gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ธรรมชีวิต 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2012

27 พฤศจิกายน 2012

“แปลโดยคุณแม่”

เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล

เอสรา 7:10

ศิษยาภิบาลสี่คน ได้ถกกันถึงข้อดีของการแปลพระคัมภีร์ในแบบฉบับต่างๆ คนหนึ่งชอบฉบับที่แปลอย่างพิถีพิถัน เพราะความเรียบง่ายและมีภาษาสละสลวย อีกคนชอบฉบับที่เป็นวิชาการมากกว่า เพราะแปลได้ใกล้เคียงกับภาษาฮีบรูและกรีกต้นฉบับ ส่วนอีกคนหนึ่งชอบฉบับร่วมสมัย เพราะใช้คำศัพท์ที่ทันสมัยกว่า

อาจารย์คนที่สี่เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ผมชอบฉบับที่แปลโดยคุณแม่ของผม” สามคนที่เหลือประหลาดใจมาก พวกเขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณแม่ของศิษยาภิบาลคนนี้แปลพระคัมภีร์ด้วย “จริงครับ” เขาตอบ “แม่ของผมแปลผ่านทางชีวิตของท่าน และเป็นการแปลที่น่าเชื่อถือที่สุดที่ผมเคยเห็นมา”

แทนที่ศิษยาภิบาลคนนี้จะพูดถึงรูปแบบของการแปล เขากลับย้ำเตือนคนอื่นๆ ถึงสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าแล้วปฏิบัติตาม ทั้งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของเอสราเช่นกัน ท่านศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า กระทำตาม และสอนแก่ชาวอิสราเอล (อสร.7:10) ดังตัวอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชาไม่ให้คนอิสราเอลแต่งงานกับชนต่างชาติที่กราบไหว้รูปเคารพ (อสร.9:2) เอสราสารภาพความบาปของชนชาติอิสราเอลต่อพระเจ้า (9:10-12) และนำประชากรเหล่านั้นให้หันกลับจากความบาป (10:10-12)

จงทำตามตัวอย่างของเอสรา โดยแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า และแปลออกมาทางชีวิต

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้หนังสือของพระองค์คือชีวิตของข้าพระองค์นี้ สำแดงพระองค์ในทุกๆวัน ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 

 

 

28 พฤศจิกายน 2012

“ไม่เห็นแก่ตัว”

จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว

1 ทิโมธี 6:18

ผู้ที่ติดตามพระเยซูควรจะ “กระทำดีมากๆเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว” (1ทธ.6:18) สิ่งที่ตามมาหลังเหตุการณ์หายนะจากคลื่นยักษ์สึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นข้อพิสูจน์อย่างดี คริสเตียนมากมายรีบบริจาคเงิน เครื่องอุปโภคบริโภค และส่งกำลังคนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการช่วยเหลือครั้งนี้ก็ยังดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ

ผู้เชื่ออีกมากมายก็มีส่วนสำแดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในชุมชนของเขาเช่นกัน เมื่อมีครอบครัวใดต้องสูญเสียบ้านและทรัพย์สินทั้งหมดจากเหตุเพลิงไหม้ ความช่วยเหลือก็หลั่งไหลมาไม่ว่าจัดเป็นเงิน อาหาร เสื้อผ้าที่พักชั่วคราว จากเพื่อนๆ ผู้เชื่อทั่วทั้งละแวกนั้น

เมื่อสามีคนหนึ่งทอดทิ้งภรรยาและลูกๆ สามคนไปหลังจากผลาญเงินในบัญชีธนาคารไปจนหมดและสร้างหนี้สินจำนวนมาก สมาชิกในคริสตจักรต่างก็เห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือแก่ภรรยาผู้นี้ ผู้หญิงบางคนในคริสตจักรพากันมาล้อมวงเพื่ออธิษฐานเผื่อและให้กำลังใจเธอ

ผู้เชื่อเหล่านี้ได้กระทำตามแบบแผนที่พระเจ้าวางไว้สำหรับชีวิตคริสเตียน คนอีกมากมายรอบตัวเราที่ต้องการความช่วยเหลือ เราสามารถมีส่วนสำคัญในการช่วยพวกเขาได้

เราพร้อมที่จะ “กระทำดีมากๆ เอื้อเฟื้อเผือแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว” หรือไม่?

ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณที่ทรงเป็นแบอย่าง และทรงเรียกข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อประกอบการดี  ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 

 

 

 

 

 

29 พฤศจิกายน 2012

“ชักนำโดยกางเขน”

เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา

ยอห์น 12:32

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ตั้งตระหง่านอยู่เหนือท่าเรือนิวยอร์ก คบเพลิงแห่งเสรีภาพที่เธอชูไว้สูงเด่นนั้น ส่งสัญญาณไปยังคนนับล้านที่ถูกกดขี่อยู่ใต้อำนาจเผด็จการและการบีบบังคับ ให้เข้ามาสู่สิ่งที่เธอเป็นลักษณะสู่เสรีภาพ

ที่ฐานของเทพีเสรีภาพมีบทกลอนซึ่งประพันธ์โดย เอ็มมา ลาซารัส จารึกไว้ว่า

จงมาเถิดผู้มีภาระหนัก            เหนื่อยล้านักปรารถนาการปลดปล่อย  คนอ่อนแอเหลือเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อย           ที่รอคอยใครสักคนเสริมเรี่ยวแรง  หากสับสนวกวนจนปั่นป่วน   ขอเชิญชวนมาพบข้าผู้นำแสง  สู่ประตูทองคำข้าชี้แจง                        ใจเหี่ยวแห้งจะได้รับความชื่นชู

มีอนุสาวรีย์หนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือประวัติศาสตร์ ซึ่งนำเสรีภาพและการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณมายังผู้คนทุกหนทุกแห่ง นั่นคือไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน ภาพเหตุการณ์นี้อาจทำให้เราอยากถอยห่างในครั้งแรก จนเมื่อเราเห็นพระบิดาของพระเจ้าผู้ปราศจากบาปทรงสิ้นพระชนม์แทนเราเนื่องด้วยบาปของเรา จากกางเขนเราได้ยินพระองค์ตรัสว่า “โอพระบิดาเจ้า ขอโปรดอภัยโทษเขา” (ลก.23:34) และ “สำเร็จแล้ว” (ยน.19:30) เมื่อเรารับพระคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ ภาระหนักแห่งความผิดบาปก็หลุดออกไปจากจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้า และเรามีเสรีภาพชั่วนิจนิรันดร์

คุณได้ยินและตอบสนองคำเชิญชวนของไม้กางเขนหรือยัง?

ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเป็นที่พักพิง ของจิตวิญญาณที่อ่อนละโหยเสมอ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 

 

 

 

30 พฤศจิกายน 2012

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู

วิวรณ์ 3:20

เมื่อเป็นหนุ่ม ซี เอส ลิวอีสได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าเมื่อครั้งยังเด็กของเขาไป และประกาศว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา เขากล่าวว่า ทุกศาสนาเป็นเพียงตำนานที่มีคนแต่งขึ้น หลายปีต่อมาหลังจากที่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ลิวอีส เขียนถึงช่วงชีวิตตอนนั้นในหนังสือ Surprised By Joy ว่า:

“สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการก้าวก่าย แต่ผมมาเป็นคริสเตียนได้ก็ด้วยการแทรกแซงจากเบื้องบนไม่มีบริเวณไหนแม้แต่ส่วนลึกที่สุดในใจที่เราจะสามารถล้อมรั้วแล้วติดป้าย “ห้ามเข้า” แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการแม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆที่ผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า นี่มันเรื่องของผม คนอื่นไม่เกี่ยว”

ทุกคนมีสิทธิ์จะบอกพระเจ้าว่า “ให้ผมอยู่ของผมเถอะ อย่ายุ่งกับผมเลย แต่ก็เป็นสิทธิของพระองค์ที่จะทรงตามติดเราไปด้วยพระเมตตาที่ไม่หยุดยั้ง พระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ตรัสกับคริสตจักรที่พึงพอใจในตนเองอย่างเลาดีเซียว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว.3:20)

ด้วยพระคุณ พระองค์ยังทรงเคาะที่ประตูและพร้อมจะเติมชีวิตของเราให้เต็มด้วยความรักของพระองค์

พระบิดาเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเป็นพระองค์เองเสมอ ทรงสรรพัญญู ทรงรู้จักข้าพระองค์อย่างดีเลิศ ทรงรู้จักวิธีพิชิตใจที่แข็งกระด้างอย่างข้าพระองค์ด้วย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

1 ธันวาคม 2012

“เราปลอดภัยแล้ว”

...และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่ จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น

วิวรณ์ 2:17

มีวลีเก่าแก่ที่กล่าวไว้ว่า “ท่อนไม้และก้อนหินอาจทำให้กระดูกฉันหัก แต่คำพูดไม่อาจทำร้ายฉัน” นั่นไม่เป็นความจริง คำพูดสามารถทำร้ายพวกเราได้เกือบทุกคน

ในกรณีของผม คำที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากก็คือ “เจ้าแห้ง” มันเป็นฉายาที่ผมได้รับตอนเรียนประถม 4 ผมอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงชื่อนี้ ทุกวันนี้ไม่มีใครเรียกผมว่า “เจ้าแห้ง” อีกแล้ว แต่เมื่อก่อนชื่อนั้นทำให้ผมเจ็บปวด มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองอย่างนั้น แต่พ่อและแม่ของผมได้รับพระคุณและสติปัญญาในการตั้งชื่อผมว่า ดาวิด ซึ่งในภาษาฮีบรูแปลว่า “เป็นที่รัก” แทนที่จะสนใจคำเหน็บแนมจากเพื่อนที่โรงเรียน ผมรู้ว่าผมเป็นที่รักสำหรับคนที่บ้าน

บางทีคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่มีคนตั้งฉายาให้ในสมัยเด็ก เช่น “เจ้าทึ่ม” “เจ้าเซ่อ” “เจ้าอ้วน” หรือฉายาอื่นๆ ที่ร้ายกาจ บางทีคนอื่นๆ อาจจะยังเรียกชื่อคุณหรือตั้งฉายาให้คุณอย่างดูหมิ่น แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงตั้งชื่อคุณใหม่ ซึ่งเป็นชื่อที่แสดงว่าคุณเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ และเป็นชื่อที่รู้กันเฉพาะพระบิดาและคุณเท่านั้น (วว.2:17) พระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับคุณนั้นอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรัก และการยอมรับ ชื่อของคุณมีค่าสำหรับพระองค์

มีพื่อนคนหนึ่งเคยพูดว่า “คนที่รักเราจะเรียกชื่อเราในแบบที่ต่างจากคนอื่นๆชื่อของเราจะปลอดภัยในปากของเขา”      คุณ และชื่อของคุณ ปลอดภัยในพระเจ้า

ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณที่ทรงรักและให้เกียรติข้าพระองค์ทั้งหลาย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


2 ธันวาคม 2012

“เกียรติยศสูงสุด”

...แล้วฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ

เอสเธอร์ 4:16

กษัตริย์แห่งเปอร์เซียได้ลงนามในกฤษฎีกาเพื่อสั่งให้ทำลายล้างชาวยิวทั้งหมดที่อยู่ใต้การปกครองของเขา เมื่อเชลยชาวยิวที่ชื่อโมรเดคัยทราบข่าวนี้ เขาได้ท้าทายเอสเธอร์ผู้เป็นหลานสาว ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นราชินีให้เข้าเฝ้าวิงวอนกษัตริย์เพื่อขอชีวิตชนชาติของเธอ

การเขาเฝ้าโดยมิได้ทรงเรียกอาจมีโทษถึงตาย แต่เพื่อช่วยประชากรของพระเจ้า เอสเธอร์จึงยอมเสี่ยง

ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีคริสเตียนนับล้านที่ตายเพราะความเชื่อ แต่เราก็ยังอุ่นใจที่ได้รู้ว่าบุคคลเหล่านั้นที่สละชีวิตเพื่อเป็นพยานถึงพระเยซู เขาตายด้วยเกียรติยศสูงสุด

บิดาของคอร์รี่ เทนบูม เข้าใจความจริงข้อนี้อย่างกระจ่าง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองหมอสอนศาสนาชาวเดนมาร์กผู้หนึ่งไม่ยอมให้ทารกเข้าในที่หลบภัย เขาพูดว่า “พวกเราอาจจะตายกันหมดเพราะเด็กชาวยิวคนนี้” แต่คุณพ่อเทนบูมอุ้มเด็กขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วกล่าวว่า “คุณพูดว่าเราจะตายเพราะเด็กคนนี้ แต่ผมกลับคิดถึงเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่ครอบครัวผมจะได้รับ”

พวกเราส่วนมากคงไม่ต้องเผชิญการทดสอบอย่างเอสเธอร์ และครอบครัวเทนบูมแต่ชีวิตของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่หนุนใจเราทุกคนให้มีความกล้าหาญ พวกเขารู้ดีว่า มีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

การตายเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อแสดงความรักที่มีต่อพระองค์ เป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระเกียรติและพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิจ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

3 ธันวาคม 2012

“อะไรทำให้พระเจ้าหัวเราะ”

พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น

สดุดี 2:4

ในเย็นวันหนึ่งขณะที่ผมล้างรถ ผมเหลือบไปเห็นดวงอาทิตย์จวนจะแตะกับขอบโลก ผมหันสายยางพุ่งไปเพื่อจะดับลำแสงนั้นทันทีโดยไม่คิด  แล้วผมก็หัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงอาการไร้สาระของตัวเอง

ผมนึกถึงการหัวเราะของพระเจ้าในสดุดีบทที่ 2 เมื่อชนชาติที่โหดร้ายวางแผนจะทำลายผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ นับว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่พระองค์ยังทรงประทับอย่างสงบและไม่สะทกสะท้านอยู่บนสวรรค์ ความอวดดีของมนุษย์ที่จะต่อต้านฤทธิอำนาจของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องน่าขัน พระองค์ทรงพระสรวลเย้ยหยันเขาเหล่านั้น

แต่นี่เป็นการหัวเราะอย่างโหดร้ายอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย! การหัวเราะของพระองค์ยังแฝงไว้ด้วยความเห็นใจในความหลงผิดของเขา พระองค์เองไม่ทรงพอพระทัยในความตายของคนอธรรม (อสค.33:11) และพระองค์มาบังเกิด เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ร้องไห้คร่ำครวญถึงกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อประชากรของพระองค์เองปฏิเสธพระองค์ (มธ.23:37-39) พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในการพิพากษาและในพระทัยเมตตากรุณาด้วย (อพย.34:6-7)

การหัวเราะของพระเจ้าให้ความมั่นใจแก่เราว่า ในที่สุดพระคริสตทรงเป็นผู้มีชัยเหนือซาตาน การต่อต้านพระองค์และแผนการของพระองค์นั้นไร้ผลแทนที่จะเป็นศัตรูกับพระองค์ เราควรยอมจำนนต่อพระเยซูคริสต์และเข้าลี้ภัยในพระองค์

ข้าแต่พระเจ้า การได้เข้าลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุขจริง ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


 

 

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?