลุดพ้นบาปขั้นที่สองเมื่อใด
เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในทันทีทันใดนั้น บาปของเราได้รับการใช้หนี้ โดยพระโลหิตของพระองค์ และเราได้รับการเกิดใหม่ ได้รับการไถ่บาป ได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 ทันที
“แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่สอง และผลสุดท้ายคือชีวิตเข้าสู่นิพพานในความหลุดพ้นขั้นที่สาม” (รม 6:22)
เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์หรือความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในตอนั้นเราเชื่อในพระองค์ พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกมาเพื่อจะชำระบาปของเรา (ตั้งแต่เกิดจนตาย) เมื่อเราได้รับการไถ่บาปหรือใช้หนี้บาปแล้ว พระเจ้าก็ประกาศว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่าลืมว่าเราไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์เอง แต่พระเจ้าเป็นผู้ประกาศว่าเราเป็น
“เรียนชุมชนของพระเจ้า ที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงเรียกให้เป็นวิมุตติชนด้วยกันกับคนทั้งปวงในทุกตำบล ที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา” (1 คร 1:2)
“เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอ่างนั้นเหมือนกัน” (คส 3:12-14)
“โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและบุญของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป” (1 คร 1:30)
เราได้รับการชำระให้เป็นคนบุญซึ่งเป็นความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง และการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 2 เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ในตอนนั้นเราเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ และเกิดใหม่
“เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับพิธีมุดน้ำเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชแห่งสง่าราศีของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย” (รม 6:4-5)
“เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย” (รม 6:6-8)
“ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้วด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีพรหมวิหารสี อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงมีพรหมวิหารสี่ต่อกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริงด้วย” (1 ปต 1:22)
“แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนอย่างนั้น แต่ท่านได้รับการชำระแล้ว ได้รับการทำให้บริสุทธิ์แล้ว ได้รับการทำให้เป็นคนบุญในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า และพระธรรมแห่งพระเจ้าของเขา” (1 คร 6:11)
ในข้อนี้มีความหมายอย่างชัดเจน 3 ประการคือ
1. ได้รับการชำระหนี้บาปแล้ว (บาปของเขาได้รับการชำระแล้วโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อเราเชื่อในพระองค์)
2. ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ (เขาถูกแต่งตั้งไว้เพื่อพระเจ้าจะใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ และสมบูรณ์แบบ เพราะบาปของเขาได้รับการใช้หนี้อย่างสิ้นเชิงตลอดไปเป็นนิตย์ โดยพระโลหิตของพระองค์ เมื่อเขาเชื่อในพระองค์) และ
3. การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่ 1 (พระเจ้าเป็นผู้ประกาศและรับรองว่าเขาเป็น “คนบุญ” ไม่ใช่ “คนบาป” ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ใช้หนี้บาปเขา และประทานบุญของพระองค์ให้แก่เขา เมื่อเขาเชื่อในพระองค์
จากข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแล้วข้างบน เปาโลกล่าวถึงผู้เชื่อพระเจ้าที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังยังอาศัยอยู่ในบาป เขาเคยได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในขั้นที่ 1 แล้ว ในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า การไถ่โทษบาป การชำระให้เป็นคนบุญในขั้นที่ 1 ได้เกิดขึ้นแล้วในตอนนั้น ไม่ใช่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
“ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระธรรมของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น” (1 คร 3:16-17)
“และโดยน้ำพระทัยนั้นเองที่เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” (ฮบ 10:10) ในข้อนี้บอกกับเราทั้งหลายว่า “เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว” ไม่ใช่บอกว่า “เราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์”
“โดยการถวายการบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์” (ฮบ 10:14) พระคัมภีร์ข้อนี้บอกกับเราว่า เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว และเราก็จะมีชีวิตเข้าสู่นิพพานอย่างบริบูรณ์
กล่าวโดยสรุป เราได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพนขั้นที่ 1 และกำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่ 2 โดยพระคุณและความเชื่อ ในการดำเนินชีวิตในความหลุดพ้นขั้นที่สองนี้ เราจะต้องดำเนินตามพระธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่ดำเนินตามเนื้อหนัง และแม้ว่าเราจะผิดพลาดในการดำเนินชีวิต เราก็ไม่หล่นหายไปจากการชำระให้บริสุทธิ์ได้เลย
เขียนโดย Banpote Wetchgama (ศูนย์พันธกิจอุดรธานี)
แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2012 เวลา 19:00 น.
บทเรียนเรื่อง “หลักคำสอนว่าด้วยความหลุดพ้นบาปโดยพระคุณของพระเจ้า” นี้ แปลและเรียบเรียงจากหนังสือของ เฮนรี ซิน ชื่อ “คุณศาสตร์ระบบ การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจหลักคำสอนของพระคัมภีร์” (Henry Syn “Systematic Theology A Comprehensive Biblical Doctrine”pp.584-586)