ชีวิตที่สะอาด
ชีวิตที่สะอาด
โดย ดร.นรนิตย์ จินดาขันธ์
ความสกปรกถือเป็นสิ่งสกปรกภายนอก แต่ความบาปเป็นสิ่งสกปรกภายใน และพระเจ้าจะไม่อวยพระพรเมื่อพระวิหารนั้นไม่บริสุทธิ์ เมื่อคนบาปเชื่อว่าพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รับการชำระทั้งหมด และความบาปของเขาก็ได้รับการอภัยทั้งสิ้น “แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนอย่างนั้น” เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อเมืองโครินธิ์ “แต่ท่านได้รับการชำระแล้ว”(1 โครินธิ์ 6:11) “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างเท้าเท่านั้น” พระเยฃูตรัสกับเปโตรในห้องชั้นบน (ยอห์น 13:10) การชำระเพียงครั้งเดียวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้การรวมกันของเรากับพระคริสต์เป็นไปได้ แต่เป็นการชำระทุกวันของเราที่รักษาความสนิทสนมนี้ไว้ เราได้รับเข้าเป็นบุตรโดยการรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นคือเรารักษาการสามัคคีธรรมโดยการรักษาชีวิตของเราให้สะอาด ด้วยการสารภาพความบาปของเราต่อพระองค์
มี 3 ประโยค ในพระคัมภีร์ที่เล็งถึงวิธีที่สะอาด เป็นชีวิตที่พระวิญญาณสามารถเติมเต็มและให้พลังอำนาจแก่เราได้
1. ขอชำระข้าพระองค์ (สดุดี 51:2-7) อย่างที่เราทุกคนรู้ดีว่า สดุดี 51 บันทึกความเศร้าโศกของกษัตริย์ดาวิดในการสารภาพบาปเมื่อเขาเผชิญหน้ากับความบาปอันใหญ่หลวงของเขากับนางบัทเชบา เขาสมสู่กับนางและทำให้สามีของนางเมาเหล้า จากนั้นก็วางแผนให้เขาไปตายและดาวิดเก็บความบาปผิดนี้ไว้เองนานนับเดือน สดุดี 32 บันทึกถึงความที่น่าเศร้าที่มาจากความบาปของดาวิด ซึ่งส่งผลกับทั้งร่ายกายและจิตวิญญาณของเขา และ สดุดี 51 ก็เพิ่มเติมให้เห็นภาพนั้น
อย่าประมาทผลของความเสียหายรุนแรงของความบาป ดาวิดสูญเสียความบริสุทธิ์ภายในของเขา สูญเสียความชื่นชมยินดีของเขา คำพยานของเขา สันติสุขของเขา การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าของเขา และแม้แต่สุขภาพของเขาไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อการตัดสินมาถึงใจของเขาดาวิดก็ร้องต่อพระเจ้าว่า “ขอทรงชำระข้าพระองค์” (51:7)
แน่นอนว่าพระเจ้าทรงเต็มพระทัยที่จะยกโทษความบาปที่เราทำแต่ละวัน ดูเหมือนพระโลหิตที่ทำให้เรารอดได้นั้นมีพร้อมที่จะชำระเราเสมอ เราไม่ต้องการได้รับการชำระทั้งหมด เราต้องการเพียงการชำระเท้าของเราเท่านั้น เพื่อให้พระโลหิตของพระคริสต์ขจัดความสกปรกในวิถีชีวิตแต่ละวันของเรานั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าขอให้เรากระทำคือการสารภาพบาปของเรา “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และทรงชำระเราให้พ้นจากอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
หลักการสำคัญในข้อความนี้คือ คำสารภาพ หมายถึง “การพูดสิ่งเดียวกัน” เมื่อผมสารภาพความบาปของผม ผมคาดหมายว่าจะพูดเหมือนกันกับที่พระเจ้าตรัส “ข้าแต่พระเจ้า ถ้าข้าพระองค์ทำบาป” นั้นไม่ได้เป็นการสารภาพบาป และไม่ใช่ “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดยกโทษให้ข้าพระองค์” การสารภาพที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับ การเผชิญกับความบาปอย่างตรงไปตรงมา ตัดสินความนั้น กลับใจ และบอกการทำบาปนั้นต่อพระเจ้า อย่างไรก็ตามพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อขจัดความบาปของเราให้หมดไป และเราไม่ควรถือว่าความบาปเป็นเรื่องเล่นๆ หรือเป็นเรื่องไม่สำคัญ การสารภาพทั่วไปไม่เกิดผลสักเท่าใดหรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่จะเกิดผลเมื่อเราให้พระวิญญาณจำพระคำมาใช้กับชีวิตของเราที่เราสามารถเห็นความสกปรกภายใน และสามารถจัดการกับความบาปของเราได้ทีละอย่าง
“ขอทรงชำระข้าพระองค์” คือขั้นแรกที่จะมีชีวิตที่สะอาด เมื่อเราเชื่อในพระโลหิตของพระคริสต์ พระโลหิตจะชำระเราให้สะอาดจากความบาป เมื่อเราเปิดใจและความคิดของเราออกให้พระคำเข้ามา น้ำแห่งพระวจนะจะชำระภายใน ชำระจิตสำนึก และเราจะประสบกับการฟื้นใจและความสดชื่นขึ้น
เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะหันกลับมาหาพระคำของพระองค์ทันทีหลังจากที่เราสารภาพความบาปของเรา เพราะพระเจ้าทรงใช้พระคำเพื่อชำระภายใน และประทานสันติสุขให้กับจิตสำนึกที่มีความลำบาป มิฉะนั้นซาตานจะเข้าไปทำงานและทำให้เราหัวเสียกับการปรักปรำของมัน
2. จงชำระตัวของเจ้า (อิสยาห์ 1:16) ตอนนี้มาถึงตาของเราบ้างแล้ว เราต้องมองที่ชีวิตของเราและขับไล่สิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยออกไป มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถอภัยโทษให้เราได้ แต่มีเพียงผู้เชื่อเท่านั้นที่สามารถเอาความบาปที่ทำให้เขาไม่สะอาดและทรุดโทรมออกจากชีวิตของเขาได้ นั่นคือสิ่งที่เปาโลหมายถึงใน 2 โครินธิ์ 7:1 “ดูก่อนท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนัง และวิญญาณจิตและจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า”
“ให้เราชำระตัวเรา” ชำระตัวเราจากอะไร จากมลทิน แล้วเป็นมลทินแบบไหน “มลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณจิต” บุตรน้อยหลงหายสำนึกผิดเป็นมลทินฝ่ายเนื้อหนัง เป็นความบาปเนื้อหนังฝ่ายร่างกาย แต่พี่ชายของเขาสำนึกผิดเป็นมลทินฝ่ายวิญญาณ ความใจแคบ ความอิจฉา ความไม่อดทน และความขมขื่น ทั้งหมดนี้เป็นความบาปที่เราต้องสารภาพกับพระเจ้าและจากนั้นโดยพระคุณของพระองค์ เราต้องกำจัดความบาปนี้ออกไปจากชีวิตของเราเป็นการไม่ฉลาดนักที่เราจะ “อธิษฐานเผื่อความบาปเหล่านี้” แล้วเพราะมันขึ้นมาใหม่ อะไรก็ตามในชีวิตของผมหรือในบ้านของผมที่ทำให้ผมทำบาปได้สะดวกขึ้น ผมต้องจัดการและขจัดมันออกไปโดยเร็ว ผมไม่ต้องขอให้พระเจ้าเป็นผู้กำจัด ผมต้องเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ และกำจัดมันทิ้งไปด้วยตัวของผมเอง
การกำจัดความบาปให้ภาพที่สวยงามไว้ใน “เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ” (อพยพ 12) เชื้อ(ยีสต์) แสดงภาพความบาปได้เป็นอย่างดี มันทำงานเงียบๆ และแพร่พิษร้ายออกไปโดยการฟูขึ้น
เปาโล ใช้การเปรียบเทียบ เมื่อเขาสั่งสอนชาวโครินธ์ให้จัดการกับสมาชิกที่ประพฤติผิด ซึ่งความบาปที่เขาทำนั้นทำให้การสามัคคีธรรมต้องเป็นมลทิน“ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียวย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน” (1 คร.5:6) เปาโลให้คำแนะนำอะไร ให้อธิษฐานหรือ ไม่ใช่ “จงชำระเชื้อเก่าเสีย”
3 ล้างเท้าของกันและกัน (ยอห์น 13:14; กจ.16:33) เป็นฉากในยามค่ำคืนทั้งสองฉาก ให้ภาพของหลักการชำระล้างที่พิเศษ
3.1 ฉากในห้องชั้นบน พระเยซูทรงถ่อมพระองค์ลงเพื่อจะล้างเท้าของบรรดาสาวก เป็นการเล็งถึงว่าให้การกระทำของพระองค์นั้นเป็นแบบอย่างให้คริสเตียนกระทำตาม พระองค์หมายถึงว่าเราต้องเต็มใจที่จะถ่อมตัวของเราลงต่อคนอื่นๆ และช่วยพวกเขาในการรักษาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด
3.2 ฉากนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเราพบนายคุกกำลังล้างแผลที่เขาเป็นคนลงมือเฆี่ยนเอง ช่างเป็นพยานถึงพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของชายคนหนึ่งได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ไม่เพียงแต่นายคุกคนนี้ได้เชื่อในพระคริสต์และยอมให้บาปของเขาได้รับการชำระเท่านั้น แต่เขายังล้างแผลที่เขาเองเป็นต้นเหตุ โดยการชดเชยความเสียหายที่เขาเป็นคนก่อขึ้น
นี่คือขั้นที่สาม เกี่ยวกับการมีชีวิตที่สะอาดคือ การล้างเท้า การล้างแผล และ การคืนดี กับคนอื่น.