ฉบับที่ 4 สุดท้าย จะรับใช้พระเจ้าอย่างไรในหนทางของพระองค์
ฉบับที่ 4 สุดท้าย จะรับใช้พระเจ้าอย่างไรในหนทางของพระองค์
(How To Serve God In His Way)
ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว
ให้ฝึกอยู่อย่างสม่ำเสมอ การฝึกอย่างสม่ำเสมอก็คือ การนำเอาสิ่งที่เราเรียนรู้ไปใช้ทุกครั้งเมื่อเรามีโอกาส หรือไม่มีก็ตาม เพราะฉะนั้น การฝึกแบบ “Short term” ระยะสั้นๆ นั้น ควรที่จะสอน 50% และ
ปฏิบัติ 50%
อะไรคือการสอนที่ดี? ก็คือ การทำในทันทีทันใด อย่าสอนเน้นไปในทางทฤษฎีมากเกินไป แต่ให้เราสอนเขาให้รู้จักใช้มือ คือการออกไปปฏิบัตินั่นเอง
ตัวอย่าง ถ้ามีใครสักคนหนึ่งที่ต้องการาเขียนตำรา เขาจะใช้เวลาในการเดินทางอาจจะเป็นเวลาประมาณถึง
30 ปีที่จะเขียนตำราดีๆ มีคุณภาพ อาจจะต้องเดินทางไปมากกว่า 100 ประเทศในโลกนี้ เพื่อที่จะเก็บข้อมูลมาฝึกใน
โปรแกรมนั้น ซึ่งเป็นผลิตผลที่ดีแต่ถ้าหากผู้ฝึกทำตามโปรแกรมนั้น ก็จะไม่สามารถผลิตผลอะไรได้เลย เพราะมันก็จะ
มีแต่ทฤษฎีที่มาจากความรอบรู้ของเราเอง (ต้องพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์)ให้เรามาดูคริสตจักรในสามประเทศนี้ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนมากก็มาจากการฝึกฝนแบบระยะสั้นๆ เช่น เกาหลี, บราซิล และชิลี ใน 3 ชาตินี้พื้นฐานในการเจริญเติบโต คริสตจักรของเขาล้วนแต่แพร่กระจายในการเจริญ
อย่างมากและผู้นำประสบความสำเร็จในชัยชนะอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน ผู้คนเป็นพันกลับใจมาสู่พระเยซูคริสต์เจ้า การฝึกของเขาคือ ให้พระคัมภีร์เป็นจุดศูนย์กลาง ส่วนแบบระยะสั้นนั้นเขาก็ฝึกอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสถาบันไม่สามารถเน้นได้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ การอุทิศและถวายตัวต่อพระเจ้าและชีวิตที่บริสุทธิ์และหนักแน่นในการฝึกฝน (ทันทีทันใดในการนำการสอนไปใช้)
ถ่ายทอดการเจิม (กดว.11:16-17)
พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เรา 70 คน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชน และเป็นเจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย จงพาเขามาที่เต็นท์นัดพบ ให้เขายืนพร้อมกับเจ้าที่นั่น” “เราจะมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนเขาเหล่านั้นเสียบ้าง ให้
เขาทั้งหลายแบกภาระชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง”
ให้เรามาดูการเจิมที่เป็นสาระสำคัญของพระเจ้าทั้ง 4 ประการว่ามีอะไรบ้าง?
การเจิมจำต้องมาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหรือเป็นแก่นสารสาระที่ สำคัญที่สุด (แต่เราละเลยเสีย) พื้นฐานของผู้นำคือ การพัฒนาการเจิม ถ้าไม่มีการเจิมที่มาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เหนือผู้นำเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ พระเยซูไม่เคยส่งผู้หนึ่งผู้ใดออกไปโดยขาดสิทธิอำนาจที่มาจากพระองค์ ลก.9:1 “พระองค์ทรงเรียกสาวก 12 คน มาพร้อมกันแล้วก็
ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆ ให้หาย” หลังจากที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
สิ่งนี้แล้ว พระองค์ได้ตรัสเรียกสาวก 70 คน เช่นเดียวกัน ใน (ลก.10:1)
กจ.1:4-5 “เมื่อพระองค์ได้พำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอย
รับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ”
“เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ
บริสุทธิ์”
กจ.1:8 “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือ
ท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจน
ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
พระเยซูเริ่มต้นรับใช้โดยกล่าวว่า ลก.4:18-19 “พระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่
เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้
ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสระภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ที่ถูก
บีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า” (เลวีนิติ 25:1-54)
ดังนั้น การเจิมจึงเป็นสิ่งสำคัญหรือแก่นสารสาระสำคัญสำหรับเราทุกคนที่จะรับใช้ (ใน กจ.1:5)
“พระเยซูตรัสสั่งสาวกว่า ต้องรับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” และ อฟ.5:18 “อาจารย์เปาโลกำชับว่า และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
การเจิมสำหรับผู้นำนั้นจะต้องฝึกผู้อื่นได้ด้วย
อย่าให้เราพลาดหลักพื้นฐานที่จำเป็นที่สุดในพระคำ กุญแจสำหรับการเจิมของผู้นำคือ การถ่ายทอดการเจิมนี้ไปสู่ผู้ฝึก ในความแตกต่างกันนี้ เราต้องการที่จะเน้นสำหรับผู้ที่ออกไปรับใช้แล้วไม่
เกิดผล หรือใครก็ตามที่รับใช้อยู่ในคริสตจักร ผู้ประกาศ แต่ไม่ผ่านและกลับมาสู่การสัมนาหรือฝึกฝนความสามารถในการเป็นผู้นำอีกทุกครั้งหรือเกือบรับใช้สำเร็จ ในกฎของการเก็บเกี่ยวได้พบว่าในพระคัมภีร์กล่าวเอาไว้ชัดเจนดังนี้ ปฐมการ 1:12,21 “แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ด
ตามชนิดของมัน และต้นไม้ก็ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าเห็นว่าดี” “พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ขนาดใหญ่ (ปลาวาฬ) และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และนกต่างๆ ตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” เราผลิตอะไรทีไม่เกิดผล ผู้ฝึกก็ไม่เกิดผลด้วยผู้นำที่จะประสบความสำเร็จต้องเป็นผู้ที่เต็มล้นไปด้วยการเจิมของพระวิญญาณ
บริสุทธิ์บนชีวิตของเขาผู้นั้น และนำไปสู่การฝึกการเป็นผู้นำ เมื่อผู้นำเต็มล้นไปด้วยการเจิม เขาก็จะผลิตผู้อื่นที่เต็มล้นไปด้วยการเจิมเช่นเดียวกัน และประสบความสำเร็จตามชนิดของสิ่งนั้น (พระเจ้าทรงเห็นว่าดี) เช่นเดียวกัน พระเจ้าตรัสกับโมเสสใน กดว.11:17 “เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนเขาเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง” เช่นเดียวกับ เอลียาห์ถ่ายทอดฤทธิ์เดชให้กับเอลีชาห์ ใน 2พกษ.2:9-15 (เปิดอ่าน) หรือ ยน.14:26 “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” หรือ ยน.15:26 “แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่าน ทั้งหลาย คือ พระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ได้เป็นพยานให้แก่เรา” ยน.16:7 “อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไปองค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้วเราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน”
การเจิมเป็นการแบ่งปัน
การเจิมเป็นการถ่ายทอดจากโมเสสสู่ผู้นำที่ได้ร่วมรับใช้กับท่าน การเจิมถ่ายทอดจากเอลียาห์สู่เอลีชาห์ผู้ร่วมรับใช้ การเจิมถ่ายทอดจากพระเยซูสู่สาวกผู้ร่วมรับใช้กับพระองค์ ในหลักพื้นฐานเดียวกันที่ได้ยึดถือมาโดยตลอด ผู้ฝึกถ่ายทอดการเจิมไปสู่ผู้รับการฝึก ทีนี้ใครก็ตามที่ทำการฝึกเขาก็จะต้องเต็มล้นไปด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้าอยู่เหนือชีวิตของเขาผู้นั้น กฎของการเก็บเกี่ยวจะเกิดผลได้เขาทั้งหลายจะต้องทำ ผลจะออกมาตามชนิดของมัน ถ้ามาจากพระวิญญาณผลก็จะเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กท.5:16,22-23)
ใครจะเป็นผู้ถ่ายทอดการเจิม
พระเจ้าตรัสใน กดว.11:17 (ผู้นำ) “เราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนเขาเหล่านั้นเสียบ้าง” มันเป็นสิ่งที่อยู่ใต้การนำ และพระเจ้าองค์สูงสุดจะเป็นผู้กระทำ พระเจ้าจะเป็นผู้ที่เลือก และรับรองตรงสู่ผู้นำในการถ่ายทอดนี้ ใน ฮบ.5:4 กล่าวว่า “และไม่มีผู้ใดตั้งต้นเองเป็นปุโรหิตได้ แต่พระเจ้าทรงเรียกเหมือนอย่างทรงเรียก อาโรน” “มันเป็นราชโองการโดยเฉพาะ” เช่นเดียวกันในพระคัมภีร์ใหม่ กจ.1:14 “พวกเขาร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับเพื่อนผู้หญิง”
กจ.13:1-3 “คราวนั้นในคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอักทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอนผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดาเจ้าเมือง และเซาโล” “เมื่อคนเหล่านั้นกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหาร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสสั่งว่า จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับการซึ่งเราเรียกให้เขาทำนั้น” “เมื่อถืออดอาหาร อธิษฐาน และวางมือบนบารนาบัสกับเซาโลแล้ว เขาก็ใช้ท่านไป” ดังนั้น เมื่อเราเต็มล้นไปด้วยการเจิม เมื่อนั้นเราก็พร้อมที่จะออกไปประกาศถึงการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา กจ.4:33 “อัครทูตจึงประกอบด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่งเป็นพยานว่า พระเยซูเจ้าได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน” คนที่เหมาะสมที่จะได้รับการถ่ายทอดการเจิม คือผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งโดยฤทธิ์เดชของพระองค์
ถ่ายทอดภาระ กดว.11:16-17;1ปต.5:3
“และพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชน และเป็นเจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย” ถ้าเราพบคนที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ให้เชิญชวนเขา บุคคลคนนั้นจะเต็มล้นไปด้วยพระพรในงานของพระเจ้า ถ้าเราพบบุคคลที่เต็มล้นไปด้วยสิทธิอำนาจ เป็นผู้คุ้มกันดี บุคคลเช่นนี้จะทำให้งานของพระเจ้าเกิดผลไม่เสียหาย ผู้นำไม่ใช่พระเจ้า “และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจแต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น” (1ปต.5:3)
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้รู้จักการครอบครอง (ปฐมการ1:26) “แล้วพระเจ้าตรัสว่า
ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไปและสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน”
ดังนั้น การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าองค์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรานั้นจำเป็นที่จะต้องมีการถ่ายทอดภาระร่วม
กัน เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์ของเราที่พระองค์เสด็จลงมาด้วยภาระหน้าที่ที่ได้รับมอมหมายมาจากองค์
พระบิดาเจ้า ซึ่งก็ทรงทราบอยู่แล้วว่าการเสด็จลงมาของพระองค์นั้นคือการมายอมตายบนไม้กางเขน เพื่อไถ่
บาปเรา แต่พระองค์ก็ยอมเพราะเห็นแก่เราทั้งหลายซึ่งเป็นคนบาป แต่ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับสู่สวรรค์
สถาน นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระบิดาเจ้า พระองค์ก็ได้มอบหมายภาระหน้าที่ให้กับเราผู้เชื่อทุกๆคนว่า
“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ยน.13:35)
เป็นหน้าที่ที่จะต้องถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่พี่น้องของเราด้วยเช่นเดียวกัน
ในโอกาสนี้ ผมใคร่ขอส่งความสุข ในวันคล้ายวันประสูติขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านี้มาสู่ทุกท่านให้เต็มไปด้วยพระพรนานาประการ สุขสันต์
วันคริสตมาส และสวัสดีปีใหม่ (Merry Christmas and a Happy New Year) พระเจ้าอวยพรครับ