ธรรมชีวิต 4-10 ธันวาคม 2012
4 ธันวาคม 2012
“เรียนรู้ที่จะสอน”
...เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่…
โยบ 1:8
หลังจากที่พ่อของฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ตาข้างหนึ่ง ถึงขั้นต้องผ่าตัดออก แพทย์และพยาบาลต่างพูดกันว่าพ่อยอมรับความสูญเสียได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่พบได้น้อยมาก ตลอดช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นฉันไม่เคยได้ยินพ่อบ่นเลย
หลังเกิดอุบัติเหตุมีคนถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น? พ่อของเธอต้องเรียนรู้เรื่องอะไรอีกหรือตอนอายุขนาดนี้”
ไม่ใช่ว่าโศกนาฏกรรมทุกอย่างเป็นผลมาจากการตีสอนของพระเจ้าเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มีสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากความเจ็บปวด แต่ในกรณีนี้ พ่อของฉันเป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอน ปฏิกิริยาของพ่อต่อความเจ็บปวดและการสูญเสีย รวมทั้งท่าทีที่ยังคงสัตย์ซื่อของแม่ แม้ท่านเองจะมีปัญหาสุขภาพ ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่โยบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าพูดนั้นเป็นความจริง ตอนที่เขาเจ็บปวดที่สุด ภรรยาบอกเขาว่า “จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยป.2:9) แต่โยบตอบว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้าและจะไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ” (ข้อ 10)
โยบไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงต้องทนทุกข์ แต่เขาก็ยืนหยัดในความเชื่อมั่นคงต่อพระเจ้าผู้ทรงมีสิทธิ์อนุญาตให้เกิดทั้งเรื่องดีและไม่ดีขึ้นในชีวิตของเรา ในเวลาที่เราเจ็บปวด เราควรจะพิจารณาดูว่าพระเจ้าต้องการให้เราสอนอะไรและพระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ในสิ่งใด
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานพ่อให้แบบอย่างที่ข้าพระองค์มองเห็นและสัมผัสได้ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะเดินตามทางที่พ่อสอนไว้นั้น ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
5 ธันวาคม 2012
“คำสอนของพ่อ”
เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด
ลูกา 19:10
ไม่มีใครชอบศักเคียส เขาเป็นคนเก็บภาษีให้กับโรมที่เขามายึดครองอย่างกดขี่ เขาร่ำรวยด้วยการขูดรีดเพื่อนรวมชาติ แต่ฝูงชนก็ต้องตกตะลึงเพราะพระเยซูทรงให้เกียรติเขา ด้วยการไปร่วมรับประทานอาหารกับเขาที่บ้าน
คุณพ่อของผมท่านเป็นผู้พิพากษาที่ขึ้นชื่อด้านความเข้มงวดท่านหนึ่ง เล่าว่าท่านได้เรียนรู้การรักคนที่ไม่น่ารักจากคำเทศนาในเช้าวันอาทิตย์ อาจารย์ผู้เทศนาได้หนุนใจสมาชิกให้มองคนอื่นด้วยสายตาของพระเยซู หลายวันต่อมา คุณพ่อกำลังจะตัดสินใช้บทลงโทษขั้นรุนแรงกับชายหนุ่มหัวรั้นที่ก่อเรื่องมาโดยตลอด แต่แล้วท่านก็นึกถึงคำเทศนานั้น ท่านกล่าวว่า “พ่อมองที่ดวงตาของหนุ่มคนนั้นและบอกเขาว่า ผมคิดว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดและมีความสามารถ แล้วท่านก็พูดกับเขาว่า ‘ลองมาคุยกันว่าเราจะช่วยให้เธอมีชีวิตที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์มากขึ้นได้อย่างไร’ ทั้งสองพูดคุยกันได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ”
พระเยซูมองศักเคียสเป็นคนบาปที่กลวงเปล่า และมีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะเติมเต็มได้ ด้วยพระเมตตาของพระองค์ ศักเคียสได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ แม้คุณพ่อจะไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนั้น แต่ใครจะรู้ว่าผลระยะยาวจะเป็นอย่างไร? ท่านได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเรา เพราะท่านมองชายคนนั้นด้วยสายตาของพระเยซู
ข้าแต่พระเจ้าขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะมอง และเข้าใจผู้อื่นดังที่พระเยซูทรงกระทำด้วยเถิด ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
6 ธันวาคม 2012
“รักษาความยุติธรรม”
อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มากจะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
อพยพ 23:2
หลายทศวรรษหลังมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ถูกลอบสังหาร วันเกิดของเขาถูกตั้งเป็นวันหยุดประจำชาติของอเมริกา และยังเป็นวันที่ผู้คนจะระลึกถึงสาเหตุแห่งการเสียชีวิตของเขา
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ดร.คิง เป็นผู้นำในการประท้วงอย่างสงบเพื่อต่อต้านการเหยียดผิวและเรียกร้องสิทธิการเป็นพลเมืองให้กับคนอัฟริกัน อเมริกัน เป้าหมายของเขาคือความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ มิใช่ตัดสินกันที่สีผิว
ตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิมจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าใด้สั่งให้ประชากรของพระองค์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรม “อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเขาข้างคนหมู่มากจะทำให้ขาดความยุติธรรมไป” (อพย. 23:2)
“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดีและพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณาและดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า” (มีคา.6:8)
พระเยซูตำหนิพวกฟาริสีที่ปฏิบัติศาสนกิจและละเลย “ความชอบธรรมและความรักพระเจ้า” (ลก.11:42)
การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรมและความสัตย์ซื่อเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของเราในฐานะคริสเตียน การยืนหยัดต่อหน้าฝูงชนเพื่อสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่เราต้องปฏิบัติเช่นกัน ขอให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการกระทำที่สำแดงความสัจจริงแก่โลก
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ เดินตามพระมรรคาของพระองค์เสมอเถิด ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
7 ธันวาคม 2012
“ตรงประเด็น”
...ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ...
กาลาเทีย 2:16
สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดเกี่ยวกับเปาโลก็คือเขาเป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม ไม่ว่าผู้ที่เปาโลพูดด้วยจะเป็นใคร เป็นผู้พิพากษา เป็นเจ้าเมืองหรือเปโตรเพื่อนของเขาเอง เขาก็จะพูดสิ่งที่เขาจำเป็นต้องพูดในกาลาเทีย 2:16 เขากล่าวย้ำเรื่องเดิมถึง 3 ครั้ง นั่นคือไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติเป็นประเด็นล่อแหลมในคริสตจักรยุคแรกเพราะว่าผู้เชื่อจำนวนมากเป็นชาวยิว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อพระเยซู แต่บางคนก็ไม่สามารถละทิ้งการเคร่งครัดตามธรรมบัญญัติได้ ผมนึกภาพพวกเขาพูดกันว่า “เราไม่อาจรอดได้ถ้าไม่เข้าสุหนัต และกินเนื้อที่ถวายให้รูปเคารพ และผู้เชื่อชาวยิวห้ามรับประทานร่วมกับพวกต่างชาติโดยเด็ดขาด” แต่เปาโลได้บอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคิดผิด การคืนดีกับพระเจ้ามาจากความเชื่อเท่านั้น มิใช่โดยเงื่อนไขที่คริสตจักรหรือใครก็ตามตั้งขึ้นมา
ซาตานผู้สร้างความสับสนพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พระกิตติคุณผิดเพี้ยนไป โดยทำให้เราคิดว่าแค่ความเชื่อไม่เพียงพอ มันใส่ความปรารถนาที่จะควบคุมให้กับเรา ให้เราอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยตัวเองให้รอด ไม่ว่าจะเป็นการถวายสิบลดไปจนถึงการไปคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ เสื้อผ้าที่ใส่และสิ่งบันเทิงที่เราเลือกเสพ สิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับผู้เชื่อ แต่ไม่เกี่ยวกับความรอด ประเด็นก็คือ ความรอดมาจากความเชื่อเท่านั้น
พระบิดาที่รัก ขอบพระคุณที่เป็นพระคุณของพระองค์ล้วนๆ ที่ทรงยกโทษความบาปผิดของเราทั้งหลายและทรงโปรดให้เรารอดจากบึงไฟนรก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
8 ธันวาคม 2012
“ห้ามโกรธหลังตะวันตกดิน”
...อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
เอเฟซัส 4:26
เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งทะเลาะกับพี่ชายของเขาและรู้สึกโกรธมาก เมื่อพี่ชายพยายามจะคืนดีเขาก็ไม่ยอมฟัง เขาไม่ยอมพูดกับพี่เลยตลอดทั้งวัน
เมื่อถึงเวลาเข้านอน คุณแม่พูดกับเด็กน้อยว่า “ลูกไม่คิดจะให้อภัยพี่ก่อนเข้านอนหรือจ๊ะ? จำได้ไหม พระคัมภีร์บอกว่า อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่” (อฟ.4:26) เด็กชายดูท่าทางยุ่งยากใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดโพล่งออกมาว่า “แต่จะทำยังไงผมถึงจะห้ามตะวันไม่ให้ตกละฮะ?”
เขาทำให้ผมนึกถึงคริสเตียนบางคน ที่มีความโกรธเคืองและยังคงเก็บความแค้นใจไว้ เมื่อพวกเขาถูกตักเตือนถึงการไม่ให้อภัยและได้รับคำแนะนำให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาจะพยายามเฉไฉประเด็น และหลบเลี่ยงไม่ทำตามคำแนะนำที่บอกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ จริงอยู่ที่เราไม่สามารถเปลี่ยนใจ ของคนอื่นได้ แต่เราจัดการกับท่าทีของเราเองได้ พระคัมภีร์บอกว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกันและอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (อฟ.4:32)
เราไม่สามารถห้ามดวงอาทิตย์ตก แต่เราสามารถยับยั้งความโกรธของเราได้ นั่นหมายความว่าเราต้องให้อภัย
พระบิดาที่รัก ขอทรงช่วยที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถยกโทษให้ผู้ที่กระทำผิดต่อข้าพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
9 ธันวาคม 2012
“ความเชื่อทำให้แตกต่าง”
คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า”…
สดุดี 14:1
จะเป็นอย่างไรหากเราไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่เห็นด้วยกับทฤษฎีที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างทฤษฎีวิวัฒนาการ? สมมุติถ้าเราไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า วิลเลียม โปรวีน นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลกล่าวในการอภิปรายครั้งหนึ่งว่า “ถ้าคุณยึดมั่นในทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน คุณเชื่อว่าไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีแหล่งกำเนิดของจริยธรรม การมีชีวิตอยู่ของเราไร้จุดมุ่งหมาย ไม่มีแม้กระทั่งอิสระในการเลือก ชีวิตคงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า”
แทนที่จะอยู่อย่างหม่นหมองในความไม่เชื่อเช่นนั้น เราสามารถเปิดใจเชื่อพระเจ้าผู้ทรงสำแดงพระองค์ทางพระเยูซคริสต์พระบุตร และรับการอภัยบาปจากการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราจะได้รับความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์และรับพระพรอย่างเหลือล้นให้มีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย และมีความหวัง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่พระเยซูตรัสในยอห์น 8:52 “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
ขณะที่เราเดินทางท่องไปในโลก เราไม่จำเป็นต้องเดินสะดุดอยู่ในความไม่เชื่ออันมืดมิด แต่เราสามารถเดินอย่างมั่นใจในความสว่างไปสู่พระพรนิรันดร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือความแตกต่างที่เกิดจากการเชื่อพระเยซูคริสต์
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ ให้ได้เดินอยู่ในความเชื่อซึ่งผ่านไปอีกหนึ่งปี ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
10 ธันวาคม 2012
“โลกภายนอก”
...พวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อมั่นได้ละเลยเสีย…
มัทธิว 23:23
ความเชื่อในพระเยซูคริสต์มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าเราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองชีวิตเราและทรงครอบครองมนุษยชาติด้วย เราจะไม่กล้าละเลย “โลกส่วนรวม” และเอาแต่สนใจ “โลกส่วนตัว” การจำกัดสิทธิอำนาจของพระองค์อยู่แค่ปัญหาส่วนตัวของเราคือการลดเกียรติของพระเจ้า เราเห็นว่าพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญอย่างไรเมื่อเราแสวงหาน้ำพระทัยในเรื่องการย้ายบ้านหรือการแต่งงาน แต่ไม่เคยแสวงหาพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อผู้ไร้ที่อยู่อาศัย สิทธิของทารกที่ไม่ได้ลืมตาดูโลก หรือการเหยียดผิว? การพัฒนาชีวิตส่วนตัว เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ถ้าไม่สนใจปัญหาสังคมการพัฒนาของเราก็จำกัดและอ่อนเกินไป เราต้องคำนึงว่าพระคริสต์ทรงต้องการให้เราทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมในชุมชนและในโลก
ในทางกลับกัน การเน้นที่ปัญหาสังคมโดยไม่เน้นชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้าก็เหมือนการเต้นรำด้วยขาข้างเดียว ถ้าเราทุ่มเทกับงานบางอย่างโดยไม่ทุ่มเทกับพระคริสต์ เราอาจได้อำนาจทางการเมืองมาโดยต้องสูญเสียฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไป
ผู้ที่ไม่มีพระเจ้าปฎิเสธไม่ยอมรับว่าพระคริสต์มีสิทธิเหนือการตัดสินใจต่างๆ ของเขาแต่เราที่เป็นคริสเตียนจะแก้ตัว-อย่างไรหากเราลืมว่าอำนาจปกครองของพระองค์เหนือ “โลกส่วนตัว” นั้น กว้างไกลไปถึง “โลกส่วนรวม” ด้วย
ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประทานเสรีภาพให้ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองและประเทศชาติ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน