ฉบับที่ 2 จะรับใช้พระเจ้าอย่างไรในหนทางของพระองค์
ฉบับที่ 2 จะรับใช้พระเจ้าอย่างไรในหนทางของพระองค์
(How To Serve God In His Way)
ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว
เราจะพบว่าเมื่ออาจารย์เปาโล ได้รับการเปลี่ยนแปลงในระหว่างทางไปเมืองดามัสกัสนั้น ท่านไม่ได้รับการสัมผัสแบบธรรมดาแต่ได้รับฤทธิ์เดชอย่างเต็มล้นที่มาจากพระเจ้า สาเหตุนี้เองที่ทำให้งานการรับใช้เกิดผลมากมายและ
เต็มไปด้วยพลังและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ จากการที่เป็นคนหัวรุนแรงต่อต้านพระเยซูกลับกลายเป็นผู้รับใช้และประกาศข่าวประเสริฐที่เต็มไปด้วยการเจิม ซึ่งเหตุผลนี้ที่พระเจ้าต้องการก็คือให้ทุกคนได้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้กระทำ
เพื่อจะได้เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อทุกคนได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ก็จะรู้ได้เลยว่านี่คือพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์
ผมเชื่อว่าเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ได้เคยเกิดขึ้นกับผู้รับใช้มากมายด้วยกันในทุกที่ทุกแห่งที่มีการเป็นพยานถึงการ
อัศจรรย์ของพระองค์ ว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำการเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าอย่างไม่น่าเชื่อจากคนที่ร้ายกาจมาเป็นอีกคนหนึ่งอะไรทำนองนี้ ผมเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้จากหลายที่ การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่ได้มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะพระองค์ทรงตรัสว่าได้รู้จักเราก่อนที่เราจะเข้ามาอยู่ในครรภ์ของมารดา ได้กำหนดเราเอาไว้แล้วตามพระประสงค์อันดี ดังนั้น แต่ละคนที่พระองค์เปลี่ยนไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญเลย แต่เป็นการจัดเตรียมเอาไว้แล้วล่วงหน้า
ให้เรามาดูเรื่องราวของโมเสสว่าพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้เช่นไร จึงได้ทำให้งานใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นโดยการนำประชาชาติของพระองค์ออกมาจากอียิปต์ได้สำเร็จ
ในขณะนั้นคนอิสราเอลตกทุกข์ได้ยากในอียิปต์ (เป็นทาส) มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ และเห็นว่ามีคน
อิสราเอลมากเกินไปจึงหาอุบายที่จะปราบมิฉะนั้นเขาจะทวีมากขึ้น จึงบังคับให้ชนชาติอิสราเอลทำงานหนัก ทำให้ชีวิตของเขาขมขื่น และได้รับสั่งให้นางผดุงครรภ์คนหนึ่งชื่อชิฟราห์อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ว่า เมื่อเจ้าไปทำการคลอดให้แก่หญิงฮีบรูเห็นเด็กคลอด ถ้าเป็นเด็กชายก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้ไว้ชีวิต แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้บุตรชายรอดชีวิต พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนางผดุงครรภ์ ประชาชนยิ่งทวีมากขึ้น จนกระทั่งมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่งได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนไว้ถึงสามเดือน ครั้นนางจะซ่อนต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เอาตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน เอาทารกใส่ลงในตะกร้า แล้วเอาไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ ส่วนพี่สาวยืนอยู่แต่ไกลคอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่น้อง เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวไปตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่ระหว่างกอปรือ จึงทรงสั่งให้สาวใช้ไปนำมา เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางทรงเมตตาทารกนั้น ตรัสว่า นี่เป็นลูกชาวฮีบรู พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปหาเถิด” หญิงสาวนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกนั้นมา พระราชธิดาของฟาโรห์ จึงตรัสสั่งหญิงนั้นว่า รับเด็กนี้ไปเลี้ยงให้เราแล้วเราจะให้ค่าจ้าง หญิงนั้นจึงรับทารกไปเลี้ยงไว้ (นี่คือแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ประเด็นแรกของพระองค์) คือให้เด็กได้ไปเจริญเติบโตในพระราชสำนัก เมื่อเติบใหญ่ขึ้นนางก็พาไปถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่าโมเสส ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ” เมื่อเติบใหญ่ได้เห็นพวกพี่น้องทำงานตรากตรำ และได้เห็นคนอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีคนฮีบรูซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับตนจึงไม่พอใจ ได้ฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย ซึ่งตรงนี้ทำให้เราได้รู้ว่าท่านเป็นคนรักชนชาติของตัวเอง เมื่อฟาโรห์รู้ก็หาช่องที่จะประหารชีวิตโมเสสเสีย แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอยู่เมืองมีเดียน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โมเสสต้องออกไปจากอียิปต์ (อพย.1:8-22;2:1-15)เหตุการณ์นี้ทำให้เราได้รู้ว่าทำไมพระเจ้าจึงได้ให้โมเสสเข้าไปเจริญเติบโตอยู่ในพระราชวัง เพราะว่าเราจะพบว่าหลังจากนั้นโมเสสได้กลับเข้ามาอีกพร้อมกับอาโรน ซึ่งได้ให้ท่านกลับมาเพื่อจะช่วยชนชาติของท่านออกมาจากการเป็นทาส และเราทุกคนก็ทราบดีว่ามีเหตุการณ์การอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทาง แทนที่พระเจ้าจะให้โมเสสนำชนชาติของพระองค์เดินทางตรงเพื่อจะได้ถึงแผ่นดินพระสัญญาเร็วๆ แต่กลับให้เดินทางอ้อมถึง 40 ปีเต็มนี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ที่ผมปรารถนาจะเน้น ก็เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์ได้มีประสบการณ์ในการติดตามว่าทุกสิ่งนี้พระองค์เป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ยังมีการทรยศในขณะที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนายเมื่อผู้คนรอคอยอยู่ก็มีคนคอยยุยงให้ทำรูปโคทองคำขึ้นมากราบไหว้แทน เราจะพบว่ามีบางคนที่ขาดความเชื่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับบางคนนั้นไม่ได้ทำให้เขามีความศรัธทาที่เข้มแข็ง ทุกวันเวลาที่เราติดตามหรือปรนนิบัติรับใช้อยู่นั้นสองข้างทางก็เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ราคีของโลก เงินทอง เกียรติ ลาภยศสรรเสริญ หรือสิ่งยั่วยุต่างๆนานาที่มาพร้อมกับเราในระหว่างทาง ถ้าเราหยุดสิ่งเหล่านั้นก็อาจจะฉุดเราออกไปจากทางของพระองค์ได้ ทำไมเราถึงต้องพึ่งฤทธิ์เดชอันมหัศจรรย์ ลำพังตัวเราไม่อาจต่อสู้กับสิ่งนี้ได้ ดังนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างทางทุกๆ เหตุการณ์เป็นการสอนและตักเตือนในเรื่องของความเชื่อ และ
การไว้วางใจ ซึ่งถ้าเราไม่มีประสบการณ์ต่างๆ ในการติดตามพระองค์แล้วเราจะเชื่อและวางใจในพระองค์ได้อย่างไร
ภาพที่พระองค์ได้ช่วยเหลือเรานั้น เปรียบเหมือนกับภาพที่พระองค์ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซู ลงมาในโลกนี้เพื่อยอมถูกตรึงบนไม้กางเขน ด้วยเลือดที่หลั่งลงมาจากร่างกายเป็นเหตุให้เราได้รับการอภัยความผิดบาป และหลุดพ้นจากการเป็นทาสของสิ่งชั่วร้าย เช่นเดียวกันที่พระองค์ได้จัดเตรียมโมเสสเพื่อการนี้ และเมื่อคนนั้นพร้อมที่จะเข้ามาสู่งานการรับใช้ในงานของพระองค์จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย และเมื่อคนนั้นพร้อมที่จะเข้ามาสู่งานการรับใช้แต่ขาดประสบการณ์ในเรื่องฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์ (การบังเกิดใหม่) นั่นเอง แล้วจะก้าวต่อไปได้อย่างไง
ผมยังจำได้ว่าสมัยอดีตเรามีผู้รับใช้หลายท่านด้วยกันที่มีการเจิม และรับใช้ได้อย่างเกิดผลมาก ผู้รับใช้หลายคนที่รับใช้อยู่ในปัจจุบันก็มาจากท่านเหล่านั้นมากมายด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่งานหนึ่งที่สามารถรวมคริสตจักรแ ละพี่น้องมากมายเข้าด้วยกันที่ได้เข้ามาสู่การสรรเสริญนมัสการพระเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง และผู้เชื่อที่หลากหลายก็มาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศไทยเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างอัศจรรย์ ก็มาจากผู้รับใช้ในอดีตที่ได้รับการเจิมโดยตรงจากพระเจ้า เป็นความตื่นเต้นเร้าใจ ชื่นชมยินดี ซึ่งผมก็เชื่อว่ายังไม่มีใครลืมได้ถ้าเอ่ยถึงงานนี้ทุกคนจะร้องเป็นเสียงเดียวกันเลยทีเดียวว่าเป็นงานที่รวมคนในประเทศได้มากที่สุด เป็นงานฟื้นฟูจิตวิญญาณอย่างแท้จริงของประเทศหรือจะเรียกว่าเป็นงานระดับชาติก็ว่าได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ทุกคนก็ยังกล่าวขานถึงกันอยู่ ครับงานนั้นผมจะไม่บอกว่าชื่ออะไร ซึ่งทุกคนก็คงจะรู้อยู่แล้วเพราะได้ประทับอยู่ในความทรงจำของพี่น้องทุกคน
นี่คือภาพตัวอย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่าจะหวนกลับมาอีกครั้ง ก่อนถึงวาระสุดท้าย เพราะในโยเอลได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า “ต่อมาภายหลังจะเป็นอย่างนี้ คือเราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทั้งปวง” ผมเชื่อเหลือเกินว่าคำพยากรณ์ในพระธรรมตอนนี้กำลังจะเกิดในช่วงอายุของเรา พระเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงทุกคนให้มีหัวใจเดียวกัน พระองค์บอกว่าถ้าไม่มีการสรรเสริญ ก็จะไม่มีพระพร พระเจ้าสร้างเหล่าทูตสวรรค์ขึ้นมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้เรา แต่พระองค์ทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อให้เราสรรเสริญนมัสการพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่พระองค์ทรงตรัสก็คือ การรวมตัวกันเข้ามาเป็นฝูงชนของพระเจ้าแล้วฤทธิ์เดชที่สัญญาไว้ก็จะเทลงมาอยู่เหนือผู้ที่เข้ามาสู่การสรรเสริญ การที่พระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สองนั้นจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่จะเข้ามารวมตัวกันได้มากที่สุดเมื่อไร พระองค์ทรงรอคอยฝูงชนของพระองค์ต่างหาก อสย.45:8 “โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงโปรยฝนมาจากเบื้องบน และให้ท้องฟ้าหลั่งความชอบธรรมลงมา ให้แผ่นดินโลกเปิดออก เพื่อความรอดจะได้งอกขึ้นมา และยังความชอบธรรม ให้พลุ่งขึ้นมาด้วย เราคือพระเจ้าได้สร้างมัน” หัวใจสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็คือ การบังเกิดใหม่ พระเยซูได้ตรัสเอาไว้แล้วใน ยน.3:3 “พระเยซู ตรัสตอบเขาว่าเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” การที่ได้กล่าวถึงพระคำข้อนี้ก็คือ การรับใช้จำเป็นต้องบังเกิดใหม่ พระเยซูได้เน้นไว้ ชัดเจนมากถึงเรื่องนี้ เหตุที่งานไม่เกิดผลเท่าที่ควร เพราะกลายเป็นว่าเราไม่ได้รับใช้พระเจ้า แต่กลายเป็นว่ารับใช้อย่างอื่นแทน การบังเกิดใหม่ คือบังเกิดโดยน้ำและพระวิญญาณ
การติดตามพระองค์จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีแรงผลักดันภายในก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เข้มแข็งอยู่ได้นั่นคือฤทธิ์เดชของพระองค์ หลายครั้งที่เราท้อแท้ หมดกำลังใจ สิ้นหวังต่อสิ่งรอบข้าง แต่โดยกำลังของเราเองไม่สามารถต่อสู้กับมันได้ หลายท่านที่เคยรับใช้ต้องออกไปจากทางของพระองค์อาจจะมาจากสาเหตุเหล่านี้ก็เป็นได้ นั่นเป็นความเสียพระทัยอันใหญ่หลวงที่ได้สร้างเขาคนนั้นขึ้นมาเพื่องานของพระองค์
........................................
(ต่อฉบับหน้าครับ)