ฉบับที่ 3 เพื่อน (Friend)
ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว
หลังจากที่ได้จบการศึกษาแล้วนั้นไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังคุกรุ่น ปรารถนาที่จะรับใช้ด้วยใจอันแรงกล้า (ไฟแรง) แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ที่ไหน ความจริงแล้วคนอังกฤษเขาต้องการที่จะให้เรากลับไปรับใช้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนที่จากมา ก็คล้ายๆ กับคนต่างจังหวัดนั่นแหละเมื่อมีลูกๆ หลานๆ เข้ามาเรียนในเมืองหลวง เมื่อจบแล้วก็ต้องการให้กลับมาพัฒนาบ้านเมืองของตัวเองอะไรทำนองนั้น ทีแรกก็คิดว่าพระเจ้าคงจะให้เรารับใช้อยู่ที่อังกฤษนี่แหละ หาโบสถ์สักแห่งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นในการรับใช้ อันที่จริงแล้วในขณะที่เราอยู่ที่นี้ก็ได้ประกาศกับคนไทยในอังกฤษไว้ด้วยเช่นเดียวกัน แล้วลูกๆ ของเราก็กำลังไปได้ดีทั้งในด้านการศึกษา และกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล ซึ่งลูกชายก็เข้าเล่นอยู่ในทีมของโรงเรียนด้วย และกำลังมีทีมของอำเภอเข้ามาติดต่อให้ไปเล่นในทีมด้วย ยิ่งทำให้ไม่อยากกลับกันใหญ่เลย (ซึ่งเป็นความหวังของทุกๆ คน) รวมทั้งทีม Chess (หมากรุกอังกฤษ) และได้เป็นแชมป์ของจังหวัดสวอนซี แคว้นเวลส์ (Wales) แล้วด้วย และอะไรๆ อีกหลายอย่าง ส่วนลูกสาวก็กำลังไปได้ด้วยดีเช่นเดียวกัน ก็เลยทำให้เราคิดว่าทุกอย่างมันน่าจะลงตัว อาจจะเปิดกลุ่มคนไทยเล็กๆ สักกลุ่มหนึ่งเริ่มต้นประกาศกับคนไทยอย่างจริงจัง คงจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่ทีเดียว (คิดเอง) เพราะทุกอย่างดูมันลงตัวไปหมด อย่าลืมว่าในขณะที่ผมเรียนเต็มเวลานั้น ภรรยาของผมก็สามารถทำงานเต็มเวลาได้ด้วยเช่นกัน (กฎหมายเขาอนุญาต) แต่เธอก็เรียนไปด้วย การทำงานของเธอนั้นคือ เป็นเชฟอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตัวเมืองสวอนซี (Swansea) เป็นร้านอาหารฝรั่งแต่ทำอาหารไทยนะครับ คนอังกฤษชอบทานอาหารไทยมากๆ ขอบอก ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมต้องทำก็คือ การไปเป็นผู้ช่วยเชฟให้กับภรรยา แล้วในเวลาเดียวกันก็แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ไปด้วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ได้อยู่ ผมเคยบอกแล้วว่าการติดตามพระองค์นั้นต้องเชื่อฟังพระองค์สุดๆ เพราะเราอยู่ได้ก็พระเจ้าแท้ๆ (เพียงแค่จะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ) The just shall live by faith. ถ้าไม่มีพระเจ้าเราจะอยู่ได้อย่างไรเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ทุกลมหายใจเข้าออกสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราก็คือ การอธิษฐานขอการทรงนำเสมอ อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นแค่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง สดุดี 144:4 “มนุษย์เหมือนลมหายใจ วันเวลาของเขาเหมือนเงาที่ผ่านไป”จะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องขอการทรงนำเสมอ ทางวิทยาลัยก็ยินดีด้วยแล้วแต่พระเจ้าจะสำแดงอย่างไรของพระองค์ ผมได้เข้าไปลา Mr.Samuel Rees Howells ทายาทของผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าอธิการ ก็ได้รับการอวยพรจากท่านด้วยความประทับใจ เราได้ไปเช่าห้องพักใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ กับตัวเมือง และหาโบสถ์ที่จะไปนมัสการพระเจ้าด้วย เป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญมาก (หัวเลี้ยวหัวต่อ) ผมและครอบครัวก้าวต่อไปด้วยแรงศรัทธาอันยิ่งใหญ่ทุกวันอยู่โดยแรงผลักดันแห่งความเชื่อที่มั่นคง โบสถ์ที่เราไปทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง ศิษยาภิบาลน่ารักมากเข้าใจคนเอเซียดี ทำให้ผมเป็นอิสระในการนมัสการพระเจ้า พระวิญญาณเคลื่อนไหวมีพลังสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตอยู่ด้วย ลูกๆ ก็ยังคงไปโรงเรียนตามปกติไปรับไปส่งเหมือนเดิม ในระหว่างนั้นเพื่อนที่เรียนด้วยกันได้ชวนไปเที่ยวที่ไอร์แลนด์เหนือ จึงเป็นโอกาสดีจะได้ไปอีกประเทศหนึ่งที่ไม่เคยไปมาก่อน เราเชื่อว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เราได้ไป เมื่อไปแล้วก็ไม่ผิดหวังบรรยากาศคล้ายกับบ้านเรามีท้องทุ่งท้องนา กลิ่นโคลนสาบควายเหมือนได้ไปต่างจังหวัดในประเทศไทยยังไงยังงั้นจริงๆ นะ แล้วก็ได้ไปถึงชายแดนของประเทศไอร์แลนด์ด้วย เชื่อไหมในขณะที่พักอยู่ที่บ้านดีๆ ก็มีเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดที่หน้าบ้าน แล้วก็มีทหารถือปืนลงมากันเต็มเล่นเอาผมและครอบครัวตกใจหมดเลย แล้วก็ได้รับคำตอบว่าทหารเหล่านั้นลงมาเพื่อตามหากลุ่ม ไอ อาร์ เอ กองทัพสาธารณรัฐไอริช ซึ่งเป็นองค์กรทหารปฏิวัติต่อต้านการปกครองของอังกฤษในประเทศไอร์แลนด์เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประเทศตนเองในยุคนั้น ทุกที่ที่ไปจะต้องมีจุดตรวจเกือบจะทุกจุดก็ตื่นเต้นดีครับ เราไปพักอยู่ที่นั้นประมาณสองสามอาทิตย์เห็นจะได้ เป็นรางวัลชีวิตครับที่พระเจ้าประทานให้ ในระหว่างทางนั้นเราก็ได้แวะไปในที่ต่างๆของอังกฤษด้วย แล้วก็อดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ทุกครั้งว่านี่คือการอัศจรรย์ของพระองค์ที่ได้มอบให้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ จนกระทั่งได้เดินทางกลับมาที่เวลส์ สวอนซีอีกครั้ง เหมือนกลับมาบ้านเลยเพราะเราอยู่ที่นั่นห้าปีเต็มๆ คุ้นเคยกับทุกสิ่ง ถนนหนทาง ผู้คนในละแวกนั้น ร้านค้า สวนสาธารณะ สถานที่ต่างๆ ถึงขนาดวันไหนไม่ได้ปั่นจักรยาน ฝรั่งก็จะถามว่าวันนี้จักรยานไปไหนอะไรทำนองนั้น ปั่นจักรยานไปทักทายผู้คนไปมีความสุขจริงๆครับที่ได้ติดตามพระเจ้า ในขณะที่รอว่าจะรับใช้ที่ไหน อย่างไร ก็ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารด้วยเพื่อความอยู่รอด เพราะพระองค์ไม่ได้ให้เรามีความเชื่อแต่ไม่ต้องทำอะไร ไม่ใช่นะครับความเชื่อก็คือความเชื่อในการหวังใจต่อพระองค์ว่าทุกสิ่งที่เชื่อนั้นจะเกิดขึ้นจริง ดังนั้น เมื่อเราทำอะไรพระเจ้าก็จะอวยพรในสิ่งที่เราทำ แต่ผมก็ยังติดต่อกับวิทยาลัยอยู่ตลอด ผู้อ่านคงจะไม่ลืมนะครับว่าวิทยาลัยพระคริสตธรรมแห่งเวลส์นี้ เป็นสถานที่พระเจ้าได้ประทานนิมิตให้กับผม เป็นความผูกพันลึกซึ้งทางใจที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนมาก่อน แต่กลายเป็นว่าเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตั้งหลายปีโดยพระคุณของพระเจ้าแท้ๆ ทางวิทยาลัยได้ให้ความเมตตาต่อเราอย่างมากเลยทีเดียว มีอยู่คืนหนึ่งในขณะที่ผมอธิษฐานอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำผมเข้าไปสู่ความล้ำลึกในเวลาของพระองค์ ในนิมิตนั้นมีภาพแผนที่โลกปรากฏขึ้นต่อสายตาผม แล้วก็มีเสียงหนึ่งบอกว่า “ชี้ประเทศหนึ่งว่าจะไปประเทศไหน” ในนิมิตนั้นเชื่อไหมครับว่าผมชี้ไปที่ประเทศไหนให้เดาเอาไม่น่าเชื่อผมได้ชี้ไปที่ประเทศไทย แล้วก็หลุดออกมาจากเวลาของพระองค์ ความรู้สึกเมื่อคิดขึ้นได้ว่าได้ชี้ไปที่ประเทศไทยก็เสียดาย เพราะอย่างไม่อยากกลับแต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร (โดยความคิดของตัวเอง) จนกระทั่งทุกอย่างล่วงเลยไปก็ไม่ได้สนใจในนิมิตนั้นเท่าไร
วันเวลาผ่านไปเร็วมากเราใช้เวลาที่รอคอยนั้นหนึ่งปีเต็ม จนกระทั่งคืนหนึ่งที่ผมอธิษฐานขอการทรงนำว่าจะก้าวไปในทิศทางไหนต่อ ก็ได้ยินเสียงของพระเจ้าตรัสว่า “พงศ์ศักดิ์ กลับประเทศไทย” ไปจอยกับคนไทย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่านิมิตที่เคยชี้ไว้นั้นเป็นความจริง แต่จะกลับเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ต้องมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ ถึงอย่างไรเมื่อพระเจ้าตรัสผมก็ต้องทำตามอย่างแน่นอนถ้าจะอยู่ต่อก็คงจะอยู่ไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินเสียงพระเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้วเราก็ปรึกษากันถึงการที่จะเดินทางกลับ เสียดายก็เสียดายแต่จะทำอย่างไงได้เป็นพระประสงค์ของพระองค์ หลังจากนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องกลับมาวิทยาลัยอีกและขอพักอยู่ในนั้นเพื่อรอคอยเวลาที่เหมาะ แต่เราก็ยังต้องทำงานเพื่อสะสมเงินในการเดินทางกลับ ส่วนผมก็แบ่งเวลามาช่วยงานของวิทยาลัยเหมือนเดิมคือ ทำงานในสวนปลูกผักปลูกหญ้าอย่างที่เคยทำมาเป็นความสุขที่ผมชอบมากเมื่อได้อยู่คนเดียวกลางสวนผัก เป็นเวลาส่วนตัวกับพระเจ้าทำงานไปอธิษฐานไปดีว่าที่นั่นจะไม่ค่อยมีแดดจึงไม่ร้อนผมจะแงนหน้าดูท้องฟ้าเมื่อใช้เวลากับพระเจ้า ซึ่งทำให้ได้บรรยากาศแล้วก็รู้สึกว่าได้คุยกับพระองค์ บอกกับพระองค์ ระบายกับพระองค์ ร้องทุกข์กับพระองค์ อ้อนวอนกับพระองค์ ชื่นชมยินดีกับพระองค์ และส่วนมากสิ่งที่ผมร้องทูลขอนั้นก็จะได้รับคำตอบจากพระองค์เสมอๆ เพราะผมสามารถที่จะพูดอะไรก็ได้ ตะโกนอย่างไรก็ได้ ร้องไห้อย่างไรก็ได้ ไม่มีใครได้ยินจึงเป็นอิสระเสรีภาพจริงๆ กับพระองค์ ได้สื่อความรู้สึกอย่างแท้จริงให้พระองค์ได้รู้ถึงความรู้สึกที่เผชิญมาหรือได้รับอะไรมาบ้างมอบไว้ให้พระองค์เป็นผู้กระทำแทนเรา ตลอดระยะเวลาที่ผมใช้เวลาอยู่ที่วิทยาลัยผมจึงมีประสบการณ์เป็นส่วนตัวจริงๆ ในการเรียนรู้ของเรื่องการอธิษฐานอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ได้รับนั้นก็คือ ในขณะที่อธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ จึงรู้ว่าทุกครั้งที่ได้พูดภาษานั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในระดับที่สูงขึ้นเลยๆ และภาษานั้นก็จะเปลี่ยนไปด้วยสู่ความดื่มด่ำล้ำลึกทีละขั้น การอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ที่จะให้ได้รับคำตอบก็ต้องพูดออกมา และในขณะที่พูดอยู่ให้ในใจของเราปรารถนาสิ่งใด
ก็มอบความต้องการที่จะได้รับไว้ที่พระองค์จะเป็นผู้ตอบคำร้องขอของเรา เพราะการพูดภาษาแปลกๆ จะทำให้คำร้องทูลขอทะลุทะลวงชั้นบรรยากาศไปถึงพระกรรณของพระเจ้าได้เร็ว ซาตานที่คอยกั้นคำอธิษฐานไม่สามารถปิดกั้นได้เพราะเป็นคำบริสุทธิ์ อย่าลืมว่าวันที่จะไปอยู่กับพระองค์เราจะไปพบกันบนฟ้าอากาศ ดังนั้น จึงมีชั้นบรรยากาศที่เหล่าเทพต่างๆ สิงสถิตอยู่ ใน 1เธสะโลนิกา 4:16-17 “ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน” “หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” สิ่งที่เราปรารถนาในใจนั้นจะไปพร้อมกับคำอธิษฐานที่เป็นภาษาแปลกๆ ได้เร็ว นี่คือสาเหตุที่บอกว่ามีความสุขมากเมื่อได้อยู่กับพระองค์
และแล้วเวลานั้นก็มาถึง คือการที่จะต้องเดินทางกลับประเทศไทยเป็นความรู้สึกว่าจะต้องกลับ ก็ได้มีการซื้อตั๋วเพื่อกำหนดวัน และเวลาตามที่พระเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าให้ผมกลับมาจอยกับคนไทยโดยที่ก็ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วจะรับใช้พระองค์อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร กับใคร แต่โดยความเชื่อที่ได้ติดตามมาจึงรู้ว่าต้องทำในสิ่งที่พระองค์ได้ตรัส ถึงแม้ว่าทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีก็ตาม (นี่คือการเชื่อฟังและกระทำตาม) สิ่งที่ไปด้วยดีอาจจะไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์ก็ได้ การที่จะไม่เชื่อฟัง และไม่ทำตามคือสิ่งที่ผิดจากประสบการณ์หลายปีที่ติดตามได้สอนผมในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ถ้าจะอยู่ต่อคงจะทำให้เราต้องเสียอะไรบางอย่างที่แผนการณ์ของพระองค์ได้วางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นตัวผม ภรรยารวมถึงลูกทั้งสองในช่วงเวลานั้นเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้กลับ แต่ถ้าเราอยู่ต่ออาจจะเจิ่นไปจากทางของพระองค์ก็เป็นได้เพราะดูทุกอย่างดีเกินไป (เมื่อกลับมาแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมถึงต้องให้กลับ) เราได้จองตั๋วของสายการบินรัสเซีย คืนที่กลับเป็นเวลาที่ต้องใช้ความรู้สึก (อาลัย) อย่างมากที่จะต้องทิ้งความทรงจำดีๆ อีกแล้ว ผมได้ไปลา มิสเตอร์เมตัน แต่ไม่ได้ไปลา Mr.Howells (รู้สึกว่าทำผิด) เพราะเมื่อกลับมาแล้วได้ข่าวว่าท่านต่อว่าทำไมไม่ไปลาท่าน คืนนั้นเราได้ทิ้งสวอนซีด้วยใจที่ลำบากอย่างมาก เป็นความอาลัยอาวรณ์เหมือนครั้งที่จากประเทศไทยมาอังกฤษอย่างไงอย่างงั้นเลย เรานั่งรถโดยสารมาที่สนามบินฮีทโธว์ เมื่อไปถึงก็ได้โทรศัพท์ไปบอกลาอีกคนหนึ่งคือ ศจ. แอนน์ ลูเธอร์ คงไม่ลืมนะครับว่า แอนน์คือ บุคคลที่เราได้ไปอยู่ด้วยตอนรอพระเจ้าในลอนดอนคงจำได้นะครับ ใช้เวลาอยู่ในเครื่องบินประมาณสิบสองชั่วโมงแต่ก็ยังดีกว่าตอนมาเพราะลูกทั้งสองโตแล้วไม่งอแง เมื่อมาถึงรู้สึกตื่นเต้นมากทุกอย่างเปลี่ยนไปมีสะพานเพิ่มมากขึ้น ถนนหนทางจำไม่ค่อยได้ ผู้คนดูไม่คุ้นเคย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มเหมือนเดิม สมกับเป็นสยามเมืองยิ้ม เราได้เดินทางไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดบ้านคุณพ่อคุณแม่เยี่ยมเยียนญาตพี่น้องใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งเดือน หลังจากนั้นก็เริ่มที่จะรับใช้พระเจ้า หาคริสตจักร หาโรงเรียนให้ลูกทั้งสองซึ่งก็ยากมากพอสมควร (ตรงนี้คือประเด็น) ที่ผมจะเล่าต่อในหัวข้อที่ได้ขึ้นเอาไว้ว่า “เพื่อน” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงให้กลับมาในช่วงเวลานี้ เพื่อลูกของผมจะได้มีเพื่อนที่สามารถผูกพันกันเมื่อตอนโต นี่คือเหตุผลสำคัญมากครับต่อชีวิตเมื่อเป็นผู้ใหญ่มีการงานทำ ผมถึงบอกว่า คำว่าเพื่อนมีความสำคัญมากไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแบบฉับพลัน หรือเป็นเพื่อนแบบยั่งยืน พระองค์ทรงให้ความสำคัญเท่าเทียมกันต่อแผนการณ์ของพระองค์ที่ได้วางเอาไว้กับครอบครัวเรา (ต่อจากนี้จะเป็นชีวิตในประเทศไทยครับ)
ทีแรกตั้งใจว่าจะจบฉบับนี้ แต่คงต้องเล่าต่อฉบับหน้าแล้วล่ะครับว่าทำไมต้องให้กลับมาเมืองไทย (อ่านต่อฉบับหน้านะครับ) ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านที่ได้ติดตาม.........
฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿