gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เพื่อน “Friend” ฉบับที่ 4 ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว

ฉบับที่ 4   เพื่อน “Friend”

ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว

pinkaewpongsak@gmail.com

หลังจากที่ได้ศึกษาจบแล้ว และการรอคอยที่จะรับใช้พระเจ้าก็มาถึงคือ ต้องเดินทางกลับมาประเทศไทยตามพระประสงค์ที่ได้ตรัสเอาไว้ ถึงจะอาลัยอาวรณ์แต่ก็ต้องทำตามน้ำพระทัย เรากลับมาเมืองไทยโดยสายการบินของรัสเซียต้องทิ้งอะไรๆ หลายๆ อย่างไว้ที่ประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการติดตามพระองค์ที่แสนประเสริฐยิ่ง ถ้าอยู่เมืองไทยคงจะไม่ได้พบอย่างแน่นอนประสบการณ์ที่แสนวิเศษซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว เรากลับมาเมื่อปี พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควรในเรื่องของการเมือง แต่เรากลับมาตอนที่สงบบ้างแล้วขอบคุณพระเจ้า  ประเทศไทยเปลี่ยนไปเยอะตอนเราจากไปถนนหนทางยังไม่ค่อยหนาแน่นมาก มีสะพานเพิ่มมากขึ้นเวลาไปไหนมาไหนเลยทำให้งงๆ  เพราะถนนที่เคยรู้จักมองไม่เห็นมีสะพานมากั้นปิดเอาไว้ ยิ่งทำให้เราคิดว่ารถคงจะติดมากกว่าเดิมเป็นแน่ คนจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมาหางานทำ หรือมาเรียนหนังสือจากความเจริญที่ยังไปไม่ถึงต่างจังหวัดเช่นเดิมจำต้องเดินทางเข้ามาสู่เมืองใหญ่ที่มีทุกอย่างครบ แต่เราค่อนข้างที่จะเบื่อกรุงเทพฯ เพราะตอนที่เราจากไปนั้นเราก็เบื่อรถติด เบื่อการเดินทางที่ไปไหนทีก็ล่าช้าไม่ทันเวลาเสมอๆ ใจเราคิดว่าถ้าจะรับใช้สู้ไปอยู่ต่างจังหวัดดีกว่า

หลังจากที่เราไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดจนหายคิดถึงแล้ว ก็เดินทางกลับมากรุงเทพฯ เรามีบ้านอยู่ที่มีนบุรีให้คนเช่า จึงให้เขาย้ายออกแต่บ้านก็ดูทรุดโทรมไปมากเหมือนกันต้องมาซ่อมแซมใหม่ แล้วก็เริ่มต้นที่จะหาโบสถ์ลง สิ่งแรกที่เราทำคือกลับไปที่คริสตจักรที่เคยเป็นสมาชิกอยู่เพื่อถามว่าพอจะมีอะไรให้เราช่วยรับใช้บ้างไหม  เป็นจังหวะที่ดีมากมีอยู่คริสตจักรหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดต้องการผู้รับใช้พอดี เพราะผู้รับใช้คนเก่าต้องกลับมาเป็นผู้สอนที่กรุงเทพฯ เขาจึงถามว่าต้องการไปไหม ผมรีบตอบรับทันทีเพราะเราต้องการไปรับใช้ต่างจังหวัดอยู่แล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นที่ได้รับใช้ในประเทศไทย แต่การรับใช้ครั้งแรกนี้ไม่ราบรื่นหรอกครับ เขาบอกต้องการผู้รับใช้ที่มีไฟ (ถูกใจผมพอดี)  เราจึงต้องทิ้งบ้านอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ไม่ให้ใครเช่าแล้ว เพราะสามารถเดินทางกลับมาดูแลได้ เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงว่าจะได้ไปรับใช้สมใจปรารถนา (เราเชื่อว่าพระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่าง) ด้วยการอนุญาตให้ไปในครั้งนี้ ทุกครั้งที่จะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนทุกครั้งไป นี่คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการติดตามพระองค์ ด้วยความเชื่อ เมื่อไปถึงก็คิดว่าคงจะอยู่ที่นี่นาน (คิดเอง) แต่การรับใช้ไม่เป็นไปตามที่คิดจากการสัมผัสครั้งแรกกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่ต่างประเทศนานจึงทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างดี การรับใช้ด้วยความระมัดระวังจึงเกิดขึ้น

ช่วงที่กลับมาลูกๆ ของเราต้องเรียนหนังสือด้วยเช่นเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยในการหาโรงเรียนให้กับเขาทั้งสองด้วยปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของภาษา จึงต้องใช้เวลาในการสอนภาษาไทยให้กับเขาพอสมควร มีสมาชิกหลายคนก็แนะนำโรงเรียนให้ว่าที่ไหนดี โรงเรียนที่เราไปติดต่อคือโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมพอดีต้องรอให้เปิดเทอม ส่วนลูกสาวก็ไปติดต่อที่โรงเรียนสาธิตวิทยาลัยครูของจังหวัดนั้น ทุกอย่างก็ดูลงตัวดีไปเยี่ยมสมาชิกตามบ้าน สอนพระคัมภีร์อธิษฐานร่วมกัน ให้กำลังใจในการติดตามพระเจ้าช่วยเขาในเรื่องต่างๆ ตามความเหมาะสม ให้มีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นเน้นในเรื่องของพระวิญญาณที่ขับเคลื่อนโดยฤทธิ์เดช จนกระทั่งเดือนแห่งการฟื้นฟูก็มาถึงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากของประเทศไทย คือ “งานฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานการฟื้นฟูที่ทุกคนปรารถนาจะไปเพื่อเติมกำลังความเชื่อ พอดีในเดือนนั้นผู้รับใช้ท่านนั้นต้องเดินทางไปต่างประเทศพอดี ผมจึงพาสมาชิกไปเอง ทุกคนดีใจมากที่จะได้ไปในครั้งนั้น เราเช่ารถตู้ไปด้วยกันหวังเต็มที่ว่าจะได้รับการเติมเต็มให้ล้นด้วยไฟแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า ก็เป็นไปตามที่เราต้องการทุกคนได้รับการเจิมตลอดทั้งงาน ชื่นชมยินดีกลับไปด้วยความร้อนรนต้องการที่จะได้รับการเคลื่อนต่อ ผมจึงเสนอว่าน่าจะมีการอธิษฐานโต้รุ่ง (นี่คือจุดหักเห) เมื่อท่านนั้นเดินทางกลับมาจากต่างประเทศและได้พบว่าสมาชิกเปลี่ยนไปก็ไม่พอใจ (ผมจึงคิดว่านี่มันอะไรกัน) มีไฟสิดีพี่น้องจะได้เจริญเติบโตในทางของพระเจ้า แต่กลายเป็นไม่ดี (ผู้อ่านคงจะเข้าใจนะครับ) นี่คือหมายสำคัญว่าจะต้องหยุดการรับใช้ที่นี่ แต่ลูกสาวยังเรียนอยู่คงต้องรอให้ปิดเทอมเสียก่อน ส่วนลูกชายไม่เป็นไรเพราะโรงเรียนยังไม่เปิดเรียน แล้วผมก็บอกว่าคงรับใช้อยู่ด้วยกันไม่ได้คนละแนวกัน แต่ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงให้ผมมารับใช้ที่นี่ เพื่อให้รู้อะไรบางอย่างจะได้ระวังตัวในอนาคต แล้วเราก็ออกมาจากคริสตจักรนั้นมาหาบ้านเช่าอยู่เพื่อรอลูกสาวปิดเทอม ในระหว่างรอนั้นผมก็เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อจะหาคริสตจักรอื่นรับใช้ แต่ในใจก็คิดว่าจะเปิดโบสถ์ซะที่จังหวัดนี้เลย กลับมาขายบ้านที่กรุงเทพฯ แล้วเอาสตางค์ไปหาซื้อบ้านเพื่อเปิดโบสถ์ให้รู้แล้วรู้รอดไป จึงเริ่มต้นอธิษฐานขอการทรงนำกับพระเจ้าว่าจะมีความเป็นไปได้ไหม มีอยู่คืนหนึ่งขณะกำลังอธิษฐานอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำจิตวิญญาณของผมเข้าไปสู่เวลาของพระองค์ ผมถามพระองค์ว่าจะขายบ้านได้ไหมเพื่อมาทำคริสตจักร สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงพระเจ้าตอบ เป็นคำพูดที่ค่อนข้างไม่พอใจในคำถามของผม พระองค์ตอบว่า ไม่ให้ขายอย่าขาย เสียงดุๆ  หลังจากนั้นผมเลิกคิดที่จะขายไปเลย ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่จะเดินทางไปอังกฤษก็จะขายบ้าน พระเจ้าก็ไม่ให้ขายเช่นกันถ้าขายป่านนี้เมื่อกลับมาไม่มีบ้านอยู่แน่นอนเลย พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้า 1คร.2:10 “พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้น แก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า เอเมน ว่าจะต้องนำครอบครัวเรากลับมาประเทศไทย จึงไม่ให้เราขายบ้านเด็ดขาด สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเด็กๆ ทุกที่ที่เราไปจะต้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก เพราะเด็กคือผู้ที่พระเจ้าจะปั้นขึ้นมาให้เป็นที่สรรเสริญยกย่องพระองค์ในการรับใช้ที่เกิดผล เราจะเห็นได้ในพระคัมภีร์เดิมที่พระองค์ทรงจัดเตรียมลูกๆ ของผู้รับใช้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “อิสอัค” และ “ยาโคบ” หรือจะเป็น “โยเซฟ” เป็นผู้ที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้ทั้งสิ้นว่าจะใช้เขาเหล่านี้ในสถานะการณ์อะไร แบบไหน อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร  นี่คือความเป็นองค์สัพพัญญู 1คร.2:11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเอง ฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น ผมก็เชื่อเช่นนั้นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมลูกของผมเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกันที่จะทำอะไรบางอย่าง เมื่อเวลาของพระเจ้ามาถึง

การเริ่มต้นครั้งที่สองนี้เป็นจุดที่สำคัญมากสำหรับลูกของเรา ผมได้เข้ามารับใช้ในคริสตจักรที่ค่อนข้างมีสมาชิกมาก มีการเคลื่อนไหวในเรื่องของพระวิญญาณสูง มีผู้รับใช้หลายคนช่วยกันแต่ครอบครัวผมต้องอยู่ที่นั้นก่อนเพื่อรอลูกสาวจะเอาออกมาเลยก็ไม่ดี ดังนั้น ผมจึงต้องไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จนกระทั่งโรงเรียนลูกสาวปิดเทอมจึงย้ายออกมา การเดินทางกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มาอยู่ที่บ้านของเราช่างแสนอบอุ่นเสียเหลือเกิน (สบายใจขึ้น)  แล้วการเริ่มต้นหาโรงเรียนให้ลูกก็เกิดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้หายากมากส่วนมากโรงเรียนเขาไม่ค่อยจะรับให้เข้าเรียนซึ่งเป็นช่วงกลางเทอม จึงต้องรอให้ขึ้นปีการศึกษาใหม่ทีนี้จะได้โรงเรียนอะไรก็เอาทั้งนั้นเพื่อลูกจะได้เข้าโรงเรียนเสียก่อนจะได้รู้ภาษาไทยเสียที (หมายถึงการเขียนการอ่าน) แต่ภาษาพูดเราพูดกันอยู่แล้วในครอบครัวขณะที่อยู่ประเทศอังกฤษ ลูกเราทั้งสองได้โรงเรียนถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไร เพื่อจะได้เข้าใจภาษาไทยอ่านออกเขียนได้ และสิ่งสำคัญก็จะได้มีเพื่อนๆ ที่โตมาด้วยกัน เราต้องใช้เวลาในการไปรับไปส่งลูกเช่นเคย ส่วนลูกชายไม่เป็นไรเขาไปเองได้โตแล้ว ส่วนภรรยาผมก็ได้โรงเรียนที่ไปสอนอยู่ใกล้บ้าน (สอนภาษาอังกฤษ) จึงเอาลูกสาวออกมาจากโรงเรียนนั้นเพราะอยู่ไกล ย้ายมาเข้าที่โรงเรียนของคุณแม่ดีกว่าอบอุ่นและปลอดภัยผมเชื่อว่านี่เป็นการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าอย่างแน่นอนในเรื่องของการมีเพื่อน (นี่คือประเด็นของคำว่าเพื่อน) ว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เรากลับมาในช่วงที่ลูกเรากำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ ถ้ากลับมาตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วคงจะมีเพื่อนลำบากเพราะไม่ได้ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กๆ (พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมจริงๆ เยโฮวาห์ ยิเรห์) ผมจึงบอกว่าพระเจ้าเป็นห่วงเด็ก ลูกชายก็เป็นเช่นนั้นได้มีเพื่อนๆ ที่เล่นด้วยกัน ผูกพันกัน คำว่าเพื่อนจึงมีความสำคัญมาก ทุกการติดตามพระองค์จะนำเพื่อนมาให้เราเสมอๆ จะเป็นเพื่อนแบบฉับพลัน หรือถาวรก็แล้วแต่ถ้ามาจากพระเจ้าใช้ได้ ผมจึงเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงเปรียบพระองค์เองว่าเป็นเหมือนสหายเลิศ (มีสหายเลิศคือพระเยซู)  สดุดี 55:13-14 แต่เป็นท่าน เสมอบ่าเสมอไหล่กับข้าพเจ้า เป็นเกลอของข้าพเจ้า เป็นมิตรรู้จักมักคุ้นกับข้าพเจ้า เราเคยสนทนาปราศรัยกันอย่างชื่นใจ เราดำเนินในพระนิเวศของพระเจ้าฉันมิตรสนิท คำว่า “เพื่อน” จึงมีความหมายมากครับ ทุกอย่างดูจะลงตัวแล้วครับ การรับใช้ของผมค่อนข้างจะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรเพราะเป็นโบสถ์ใหญ่ มีสมาชิกมาก ต้องออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึกทุกวันเยี่ยมเยียน ทำกลุ่ม ขยายกลุ่มเลี้ยงดูจิตวิญญาณ อธิษฐานโต้รุ่งคืนวันศุกร์ ทุกสัปดาห์ แทบไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว จนกระทั่งคืนวันศุกร์คืนหนึ่งเมื่ออธิษฐานเสร็จเช้าก็กลับมาบ้าน แล้ววันเสาร์จะต้องไปทำกลุ่มต่อ เชื่อมั๊ยครับหลังจากกลับมาจากกลุ่มคืนนั้นเมื่อผมล้มตัวนอนลง อาการบางอย่างก็เกิดขึ้นทันทีคือ บ้านหมุนติ้ว เวียนศีรษะ ขยับตัวไม่ได้เลย ขยับเมื่อไรบ้านก็จะหมุนต้องนอนตัวตรงไม่หันซ้ายหรือขวา รู้ทันทีว่าเกิดจากอาการพักผ่อนไม่เต็มที่ เลือดมาเลี้ยงสมองไม่พอจึงเกิดอาการนี้ขึ้น นั่นหมายความว่าต้องหยุดการรับใช้ ณ ตรงจุดนั้นเพื่อกลับเท้ามาตั้งต้นใหม่ การรับใช้ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวจนลืมที่จะหยุด แล้วใช้เวลาใคร่ครวญอยู่กับพระเจ้า พระองค์ปรารถนาให้เราดูแลสุขภาพด้วย การรับใช้ พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราพึ่งกำลังของเราเอง แต่ให้พึ่งปัญญาและฤทธิ์เดชที่มาจากพระเจ้า สภษ.3:5-6 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับพระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น พระพรหรือความสำเร็จของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้องทำงานอย่างหนักแล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหาก พระองค์กล่าวว่า “เราจะอวยพรใคร เราก็จะอวยพรผู้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งใจหรือตะเกียกตะกาย” เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมานี่คือสัจจะธรรม โรม 9:15-16 เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาผู้นั้น เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า พระคำข้อนี้ได้เตือนสติผมให้หยุดและมาทบทวนการรับใช้ใหม่ ผมจึงรู้ว่าพระองค์คงจะให้ผมออกจากที่นี้จึงขอลาออกเพื่อมาใช้เวลากับพระเจ้า ขอการทรงนำในก้าวต่อไปใช้เวลาพักผ่อนประมาณหนึ่งเดือนเพื่อให้สุขภาพร่างกายกลับมาเหมือนเดิม แล้วก็นั่งอยู่แทบเบื้องพระบาทรอจนกว่าจะสามารถก้าวต่อไปได้ด้วยพระคุณแสนประเสริฐ จึงรู้ว่าทำไมพระเจ้าจึงให้ผมไปลำบากอยู่ถึงประเทศอังกฤษ การรับใช้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลยครับ (อ่านต่อฉบับหน้านะครับ) ว่าจะไปรับใช้ที่คริสตจักรไหน ขอพระเจ้าอวยพร......................

 

 

********************

 

 

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?