gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

ธรรมชีวิต 4-10 ธันวาคม 2012

4 ธันวาคม 2012

“เรียนรู้ที่จะสอน”

...เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่

โยบ 1:8

หลังจากที่พ่อของฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ตาข้างหนึ่ง ถึงขั้นต้องผ่าตัดออก แพทย์และพยาบาลต่างพูดกันว่าพ่อยอมรับความสูญเสียได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่พบได้น้อยมาก ตลอดช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นฉันไม่เคยได้ยินพ่อบ่นเลย

หลังเกิดอุบัติเหตุมีคนถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น? พ่อของเธอต้องเรียนรู้เรื่องอะไรอีกหรือตอนอายุขนาดนี้”

ไม่ใช่ว่าโศกนาฏกรรมทุกอย่างเป็นผลมาจากการตีสอนของพระเจ้าเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มีสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากความเจ็บปวด แต่ในกรณีนี้ พ่อของฉันเป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอน ปฏิกิริยาของพ่อต่อความเจ็บปวดและการสูญเสีย รวมทั้งท่าทีที่ยังคงสัตย์ซื่อของแม่ แม้ท่านเองจะมีปัญหาสุขภาพ ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่โยบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าพูดนั้นเป็นความจริง ตอนที่เขาเจ็บปวดที่สุด ภรรยาบอกเขาว่า “จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยป.2:9) แต่โยบตอบว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้าและจะไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ” (ข้อ 10)

โยบไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงต้องทนทุกข์ แต่เขาก็ยืนหยัดในความเชื่อมั่นคงต่อพระเจ้าผู้ทรงมีสิทธิ์อนุญาตให้เกิดทั้งเรื่องดีและไม่ดีขึ้นในชีวิตของเรา ในเวลาที่เราเจ็บปวด เราควรจะพิจารณาดูว่าพระเจ้าต้องการให้เราสอนอะไรและพระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ในสิ่งใด

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานพ่อให้แบบอย่างที่ข้าพระองค์มองเห็นและสัมผัสได้ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะเดินตามทางที่พ่อสอนไว้นั้น ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 

 

5 ธันวาคม 2012

“คำสอนของพ่อ”

เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด

ลูกา 19:10

ไม่มีใครชอบศักเคียส เขาเป็นคนเก็บภาษีให้กับโรมที่เขามายึดครองอย่างกดขี่ เขาร่ำรวยด้วยการขูดรีดเพื่อนรวมชาติ แต่ฝูงชนก็ต้องตกตะลึงเพราะพระเยซูทรงให้เกียรติเขา ด้วยการไปร่วมรับประทานอาหารกับเขาที่บ้าน

คุณพ่อของผมท่านเป็นผู้พิพากษาที่ขึ้นชื่อด้านความเข้มงวดท่านหนึ่ง เล่าว่าท่านได้เรียนรู้การรักคนที่ไม่น่ารักจากคำเทศนาในเช้าวันอาทิตย์ อาจารย์ผู้เทศนาได้หนุนใจสมาชิกให้มองคนอื่นด้วยสายตาของพระเยซู  หลายวันต่อมา คุณพ่อกำลังจะตัดสินใช้บทลงโทษขั้นรุนแรงกับชายหนุ่มหัวรั้นที่ก่อเรื่องมาโดยตลอด แต่แล้วท่านก็นึกถึงคำเทศนานั้น ท่านกล่าวว่า “พ่อมองที่ดวงตาของหนุ่มคนนั้นและบอกเขาว่า ผมคิดว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดและมีความสามารถ แล้วท่านก็พูดกับเขาว่า ‘ลองมาคุยกันว่าเราจะช่วยให้เธอมีชีวิตที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์มากขึ้นได้อย่างไร’ ทั้งสองพูดคุยกันได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ”

พระเยซูมองศักเคียสเป็นคนบาปที่กลวงเปล่า และมีแต่พระองค์เท่านั้นที่จะเติมเต็มได้ ด้วยพระเมตตาของพระองค์  ศักเคียสได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ แม้คุณพ่อจะไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนั้น แต่ใครจะรู้ว่าผลระยะยาวจะเป็นอย่างไร? ท่านได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเรา เพราะท่านมองชายคนนั้นด้วยสายตาของพระเยซู

ข้าแต่พระเจ้าขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะมอง และเข้าใจผู้อื่นดังที่พระเยซูทรงกระทำด้วยเถิด ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

6 ธันวาคม 2012

“รักษาความยุติธรรม”

อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มากจะทำให้ขาดความยุติธรรมไป

อพยพ 23:2

หลายทศวรรษหลังมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์  ถูกลอบสังหาร วันเกิดของเขาถูกตั้งเป็นวันหยุดประจำชาติของอเมริกา และยังเป็นวันที่ผู้คนจะระลึกถึงสาเหตุแห่งการเสียชีวิตของเขา

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ดร.คิง เป็นผู้นำในการประท้วงอย่างสงบเพื่อต่อต้านการเหยียดผิวและเรียกร้องสิทธิการเป็นพลเมืองให้กับคนอัฟริกัน อเมริกัน เป้าหมายของเขาคือความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ มิใช่ตัดสินกันที่สีผิว

ตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิมจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าใด้สั่งให้ประชากรของพระองค์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรม “อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเขาข้างคนหมู่มากจะทำให้ขาดความยุติธรรมไป” (อพย. 23:2)

“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดีและพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณาและดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า” (มีคา.6:8)

พระเยซูตำหนิพวกฟาริสีที่ปฏิบัติศาสนกิจและละเลย “ความชอบธรรมและความรักพระเจ้า” (ลก.11:42)

การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรมและความสัตย์ซื่อเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของเราในฐานะคริสเตียน การยืนหยัดต่อหน้าฝูงชนเพื่อสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่เราต้องปฏิบัติเช่นกัน   ขอให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการกระทำที่สำแดงความสัจจริงแก่โลก

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ เดินตามพระมรรคาของพระองค์เสมอเถิด ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

7 ธันวาคม 2012

“ตรงประเด็น”

...ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ...

กาลาเทีย 2:16

สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดเกี่ยวกับเปาโลก็คือเขาเป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม ไม่ว่าผู้ที่เปาโลพูดด้วยจะเป็นใคร เป็นผู้พิพากษา เป็นเจ้าเมืองหรือเปโตรเพื่อนของเขาเอง เขาก็จะพูดสิ่งที่เขาจำเป็นต้องพูดในกาลาเทีย 2:16 เขากล่าวย้ำเรื่องเดิมถึง 3 ครั้ง นั่นคือไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ  ธรรมบัญญัติเป็นประเด็นล่อแหลมในคริสตจักรยุคแรกเพราะว่าผู้เชื่อจำนวนมากเป็นชาวยิว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อพระเยซู แต่บางคนก็ไม่สามารถละทิ้งการเคร่งครัดตามธรรมบัญญัติได้ ผมนึกภาพพวกเขาพูดกันว่า “เราไม่อาจรอดได้ถ้าไม่เข้าสุหนัต และกินเนื้อที่ถวายให้รูปเคารพ และผู้เชื่อชาวยิวห้ามรับประทานร่วมกับพวกต่างชาติโดยเด็ดขาด” แต่เปาโลได้บอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาคิดผิด การคืนดีกับพระเจ้ามาจากความเชื่อเท่านั้น มิใช่โดยเงื่อนไขที่คริสตจักรหรือใครก็ตามตั้งขึ้นมา

ซาตานผู้สร้างความสับสนพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พระกิตติคุณผิดเพี้ยนไป โดยทำให้เราคิดว่าแค่ความเชื่อไม่เพียงพอ มันใส่ความปรารถนาที่จะควบคุมให้กับเรา ให้เราอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยตัวเองให้รอด ไม่ว่าจะเป็นการถวายสิบลดไปจนถึงการไปคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ เสื้อผ้าที่ใส่และสิ่งบันเทิงที่เราเลือกเสพ สิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับผู้เชื่อ แต่ไม่เกี่ยวกับความรอด  ประเด็นก็คือ ความรอดมาจากความเชื่อเท่านั้น

พระบิดาที่รัก ขอบพระคุณที่เป็นพระคุณของพระองค์ล้วนๆ ที่ทรงยกโทษความบาปผิดของเราทั้งหลายและทรงโปรดให้เรารอดจากบึงไฟนรก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

8 ธันวาคม 2012

“ห้ามโกรธหลังตะวันตกดิน”

...อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่

เอเฟซัส 4:26

เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งทะเลาะกับพี่ชายของเขาและรู้สึกโกรธมาก เมื่อพี่ชายพยายามจะคืนดีเขาก็ไม่ยอมฟัง เขาไม่ยอมพูดกับพี่เลยตลอดทั้งวัน

เมื่อถึงเวลาเข้านอน คุณแม่พูดกับเด็กน้อยว่า “ลูกไม่คิดจะให้อภัยพี่ก่อนเข้านอนหรือจ๊ะ? จำได้ไหม พระคัมภีร์บอกว่า อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่” (อฟ.4:26) เด็กชายดูท่าทางยุ่งยากใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดโพล่งออกมาว่า “แต่จะทำยังไงผมถึงจะห้ามตะวันไม่ให้ตกละฮะ?”

เขาทำให้ผมนึกถึงคริสเตียนบางคน ที่มีความโกรธเคืองและยังคงเก็บความแค้นใจไว้ เมื่อพวกเขาถูกตักเตือนถึงการไม่ให้อภัยและได้รับคำแนะนำให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาจะพยายามเฉไฉประเด็น และหลบเลี่ยงไม่ทำตามคำแนะนำที่บอกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ จริงอยู่ที่เราไม่สามารถเปลี่ยนใจ ของคนอื่นได้ แต่เราจัดการกับท่าทีของเราเองได้ พระคัมภีร์บอกว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกันและอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (อฟ.4:32)

เราไม่สามารถห้ามดวงอาทิตย์ตก แต่เราสามารถยับยั้งความโกรธของเราได้ นั่นหมายความว่าเราต้องให้อภัย

พระบิดาที่รัก ขอทรงช่วยที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถยกโทษให้ผู้ที่กระทำผิดต่อข้าพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

 

 

 

 

 

 

 

9 ธันวาคม 2012

“ความเชื่อทำให้แตกต่าง”

คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า”

สดุดี 14:1

จะเป็นอย่างไรหากเราไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่เห็นด้วยกับทฤษฎีที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างทฤษฎีวิวัฒนาการ? สมมุติถ้าเราไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า  วิลเลียม โปรวีน นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลกล่าวในการอภิปรายครั้งหนึ่งว่า “ถ้าคุณยึดมั่นในทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน คุณเชื่อว่าไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีแหล่งกำเนิดของจริยธรรม การมีชีวิตอยู่ของเราไร้จุดมุ่งหมาย ไม่มีแม้กระทั่งอิสระในการเลือก ชีวิตคงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า”

แทนที่จะอยู่อย่างหม่นหมองในความไม่เชื่อเช่นนั้น เราสามารถเปิดใจเชื่อพระเจ้าผู้ทรงสำแดงพระองค์ทางพระเยูซคริสต์พระบุตร และรับการอภัยบาปจากการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราจะได้รับความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์และรับพระพรอย่างเหลือล้นให้มีชีวิตที่มีจุดมุ่งหมาย และมีความหวัง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่พระเยซูตรัสในยอห์น 8:52 “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

ขณะที่เราเดินทางท่องไปในโลก เราไม่จำเป็นต้องเดินสะดุดอยู่ในความไม่เชื่ออันมืดมิด แต่เราสามารถเดินอย่างมั่นใจในความสว่างไปสู่พระพรนิรันดร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือความแตกต่างที่เกิดจากการเชื่อพระเยซูคริสต์

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ ให้ได้เดินอยู่ในความเชื่อซึ่งผ่านไปอีกหนึ่งปี ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

10 ธันวาคม 2012

“โลกภายนอก”

...พวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อมั่นได้ละเลยเสีย

มัทธิว 23:23

ความเชื่อในพระเยซูคริสต์มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าเราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองชีวิตเราและทรงครอบครองมนุษยชาติด้วย เราจะไม่กล้าละเลย “โลกส่วนรวม” และเอาแต่สนใจ “โลกส่วนตัว” การจำกัดสิทธิอำนาจของพระองค์อยู่แค่ปัญหาส่วนตัวของเราคือการลดเกียรติของพระเจ้า เราเห็นว่าพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญอย่างไรเมื่อเราแสวงหาน้ำพระทัยในเรื่องการย้ายบ้านหรือการแต่งงาน แต่ไม่เคยแสวงหาพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อผู้ไร้ที่อยู่อาศัย สิทธิของทารกที่ไม่ได้ลืมตาดูโลก หรือการเหยียดผิว? การพัฒนาชีวิตส่วนตัว เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ถ้าไม่สนใจปัญหาสังคมการพัฒนาของเราก็จำกัดและอ่อนเกินไป  เราต้องคำนึงว่าพระคริสต์ทรงต้องการให้เราทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมในชุมชนและในโลก

ในทางกลับกัน การเน้นที่ปัญหาสังคมโดยไม่เน้นชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้าก็เหมือนการเต้นรำด้วยขาข้างเดียว ถ้าเราทุ่มเทกับงานบางอย่างโดยไม่ทุ่มเทกับพระคริสต์ เราอาจได้อำนาจทางการเมืองมาโดยต้องสูญเสียฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไป

ผู้ที่ไม่มีพระเจ้าปฎิเสธไม่ยอมรับว่าพระคริสต์มีสิทธิเหนือการตัดสินใจต่างๆ ของเขาแต่เราที่เป็นคริสเตียนจะแก้ตัว-อย่างไรหากเราลืมว่าอำนาจปกครองของพระองค์เหนือ “โลกส่วนตัว” นั้น กว้างไกลไปถึง “โลกส่วนรวม” ด้วย

ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประทานเสรีภาพให้ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองและประเทศชาติ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?