gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐ

คำเทศนาเรื่อง  เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐ
ข้อพระคัมภีร์   1 คร 9:19-27 
โดย  อ.เรวัฒน์   เทพจักร์


           เราได้มองเห็นชีวิตของชายผู้หนึ่งที่หัวใจเพื่องานในแผ่นดินสวรรค์อย่างแท้จริง  ไม่สำคัญว่าเขาจะเคยร่วมเดินเป็นสาวกพระเยซูมาก่อนหรือไม่  ไม่สำคัญว่าท่านเริ่มต้นปฏิบัติตัวอย่างไรต่อพระคริสต์    แต่สิ่งที่ทักทอให้เราได้เห็นเป็นตัวหนังสือที่อ่านเห็นได้อย่างแจ่มชัดคือว่าเขาผู้นี้คือคนที่หัวใจ  มีภาระใจให้พระเจ้าอย่างแท้จริงจนกระทั่งวันสุดท้าย   กล้าที่จะแตกต่าง    และกล้าหาญที่เดินไปอย่างมีอุดมการณ์      เขาถูกคนกล่าวขานว่าเป็นพวกคว่ำโลก  กจ17:6  ถูกมองว่าเป็นพวกมารศาสนา กจ18:13     แต่เปาโลก็สำแดงออกถึงถ้อยคำที่ว่า     เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐ?  ท่านมิได้เพียงแต่พูดดูดีเท่านั้น   แต่ตลอดเวลาชีวิตของท่านได้เป็นแบบอย่างที่ดี  3 ประการสำคัญคือ   

 


ประการที่ 1  ถ่อมตัวถ่อมใจรับใช้คนทั้งปวง   1คร9:19

ตั้งข้อสังเกต:    ที่ใดที่เปาโลไปที่นั่นเกิดคริสตจักร  เราได้เห็นว่าทั้งมีคนที่เปิดใจและคนที่ปฏิเสธ     ชีวิตของเปาโลเป็นชีวิตที่จูงใจผู้คน  เป็นชีวิตที่ชนะใจผู้คน    ชีวิตของท่านได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมายทำเช่นเดียวกับท่าน
        ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง?      เปาโลได้สลัดเอาเกียรติ ปริญญา  ประสบการณ์  คุณวุฒิและวัยวุฒิทิ้งเสีย       เขาเป็นแบบอย่างของคนที่ยอมถอดเอาตัวตนออกทิ้งไป      ไม่มีฟอร์มใดๆ      แต่ถ่อมตัวถ่อมใจลงยอมที่จะรับใช้ผู้อื่น    หาโอกาสที่จะรับใช้คนรอบกาย     ยินดีด้วยใจจริงที่จะเป็นบริกรรับใช้          นี่คือท่าทีของผู้ประกาศที่ดี หากเรามีความตั้งใจที่จะมีชีวิตที่มีแรงบันดาลใจให้คนกลับมาหาพระคริสต์       เราจะต้องอธิษฐานขอพระเจ้าให้เราถ่อมตัว ถ่อมใจก่อน         ไม่สำคัญว่าเราเป็นคนระดับไหนในที่ทำงาน  หรือที่บ้าน    แต่หัวใจทุ่มเทลงเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น    ให้เวลากับเพื่อนฝูง    แสดงความรักห่วงใยต่อกัน   

        จงอย่าเป็นคริสเตียนประเภท     ความชั่วไม่มี  ความดีก็ไม่ปรากฎ     หมายถึงว่า  เป็นพวกที่ไม่ได้ทำร้ายทำชั่วช้า อะไร   แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำคุณงามความดีเผื่อแผ่เจือจานให้ใครๆได้เห็น         บ่อยครั้งที่ชีวิตแบบโลกได้สร้างอิทธิพลให้เรากลายเป็นคนที่อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี  มีเกียรติ  มีเชิง   จึงทำให้หลายคริสตจักรขาดพวกที่จะปรนนิบัติ คนที่จะมองหาโอกาสรับใช้ผู้อื่น  หลงในอำนาจในตำแหน่งอยากอยู่ตลอดหลายๆสมัย      บ้าอำนาจ   
        แต่เปาโลยอมถ่อมตัวถ่อมใจที่จะรับใช้ผู้อื่น  เรียนรู้จักให้คุณค่าคนอื่น มองเห็นแต่ข้อดีของคนอื่นๆ    เห็นคนอื่นที่กำลังรอคอยรับการปรนนิบัติจากตนเอง           ดูจาก ฟป 2:3  ชีวิตคริสเตียนในมุมมองของเปาโลคือ  การเลิกพฤติกรรมชิงดีชิงเด่นกัน  การมองเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงาน  เห็นคุณค่าของผู้อื่น      ดร.จอห์นซีแมคเวลเคยกล่าวว่า  อย่าทำลายความฝันของคนอื่น เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้ ?        อเล็กซานเดอร์ โซลเชน นิทเชน อดีตนักเขียนรางวัลโนเบลกล่าวว่า   ความหมายของชีวิตในโลกนี้ไม่ได้อยู่ตรงที่ความมั่งมี แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ?   

           รับใช้อย่างไร ?   - มีความริเริ่มที่จะรับใช้  ไม่ใช่หากความจำเป็น หรือในภาวะวิกฤต
                                      - ไม่คำนึงถึงยศและตำแหน่ง  แต่ด้วยความรัก
                                      - หยุดที่จะตั้งตนเป็นเจ้าเหนือผู้คน แต่เริ่มตั้งใจที่จะฟังผู้อื่น  และรับใช้ซึ่งกันและกัน


 สิ่งที่เกิดขึ้น :   เปาโลมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะชนะใจคนมากยิ่งขึ้น   ถามว่าอะไรคือเคล็ดลับในการประกาศของเปาโล ?   คำตอบคือความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คน  ที่จะยอมฟังและเห็นว่าชีวิตคริสเตียนของท่านน่ารัก และมีอะไรที่น่าสนใจที่จะเรียนรู้ได้        เพื่อนำผู้คนทั้งปวงกลับใจมาหาพระเจ้า  และเป็นแบบอย่างอันดียิ่งแก่คนเหล่านั้น    ดังนั้นหากพี่น้องที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากมีชีวิตอย่างเปาโล   เป็นชีวิตที่มีส่วนในข่าวประเสริฐ    จงเรียนรู้ที่จะถ่อมตัวถ่อมใจหาโอกาสรับใช้คนทั้งปวง    ทำดีเพื่อชุมชนของเรา  ให้เวลาและสร้างความสัมพันธ์ภาพที่ดีกับทุกๆคน     ดู  กท 6:9-10  
ประการที่ 2  จุดตะเกียง   ดีกว่าสาปแช่งความมืด  1 คร9:20-23


        ทางอโคจร หมายถึง  อะ  แปลว่า ไม่      โคจรแปลว่า ไป, แวะเวียน        รวมความว่า สถานที่ที่ไม่ควรแวะเวียน ผ่านไป     บุคคลและสถานที่ที่พระภิกษุไม่ควรไปมาหาสู่    เพราะเข้าไปแล้วอาจเป็นการไม่สมควร เป็นโลกวัชชะ เป็นข้อเสียหายที่ถูกชาวโลกติเตียน   ถือว่าไม่เหมาะสมต่อสมณสารูปมี ๖ ประการ ดังนี้
        หญิงแพศยา    หญิงหม้าย   สาวเทื้อ    ภิกษุณี    บัณเฑาะก์ (กระเทย)    ร้านขายสุรา   (สาวเทื้อคือ  นางก็ประดับกายพริ้วเพรา ยั่วยวนเธอด้วยกระบิดกระบวนสตรีต่างๆ)

        เป็นการง่ายที่คนส่วนใหญ่มักจะตำหนิสิ่งที่บกพร่อง และแยกตัวเองออกจากสังคมที่แตกต่างกับตนเอง   เราจึงทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องตัวเองให้พ้นจากคำติเตียนใดๆ    และมากยิ่งไปกว่านั้นเรามักจะสาบเสียเทเสียใส่ กลุ่มคนที่มีมุมมองตรงกันข้ามกับเราเองอย่างแข็งขัน        เราพยายามทุกวิธีที่จะแยกคนเหล่านั้นออกไปจากชีวิตของเรา       ไม่คบค้าสมาคม ไม่กินร้อนช้อนกลางกับพวกนี้       แต่ชีวิตที่ขอมีส่วนในข่าวประเสริฐแบบเปาโลท่านกลับมีชีวิตที่แตกต่าง  คือ   ? จุดตะเกียงดีกว่าสาบแช่งความมืด?     หมายถึงว่า   แทนที่ท่านเองจะแยกตัวเองจากคนเหล่านั้น 
                        เช่น - พวกยิวที่เคร่งในศาสนายิวจัด  
                               - พวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติ       ไม่เคร่งครัด  
                               - พวกที่อ่อนแอ       
           แต่เปาโลกลับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ร่วมในกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างมีเป้าหมาย    ทำให้คนเหล่านั้นกลับมองว่าเปาโลไม่ได้เป็นศัตรู  แต่เป็นเพื่อนที่ดี   มีอะไรดีๆที่น่าเรียนรู้      การยอมรับก็เกิดขึ้น                นั่นก็คือโอกาสที่จะนำพาคนเหล่านั้นกลับใจมาหาพระคริสต์        การเข้าไปแทรกอยู่ในทุกสังคมโดยที่ตัวเราเองมีจุดยืนชัดเจนเป็นแนวทางที่จะไปส่องสว่าง  ไปจุดตะเกียงให้เกิดความสว่าง    ดีกว่าไปสาบแช่งความบาป คนบาป และการอธรรม    

 
           หลายคนมักจะชอบสาบแช่งความมืด   แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้เกิดแสงสว่างเกิดขึ้น  หรือมีอิทธพลในด้านดีต่อชุมชนของตนเอง        หลายครั้งที่คริสเตียนมักกล่าวโทษสังคม   กล่าวโทษยุคนี้ว่าเป็นยุคแห่งความชั่วช้า      แต่หากเราไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อส่องสว่าง    มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย       จงให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อว่าเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ และจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ ? มัทธิว 5:16     


              ดังนั้นในวันนี้  ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นคนที่กล่าวโทษสังคม หรือชุมชน  หรือการเมืองไทย  หรือความบาปชั่ว แทนที่จะสาบแช่งความมืด  จงออกไปจุดตะเกียง  เป็นคนที่ถือคบเพลิงส่องประกายแบบอย่างชีวิตให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายของเรา    นำพาเขามาสู่ทางของพระเจ้า    จุดเป้าหมายของเราคือ ? จะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง ?     หมายถึงว่าวิธีการเราเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา  แต่หัวใจแก่นของข่าวประเสริฐเราไม่เปลี่ยนแปลง       ดังนั้นเราจะต้องอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐด้วย   อย่ายึดติดกับวิธีการแบบเดิมๆในการประกาศ   แต่จงพร้อมที่ปรับเปลี่ยนวิธีการของตัวเองให้เหมาะกับกลุ่มคนที่เรากำลังจะประกาศ   มองหาสื่อในการนำเสนอข่าวประเสริฐที่ใหม่ๆ และตื่นเต้นน่าสนใจกว่ายุคที่ผ่านๆมา 

 ประการที่ 3  ให้การประกาศเป็นวาระของชีวิต  1 คร 9:16

          คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าการประกาศเป็นเรื่อง หรือกิจกรรมของคริสตจักร   เป็นกิจวัตรของผู้นำคริสตจักร  หลายคริสตจักรกลับทุ่มเทงบประมาณไปลงที่กิจกรรมเป็นส่วนใหญ่     แต่ความจริงก็คือว่า  อะไรที่เราพูดถึงบ่อยๆเดี๋ยวมันจะเกิดขึ้น       ตัวอย่าง : หากเราพูดถึงว่า   อยากจะมีรถ   มีบ้าน   มีโอกาสไปเที่ยว   เดี๋ยวเวลาและสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น 

              อ.เปาโลมีท่าทีอย่างไรต่องานรับใช้หรือ การประกาศเป็นพยานเรื่องราวของพระเจ้า    ท่านถือเป็นวาระแห่งชาติ  หรือเป็นวาระแห่งชีวิตของท่าน    เปาโลไม่ได้โออวดว่าได้ทำผลงานไว้เยอะในเรื่องเป็นพยานและเป็นพยาน   แต่ท่านมองเห็นว่า  นั่นคือภาระใจ  เป็นภาระกิจของพระเจ้าที่มอบหมาย   และการที่ท่านไม่ได้เพียรพยายามที่จะทำนั่นแหละคือความหายนะของชีวิต   เป็นเวลาที่เสียหาย   

 
              เช่นเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ประหนึ่งว่า  ? สังคมแย่เพราะคนดีท้อแท้ใจ?        ด้วยเหตุนี้เอง  อ.เปาโลจึงไม่ได้ทิ้งภาระหน้าที่นี้ปัดไปให้อนุชนคนรุ่นใหม่  หรือคนอื่นๆ                แต่เปาโลกลับพูดว่า  ? จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐนั้น ?          คริสตจักรในยุคนั้นจึงเกิดขึ้นมากมาย    สาวกของพระเจ้าก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว       ก็เพราะว่าในสมัยนั้นมีคนอย่างเช่น อ.เปาโล         คนที่มองเห็นว่าการประกาศข่าวประเสริฐเป็นภาระกิจที่ทรงมอบหมายให้กระทำ       หาใช่เป็นงานของคริสตจักรหรือองค์การองค์กร         หลายคนวันนี้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อองค์กรหรือองค์การ คณะของตนเอง       เพียรพยายามที่จะจงรักภักดีต่อองค์กร     แต่ลืมที่จะทุ่มเทชีวิตเพื่อพระคริสต์     และพระองค์กำลังมองเสาะแสวงหาคนเช่นนั้นที่จะอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง      และหาช่องทางและโอกาสที่จะได้กล่าวเป็นพยานถึงความรอด  กล้าที่จะลงทุน  กล้าที่จะยอมจ่ายราคาแห่งความยากลำบากนั้นเอง   

เมื่อพูดถึงการประกาศหลายคนรอคอยให้ถึงเทศกาลแห่งการประกาศ   หรือเวลาแห่งการพื้นฟูก่อน  หรืออาจจะรอให้ใครมาปลุกใจให้ออกมาทำการประกาศจึงค่อยลุกขึ้นมาทำ         ให้เราพูดกับตัวเองบ่อยๆว่า   การประกาศคือ    พระราชกิจมอบหมาย         ไม่ใช่ใครคนใดมอบหมายให้เราไปทำ      แต่พระเจ้าได้มอบหมายให้ผู้ที่เชื่อออกไปทำ    ดังนั้นจงถือเป็นภาระกิจเร่งด่วน  และเป็นงานที่เราจะต้องให้ความสำคัญที่สุด   และถ้าพระเจ้าใช้ให้ผู้เชื่อออกไปทำ   เราก็ไปโดยมีพระเจ้าทรงนำพา  คอยสนับสนุนเราอยู่    อย่ากลัวเลยจงพูดเป็นพยานต่อไปด้วยใจกล้าหาญ    

ออกไปรับใช้ด้วยความอดทนที่ยาวนาน      ตัวอย่างการไดร์ปลาหมึกที่หาดสามร้อยยอด  อ.ปรานบุรี       หลังจากที่เหมาเรือลำละ  1500 บาทออกไปไดร์ปลาหมึกกลางทะเลลึก        บทเรียนและประสบการณ์ที่ได้รับวันนั้นคือ     เราต้องกล้าเสี่ยงที่จะออกไปไดปลาหมึก   ต้องเข้าใจว่าบางครั้งก็ได้มาก  บางครั้งก็คว้าน้ำเหลว       ต้องอดทนนานในการไดปลาหมึก           เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับวิธีการจากผู้อื่นว่าเขาทำอย่างไรจึงได้ปลาหมึกติดมามากมาย        อย่ามองดูที่ปริมาณแต่เพ่งดูที่เป้าหมาย      บางครั้งปลาหมึกที่จับมาได้อาจจะไม่คุ้มหากวัดกันที่ราคาและปริมาณ      แต่จงดูที่เป้าหมายของการออกไปครั้งนั้นก็เพื่อพักผ่อน    และสร้างความพันธ์ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน       เช่นเดียวกันกับการประกาศเราก็ต้องไม่ท้อแท้ใจง่ายๆ  หรือเลิกล้มเมื่อมีคนปฏิเสธ หรือต่อต้านอย่างรุนแรง     หรือเมื่อไม่มีใครออกไปร่วมไม้ร่วมมือด้วย     ไม่มีคนช่วยจ่ายเงินต่างๆให้      เราจะเป็นต้องอาศัยความอดทนนาน    แสดงความรักที่อดทนนาน  ไม่สำคัญว่าเราได้กี่คนมารับเชื่อ      แต่สำคัญที่เราตั้งใจที่ทำตามพระมหาบัญชามอบหมายนั้นแค่ไหน?    

 

        เราได้ตีราคา และความสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร ?      จงให้การประกาศข่าวประเสริฐเป็นวาระแห่งชีวิตของท่านเถิด   อาเมน.
 

แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฏาคม 2010 เวลา 16:39 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?