ธรรมชีวิต 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2012
27 พฤศจิกายน 2012
“แปลโดยคุณแม่”
เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล
เอสรา 7:10
ศิษยาภิบาลสี่คน ได้ถกกันถึงข้อดีของการแปลพระคัมภีร์ในแบบฉบับต่างๆ คนหนึ่งชอบฉบับที่แปลอย่างพิถีพิถัน เพราะความเรียบง่ายและมีภาษาสละสลวย อีกคนชอบฉบับที่เป็นวิชาการมากกว่า เพราะแปลได้ใกล้เคียงกับภาษาฮีบรูและกรีกต้นฉบับ ส่วนอีกคนหนึ่งชอบฉบับร่วมสมัย เพราะใช้คำศัพท์ที่ทันสมัยกว่า
อาจารย์คนที่สี่เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ผมชอบฉบับที่แปลโดยคุณแม่ของผม” สามคนที่เหลือประหลาดใจมาก พวกเขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณแม่ของศิษยาภิบาลคนนี้แปลพระคัมภีร์ด้วย “จริงครับ” เขาตอบ “แม่ของผมแปลผ่านทางชีวิตของท่าน และเป็นการแปลที่น่าเชื่อถือที่สุดที่ผมเคยเห็นมา”
แทนที่ศิษยาภิบาลคนนี้จะพูดถึงรูปแบบของการแปล เขากลับย้ำเตือนคนอื่นๆ ถึงสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าแล้วปฏิบัติตาม ทั้งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของเอสราเช่นกัน ท่านศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า กระทำตาม และสอนแก่ชาวอิสราเอล (อสร.7:10) ดังตัวอย่างที่พระเจ้าทรงบัญชาไม่ให้คนอิสราเอลแต่งงานกับชนต่างชาติที่กราบไหว้รูปเคารพ (อสร.9:2) เอสราสารภาพความบาปของชนชาติอิสราเอลต่อพระเจ้า (9:10-12) และนำประชากรเหล่านั้นให้หันกลับจากความบาป (10:10-12)
จงทำตามตัวอย่างของเอสรา โดยแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า และแปลออกมาทางชีวิต
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้หนังสือของพระองค์คือชีวิตของข้าพระองค์นี้ สำแดงพระองค์ในทุกๆวัน ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
28 พฤศจิกายน 2012
“ไม่เห็นแก่ตัว”
จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว
1 ทิโมธี 6:18
ผู้ที่ติดตามพระเยซูควรจะ “กระทำดีมากๆเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว” (1ทธ.6:18) สิ่งที่ตามมาหลังเหตุการณ์หายนะจากคลื่นยักษ์สึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นข้อพิสูจน์อย่างดี คริสเตียนมากมายรีบบริจาคเงิน เครื่องอุปโภคบริโภค และส่งกำลังคนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการช่วยเหลือครั้งนี้ก็ยังดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ
ผู้เชื่ออีกมากมายก็มีส่วนสำแดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในชุมชนของเขาเช่นกัน เมื่อมีครอบครัวใดต้องสูญเสียบ้านและทรัพย์สินทั้งหมดจากเหตุเพลิงไหม้ ความช่วยเหลือก็หลั่งไหลมาไม่ว่าจัดเป็นเงิน อาหาร เสื้อผ้าที่พักชั่วคราว จากเพื่อนๆ ผู้เชื่อทั่วทั้งละแวกนั้น
เมื่อสามีคนหนึ่งทอดทิ้งภรรยาและลูกๆ สามคนไปหลังจากผลาญเงินในบัญชีธนาคารไปจนหมดและสร้างหนี้สินจำนวนมาก สมาชิกในคริสตจักรต่างก็เห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือแก่ภรรยาผู้นี้ ผู้หญิงบางคนในคริสตจักรพากันมาล้อมวงเพื่ออธิษฐานเผื่อและให้กำลังใจเธอ
ผู้เชื่อเหล่านี้ได้กระทำตามแบบแผนที่พระเจ้าวางไว้สำหรับชีวิตคริสเตียน คนอีกมากมายรอบตัวเราที่ต้องการความช่วยเหลือ เราสามารถมีส่วนสำคัญในการช่วยพวกเขาได้
เราพร้อมที่จะ “กระทำดีมากๆ เอื้อเฟื้อเผือแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว” หรือไม่?
ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณที่ทรงเป็นแบอย่าง และทรงเรียกข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อประกอบการดี ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
29 พฤศจิกายน 2012
“ชักนำโดยกางเขน”
เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา
ยอห์น 12:32
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ตั้งตระหง่านอยู่เหนือท่าเรือนิวยอร์ก คบเพลิงแห่งเสรีภาพที่เธอชูไว้สูงเด่นนั้น ส่งสัญญาณไปยังคนนับล้านที่ถูกกดขี่อยู่ใต้อำนาจเผด็จการและการบีบบังคับ ให้เข้ามาสู่สิ่งที่เธอเป็นลักษณะสู่เสรีภาพ
ที่ฐานของเทพีเสรีภาพมีบทกลอนซึ่งประพันธ์โดย เอ็มมา ลาซารัส จารึกไว้ว่า
จงมาเถิดผู้มีภาระหนัก เหนื่อยล้านักปรารถนาการปลดปล่อย คนอ่อนแอเหลือเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อย ที่รอคอยใครสักคนเสริมเรี่ยวแรง หากสับสนวกวนจนปั่นป่วน ขอเชิญชวนมาพบข้าผู้นำแสง สู่ประตูทองคำข้าชี้แจง ใจเหี่ยวแห้งจะได้รับความชื่นชู
มีอนุสาวรีย์หนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือประวัติศาสตร์ ซึ่งนำเสรีภาพและการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณมายังผู้คนทุกหนทุกแห่ง นั่นคือไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน ภาพเหตุการณ์นี้อาจทำให้เราอยากถอยห่างในครั้งแรก จนเมื่อเราเห็นพระบิดาของพระเจ้าผู้ปราศจากบาปทรงสิ้นพระชนม์แทนเราเนื่องด้วยบาปของเรา จากกางเขนเราได้ยินพระองค์ตรัสว่า “โอพระบิดาเจ้า ขอโปรดอภัยโทษเขา” (ลก.23:34) และ “สำเร็จแล้ว” (ยน.19:30) เมื่อเรารับพระคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ ภาระหนักแห่งความผิดบาปก็หลุดออกไปจากจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้า และเรามีเสรีภาพชั่วนิจนิรันดร์
คุณได้ยินและตอบสนองคำเชิญชวนของไม้กางเขนหรือยัง?
ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเป็นที่พักพิง ของจิตวิญญาณที่อ่อนละโหยเสมอ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
30 พฤศจิกายน 2012
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู…
วิวรณ์ 3:20
เมื่อเป็นหนุ่ม ซี เอส ลิวอีสได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าเมื่อครั้งยังเด็กของเขาไป และประกาศว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา เขากล่าวว่า ทุกศาสนาเป็นเพียงตำนานที่มีคนแต่งขึ้น หลายปีต่อมาหลังจากที่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ลิวอีส เขียนถึงช่วงชีวิตตอนนั้นในหนังสือ Surprised By Joy ว่า:
“สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการก้าวก่าย แต่ผมมาเป็นคริสเตียนได้ก็ด้วยการแทรกแซงจากเบื้องบนไม่มีบริเวณไหนแม้แต่ส่วนลึกที่สุดในใจที่เราจะสามารถล้อมรั้วแล้วติดป้าย “ห้ามเข้า” แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการแม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆที่ผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า นี่มันเรื่องของผม คนอื่นไม่เกี่ยว”
ทุกคนมีสิทธิ์จะบอกพระเจ้าว่า “ให้ผมอยู่ของผมเถอะ อย่ายุ่งกับผมเลย แต่ก็เป็นสิทธิของพระองค์ที่จะทรงตามติดเราไปด้วยพระเมตตาที่ไม่หยุดยั้ง พระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ตรัสกับคริสตจักรที่พึงพอใจในตนเองอย่างเลาดีเซียว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว.3:20)
ด้วยพระคุณ พระองค์ยังทรงเคาะที่ประตูและพร้อมจะเติมชีวิตของเราให้เต็มด้วยความรักของพระองค์
พระบิดาเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเป็นพระองค์เองเสมอ ทรงสรรพัญญู ทรงรู้จักข้าพระองค์อย่างดีเลิศ ทรงรู้จักวิธีพิชิตใจที่แข็งกระด้างอย่างข้าพระองค์ด้วย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
1 ธันวาคม 2012
“เราปลอดภัยแล้ว”
...และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่ จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น
วิวรณ์ 2:17
มีวลีเก่าแก่ที่กล่าวไว้ว่า “ท่อนไม้และก้อนหินอาจทำให้กระดูกฉันหัก แต่คำพูดไม่อาจทำร้ายฉัน” นั่นไม่เป็นความจริง คำพูดสามารถทำร้ายพวกเราได้เกือบทุกคน
ในกรณีของผม คำที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากก็คือ “เจ้าแห้ง” มันเป็นฉายาที่ผมได้รับตอนเรียนประถม 4 ผมอมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงชื่อนี้ ทุกวันนี้ไม่มีใครเรียกผมว่า “เจ้าแห้ง” อีกแล้ว แต่เมื่อก่อนชื่อนั้นทำให้ผมเจ็บปวด มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองอย่างนั้น แต่พ่อและแม่ของผมได้รับพระคุณและสติปัญญาในการตั้งชื่อผมว่า ดาวิด ซึ่งในภาษาฮีบรูแปลว่า “เป็นที่รัก” แทนที่จะสนใจคำเหน็บแนมจากเพื่อนที่โรงเรียน ผมรู้ว่าผมเป็นที่รักสำหรับคนที่บ้าน
บางทีคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่มีคนตั้งฉายาให้ในสมัยเด็ก เช่น “เจ้าทึ่ม” “เจ้าเซ่อ” “เจ้าอ้วน” หรือฉายาอื่นๆ ที่ร้ายกาจ บางทีคนอื่นๆ อาจจะยังเรียกชื่อคุณหรือตั้งฉายาให้คุณอย่างดูหมิ่น แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงตั้งชื่อคุณใหม่ ซึ่งเป็นชื่อที่แสดงว่าคุณเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ และเป็นชื่อที่รู้กันเฉพาะพระบิดาและคุณเท่านั้น (วว.2:17) พระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับคุณนั้นอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรัก และการยอมรับ ชื่อของคุณมีค่าสำหรับพระองค์
มีพื่อนคนหนึ่งเคยพูดว่า “คนที่รักเราจะเรียกชื่อเราในแบบที่ต่างจากคนอื่นๆชื่อของเราจะปลอดภัยในปากของเขา” คุณ และชื่อของคุณ ปลอดภัยในพระเจ้า
ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณที่ทรงรักและให้เกียรติข้าพระองค์ทั้งหลาย ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
2 ธันวาคม 2012
“เกียรติยศสูงสุด”
...แล้วฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ
เอสเธอร์ 4:16
กษัตริย์แห่งเปอร์เซียได้ลงนามในกฤษฎีกาเพื่อสั่งให้ทำลายล้างชาวยิวทั้งหมดที่อยู่ใต้การปกครองของเขา เมื่อเชลยชาวยิวที่ชื่อโมรเดคัยทราบข่าวนี้ เขาได้ท้าทายเอสเธอร์ผู้เป็นหลานสาว ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นราชินีให้เข้าเฝ้าวิงวอนกษัตริย์เพื่อขอชีวิตชนชาติของเธอ
การเขาเฝ้าโดยมิได้ทรงเรียกอาจมีโทษถึงตาย แต่เพื่อช่วยประชากรของพระเจ้า เอสเธอร์จึงยอมเสี่ยง
ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีคริสเตียนนับล้านที่ตายเพราะความเชื่อ แต่เราก็ยังอุ่นใจที่ได้รู้ว่าบุคคลเหล่านั้นที่สละชีวิตเพื่อเป็นพยานถึงพระเยซู เขาตายด้วยเกียรติยศสูงสุด
บิดาของคอร์รี่ เทนบูม เข้าใจความจริงข้อนี้อย่างกระจ่าง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองหมอสอนศาสนาชาวเดนมาร์กผู้หนึ่งไม่ยอมให้ทารกเข้าในที่หลบภัย เขาพูดว่า “พวกเราอาจจะตายกันหมดเพราะเด็กชาวยิวคนนี้” แต่คุณพ่อเทนบูมอุ้มเด็กขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วกล่าวว่า “คุณพูดว่าเราจะตายเพราะเด็กคนนี้ แต่ผมกลับคิดถึงเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่ครอบครัวผมจะได้รับ”
พวกเราส่วนมากคงไม่ต้องเผชิญการทดสอบอย่างเอสเธอร์ และครอบครัวเทนบูมแต่ชีวิตของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่หนุนใจเราทุกคนให้มีความกล้าหาญ พวกเขารู้ดีว่า มีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
การตายเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อแสดงความรักที่มีต่อพระองค์ เป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระเกียรติและพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิจ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
3 ธันวาคม 2012
“อะไรทำให้พระเจ้าหัวเราะ”
พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล พระเจ้าทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
สดุดี 2:4
ในเย็นวันหนึ่งขณะที่ผมล้างรถ ผมเหลือบไปเห็นดวงอาทิตย์จวนจะแตะกับขอบโลก ผมหันสายยางพุ่งไปเพื่อจะดับลำแสงนั้นทันทีโดยไม่คิด แล้วผมก็หัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงอาการไร้สาระของตัวเอง
ผมนึกถึงการหัวเราะของพระเจ้าในสดุดีบทที่ 2 เมื่อชนชาติที่โหดร้ายวางแผนจะทำลายผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ นับว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่พระองค์ยังทรงประทับอย่างสงบและไม่สะทกสะท้านอยู่บนสวรรค์ ความอวดดีของมนุษย์ที่จะต่อต้านฤทธิอำนาจของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องน่าขัน พระองค์ทรงพระสรวลเย้ยหยันเขาเหล่านั้น
แต่นี่เป็นการหัวเราะอย่างโหดร้ายอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย! การหัวเราะของพระองค์ยังแฝงไว้ด้วยความเห็นใจในความหลงผิดของเขา พระองค์เองไม่ทรงพอพระทัยในความตายของคนอธรรม (อสค.33:11) และพระองค์มาบังเกิด เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ร้องไห้คร่ำครวญถึงกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อประชากรของพระองค์เองปฏิเสธพระองค์ (มธ.23:37-39) พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในการพิพากษาและในพระทัยเมตตากรุณาด้วย (อพย.34:6-7)
การหัวเราะของพระเจ้าให้ความมั่นใจแก่เราว่า ในที่สุดพระคริสตทรงเป็นผู้มีชัยเหนือซาตาน การต่อต้านพระองค์และแผนการของพระองค์นั้นไร้ผลแทนที่จะเป็นศัตรูกับพระองค์ เราควรยอมจำนนต่อพระเยซูคริสต์และเข้าลี้ภัยในพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า การได้เข้าลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุขจริง ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน