gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เรื่อง ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า

พระคัมภีร์  ฮาบากุก บทที่ 3:17-19 
โดย อ.เรวัฒน์  เทพจักร์


สถานการณ์บางสถานการณ์   เรื่องบางเรื่องเราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เลย  บางเรื่องแม้กระทั่งเราตายไปแล้วมันก็อาจจะไม่เปลี่ยนได้   อย่ารอจนกว่าสถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นก่อนถึงจะชื่นชมยินดีในชีวิต     สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนมันได้คือทัศนคติ  มุมมองของเราเอง  กระสวยของความคิดของเราเอง   พระคัมภีร์ที่หนุนใจเราในวันนี้ปรากฎในฮาบากุก   ข้อพระคัมภีร์ที่ถือเป็นพระคำโดดเด่นและชูใจคริสเตียนได้เป็นอย่างดีก็คือ ฮบก3:17-19    ซึ่งเป็นถ้อยคำของผู้เชื่อที่กล่าวว่า  ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้าแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้น    จากความโศกเศร้าให้กลับกลายเป็นความชื่นบานยินดีในพระเจ้าได้โดย 3 ประการดังนี้

 1.เปิดใจกับพระเจ้า    ฮบก 1:1-4
เบื้อหลัง  :  คำว่าฮาบากุก    แปลว่า การสวมกอด   หรือในคำกริยาภาษฮีบรู   แปลว่า ประสานมือ   หรือโอบอุ้ม  ฮาบากุกรับใช้พระเจ้าในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโอยาคิม      ฮาบากุกเป็นผู้เผยพระวจะ    ฮาบากุกได้เริ่มเขียนถึงข่าวสารแห่งความหวังและการหนุนใจ     แม้ว่าจะเกิดความสงสัย และสับสนในยามที่ความบาปแพร่ระบาด    แต่การที่ฮาบากุกได้พบพระเจ้า   เพ่งความสนใจไปหาพระเจ้า    เขาสามารถเปลี่ยนจากความสงสัย  กลายเป็นความศรัทธา  และเปลี่ยนความสับสนให้เป็นความเชื่อมั่นอีกครั้งได้อย่างไร?   
       ก.จงสังเกตสิ่งที่ฮาบากุกถามพระเจ้า
           -นานสักเท่าใด ?  พระองค์จะทรงสดับฟัง
           -หรือจะต้องเผชิญกับความทารุณ สักเท่าใดพระเจ้าจะมาช่วย ?
           -ไฉนให้ข้าพเจ้าเห็นการชั่ว  สภาพที่ตกต่ำ  ความบาป  ความไม่ยุติธรรม  การแบ่งแยก  การแตกกกแตกเผ่าในผู้
            เชื่อ            

หนังสือฮาบากุกเริ่มต้นด้วยการไต่ถามข้อกังหาต่อพระเจ้า     ( อีกนานสักเท่าใด ?)     เช่นเดียวกับคริสเตียนวันนี้มักถามพระเจ้าว่า  อีกนานไหม?      เราเองมีข้อกังขาไม่แพ้ฮาบากุก        คำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่โดนใจ จุใจอย่างเต็มๆ    ฮาบากุกตั้งคำถามว่าทำไมพระเจ้าให้ตนต้องมาเห็นสภาพความทารุน    ความบาป  ความชั่วร้าย  การทะเลาะวิวาท การทุ่มเถียง  ผู้คนจิตวิญญาณ  ถอยหลัง  เช่นเดียวกันเราผู้เชื่อ  เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความสับสน คำถามที่ไม่เคลียร์  สารพัดปัญหาที่ล้อมรอบกาย  อาจทำให้เราสับสน และเกิดคำถามว่า   อีกนานไหมเนี้ย ?   อีกนานสักเท่าไรสิ่งที่เราทูลพระองค์จะตอบให้  เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกินที่คริสเตียนเมื่อเผชิญปมปัญหาเราจะเพ่งความสนใจไปที่พระเจ้า    ทูลถามพระเจ้า  ปรึกษาพระเจ้า  คุยกับพระองค์ด้วยการเปิดจิตใจกับพระเจ้า

ตัวอย่าง เฮเซคียาห์  เมื่อพระเจ้าแจ้งว่าเขาต้องตาย  ให้รีบเคลียร์ธุระบ้านเมืองเสีย  พระองค์ก็ทุกข์ใจเหลือเกิน  จึงหันหน้าเข้า
ผนังร้องไห้ฟูมฟาย    พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะตาย   ดูเหมือนมันไม่ยุติธรรมและไม่ค่อยเข้าท่าเลย    เขาจึงเริ่มอธิษฐานบอกถึงสิ่งที่เขากำลังต่อสู้หนัก    และสุดท้ายพระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐานของเขา  จึงเพิ่มวันเวลาชีวิตต่อให้อีก 15 ปี
อิสยาห์ 38: 5 ''จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า  เราได้ยินคำอธิษฐาน
ของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าสิบห้าปี


ยอห์น16:24 แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม            ดังนั้น :   ทุกๆวันของเราหากมีเรื่องราวอะไรจงทูลถามพระเจ้า  จงอ้อนวอนต่อพระองค์  ระบายความในใจทั้งสิ้นออกต่อพระเจ้า  อย่าเกรงใจพระเจ้า  อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนพระ     ธรรมชาติของมนุษย์เขาไม่ชอบให้เราแบมือขอ คนมักจะลำคาญใจ   เบื่อหน่าย  แต่พระเจ้าชอบที่อยากให้เราทูลขอ ทูลถามพระองค์ตลอดเวลา     ดังนั้นอย่าหยุดอ้อนวอน......

       ข.จงสังเกตสิ่งที่ พระเจ้าตอบ  ฮบก 1:6 
บ่อยครั้งที่คริสเตียนก็ประหลาดใจ  เมื่อขออย่างพระเจ้าตอบให้อีกอย่าง  ฮาบากุกขอพระเจ้าให้เขาผ่านพ้นปัญหา  แต่พระเจ้า
ให้เขาผ่านพบกับมรสุม   พระเจ้ากลับนำเอาบาบิโลนที่สมัยนั้นพวกนี้มีความขมขื่น และใจเร่าร้อนในการรบ  ในการล่าอาณานิคม   คนเหล่านี้ออกไปทั่วโลกเพื่อยึดเอาบ้านเมือง  ให้เกิดนองเลือดและสงคราม   คนเหล่านี้มีอาวุธมีเครื่องมือเหลือเชื่อ  มีม้าเหมือนวิ่งไวกว่าเสือดาว   ดุร้ายยิ่งกว่าหมายป่ายามเย็น   บินไปดุจดังนกอินทรีย์  และนำคนไปเป็นเชลย  อีกทั้งพวกเขาชอบหัวเราะเยะเย้ยให้กับศัตรู    บางครั้งที่เราขอขนมปัง  พระเจ้าเหมือนได้ก้อนหิน  ขอความสำเร็จกลับได้ความล้มเหลว  ขอเพื่อนกลับได้ศัตรูเพิ่ม  ขอความอดทนกลับได้การทดลองใจ        สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกแสดงว่าพระเจ้าด้อยอำนาจไปแล้ว  หรือพระเจ้าแกล้งเรา หรือเทวดาถ้าจะบ้องๆ    แต่สิ่งเหล่านี้กำลังสอนเราอย่างไรหรือ ?

     * พระเจ้าอยู่เหนือสถานการณ์ต่างๆในชีวิตของมนุษย์  ของท่าน และของข้าพเจ้า   พระเจ้าทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศ 
        พระเจ้าต้องการให้บทเรียนแก่คนที่ทอดทิ้งพระเจ้า  เพื่อเขาจะกลับมาหาพระเจ้า  เรียนรู้จักพระเจ้าอีกครั้ง 
     * ทำให้เราเรียนรู้ว่า  เมื่ออธิษฐานไม่ควรตีกรอบคำตอบให้พระเจ้าทำตาม   หรือลอตหวยให้ออกตามใจตัวเอง   เป็นการ
       ง่ายดายที่เราจะอธิษฐานแบบสั่งการไปเลยครับพระเจ้า    เราไม่แยแสว่าพระเจ้าคิดว่าอะไรดีที่สุด... 
     *บางครั้งสถานการณ์ที่เงียบเฉพาะพระพักตรพระเจ้า  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่สนใจใยดี 

 

บางครั้งพระเจ้าให้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราตั้งความหวังไว้   บางครั้งพระเจ้าให้เราเผชิญกับกองทัพที่น่ากลัว     คริสเตียนจะต้องตั้งรับกับสิ่งที่คาดไม่ถึงเมื่อเราทูลขอต่อพระเจ้า        บางครั้งพระเจ้าใช้เครื่องมือที่หนักเพื่ออบรมสอน  และสร้างชีวิตของเรา    วันนี้เราอาจจะเคยนึกท้อใจที่อุตส่าห์ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อพระเจ้า และผู้อื่น   ตั้งใจอธิษฐานเผื่อใครบางคน      แทนที่เราน่าจะเห็นพระเจ้าทรงตอบ แต่เรากลับเห็นพระเจ้านิ่งเฉย        ตลอดเวลาที่ดำเนินกับพระเจ้า คงจะมีสารพัดคำถามมากมายที่ไม่เคลียร์   แต่เราก็ไม่ควรลืมที่จะต้องกราบทูลพระเจ้า  เปิดจิตใจ   เทจิตใจที่ปวดร้าว และความไม่เข้าใจทั้งหลายทั้งปวง  เทกองต่อพระเจ้า      แล้วเราก็จะพบกับความจริงและคำตอบ

 
2.เปิดตา  เปิดหูต่อพระเจ้า  ฮบก 2:1-2
 ข้าพเจ้าเฝ้าดูอยู่     ข้าพเจ้ายืนที่หอคอย          ฮาบากุกกระทำเช่นนี้เพื่อ 
            1.พระเจ้าจะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า ?       
            2.และข้าพเจ้าจะตอบพระองค์อย่างไร ?   
บทเรียนจากบทนี้สอนให้เรารู้ว่า  เพียงแค่การทูลอธิษฐาน   มอบปัญหาต่อต่อพระเจ้าเท่านั้นไม่เพียงพอ    เราจำต้องทำมากกว่านั้นคือคอยรับใช้พระเจ้า   เป็นการสำแดงออกว่า
            1.เราได้มอบปัญหาของเราเป็นปัญหาของพระเจ้า    เราจะต้องดึงตัวเองออกจากความกังวลใจ    1ปต5:7  จงละความกระวนกระวายไว้กับพระเจ้า      เพราะพระองค์ทรงห่วงใยชีวิตของเรา   โดยการยืนปักหลักอยู่ที่หอคอย    หอคอยของชาวยิวมีมากมาย   คนที่ยืนอยู่บนหอคอยที่ราบสูงจะได้เปรียบกว่า  จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งเกิดขึ้นชัดเจนกว่า  เราควรจะหันหลังให้กับความกังวลใจเหล่านั้น  แล้วเพ่งไปที่พระเจ้า      นี่คือเคล็ดลับของความสุข  อ.เปาโลก็สอนเช่นกันใน  ฟป4:6-7    เมื่อเรามอบเรื่องเหล่านั้นต่อพระเจ้า  เราไม่มีสิทธิที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาแก้ไขด้วยตัวของเราเองอีก    ถือเป็นการไม่ให้เกียรติพระเจ้า


             2.แสดงถึงการคาดหวังคำตอบจากพระเจ้าเท่านั้น   ฮาบากุกยืนเฝ้าคอยพระเจ้าบนหอคอย  เพื่อที่จะมองดูว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไร   เมื่อเราทูลอธิษฐานกับพระเจ้าเราต้องจริงจังและถือว่าเรื่องนั้นสำคัญอยู่  และเราเองก็ยังคงต้องการคำตอบนั้น   จดจ่ออยู่ที่พระเจ้าไม่ใช่จดจ่อกับสิ่งที่คาดหวัง    ( คริสเตียนหลายครั้งเมื่ออธิษฐานอะไร  เราก็ปักใจของเราอยู่กับสิ่งของที่ขอไป)    แต่ฮาบากุกท่านกลับตาจับจ้องอยู่ที่พระเจ้า    คอยเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตรัสบอกกับเขาเช่นไร     และเขาจะทูลด้วยความทุกข์อย่างไรต่อพระองค์ 


ดังนั้นคริสเตียนไม่เพียงแค่ระบายปัญหาความทุกข์ให้พระเจ้าฟังเท่านั้น  แต่เราจะต้องเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตอบแก่เราเช่นใด    ปัญหาของมนุษย์ทุกคนคือ  ชอบพูดแต่ไม่ชอบที่จะฟัง      นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า  " จงช้าในการพูดไวในการฟัง"    ยากอบ 1:19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ          คนสมัยนี้กลับไวในการพูด   ไวในการโกรธ  โกรธง่ายๆ    โกรธให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง    และเรามักเอาปืนใหญ่ไปไล่ยิ่งแมงวัน       สดุดี 46.10 กล่าวว่า ?จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า     บางครั้งปัญหาในครอบครัวเกิดขึ้น  เพราะการฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ            

 

3.เปลี่ยนความคิดใหม่     ฮบก 3:16
เมื่อฮาบากุกยืนเผชิญกับปัญหา  เห็นปัญหาจนชอกช้ำใจ เสียใจ  และสะเทือนใจ   จึงทำให้เขาวิตกกังวลใจ  มีความทุกข์ระทมใจ   ถ้อยคำแต่ละคำที่กล่าวเอยออกมามีแต่คำว่า ทำไม ?  ทำไม ?   อีกนานสักเท่าใดหรือ ?      ถ้อยคำเปล่านี้ส่อให้เห็นถึงคนที่กำลังสับสน เดินอยู่ในอ่างความคิด  อยู่ในวังวนของความท้อถอย      จึงทำให้เราเริ่มมองโลกในแง่ร้ายเสมอๆ  เห็นปัญหาเล็กๆเป็นปัญหาใหญ่ๆ    บางทีเราก็อาจจะวิพากวิจารณ์พระเจ้าไปต่างๆนาๆตามความคิด และการเห็นในมุมของเราเอง      


เมื่อเราอยู่ปราศจากความคิดแบบพระเจ้า   มองจากหอคอยของตนเอง       เราจะเริ่มสงสัยพระเจ้า     เราเริ่มไม่อยากถวายสิบลดแด่พระเจ้า       เราเริ่มมีคำถามต่างๆนาๆว่าทำไมต้องทำ ?        ทำไมต้องทุ่มเทชีวิตกับพระเจ้าและคริสตจักร        บางทีเราก็อาจจะถามว่า  เราจะทำแบบนี้อีกนานสักเท่าใด ?           อะไรๆที่เราเคยทำให้พระเจ้าเราเริ่มตั้งแง่      และมีเงื่อนไขไปหมด  และเรียนรู้จักบ่นว่าพระเจ้า     ต่อรองพระเจ้า           และ ไม่อยากทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์         โดยอ้างว่าสมัยนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว    เราคิดเล็กคิดน้อยต่อพี่น้องกันเอง        เริ่มไม่สดชื่นในจิตวิญญาณ       ทุกๆอย่างมองเป็นผลประโยชน์และธุรกิจเสียหมด       เวลาของเราก็เริ่มมีคุณค่าสำหรับตัวเอง  เป็นเงินเป็นทอง     เราเริ่มหาอะไรๆที่ให้คุณค่ากับตัวเองมากกว่าที่จะรับใช้พระเจ้า หรือผู้อื่น  เราเองก็ตั้งความหวังไว้สูง  มีมารตฐานของตัวเองไว้สูง   เราก็คิดว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องกว่าวิธีการของพระเจ้า    เราเริ่มเรียกให้พระเจ้าทำตามในสิ่งที่เราต้องการ     บางทีเราก็ตั้งระยะเวลากับพระเจ้าอีกต่างหากว่า  กี่วันพระเจ้าต้องให้เราเห็นชัดเจน....      


แต่เมื่อฮาบากุกได้สัมผัสกับพระเจ้าอีกครั้ง    ได้เฝ้ารอคอยพระเจ้าตรัสกับเขา    มุมมองและทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม        เห็นได้ชัดเจน     และเขาก็ทูลปัญหาต่างๆที่กำลังต่อสู้และเผชิญกับอยู่นั้น       ทำให้เขาเริ่มเห็นทางออก   เห็นถึงคำตอบ   เห็นว่าวิธีของพระเจ้านั้นดีเหลือเข้าใจและเกินบรรยาย    

ดังนั้นในคำอธิษฐานของเราควรจะเป็นคำอธิษฐานที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า  ฮบก 3:1            ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ  เมื่อฮาบากุกได้ยืนอยู่เหนือหอคอยที่สูง      และมองลงมาเห็นสภาพปัญหาต่างๆ   เขาไม่มีข้อกังขาใดๆ   เขากลับยื่นขออุทธรณ์ต่อพระเจ้าเพื่อขอการอภัยโทษจากพระเจ้า       ( ไม่รู้จะเหมือนคนไทยกำลังทำเพื่อคุณทักษิณหรือเปล่า )        ฮาบากุกเริ่มยอมรับได้ว่า    สิ่งที่พระเจ้าทำลงไปในชีวิตของเขาในบ้านเมืองของเขา   ในสังคมของเขานั่นถูกต้องดีแล้ว   สมแล้ว......     

เขาเริ่มกล่าวไว้ใน ฮบก3:17-19 ว่า   แม้สถานการณ์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเลยสักเท่าไรเลย    ต้นมะเดื่อที่เคยดกดำก็ไร้ดอกบาน     เถาองุ่นก็เหี่ยวแห้งไป    แม้ต้นมะกอกเทศก็ตาย   ฟ้าฝนก็ไม่ได้ตกลงมาเพื่อทุ่งนา      ฝูงสัตว์ก็ล้มตายไปด้วยโรคซา  หรือหวัดหมู             สรุปแล้วก็คือว่า    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันต่อวันไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด    แต่คนของพระเจ้าที่รับการเปลี่ยนแปลงความคิดแล้ว      เขาจะยังสามารถมีความชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้      ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเงินของเรามีฝากไว้ธนาคารเท่าไร     


ให้สังเกตว่า   ความกังวลถูกเปลี่ยนไปเป็นการนมัสการ       ความกลัวกลายเป็นความเชื่อ    ความหวาดระแวงกลายเป็นความไว้วางใจ    ความสิ้นหวังกลายเป็นความหวัง     และความปวดร้าวใจแสนสาหัสมลายกลายเป็นการเทิดทุนบูชา     สิ่งที่เริ่มต้นด้วยการสงสัยกลับจบลงด้วยความอัศจรรย์ใจ        คำตอบ ต่อคำถามของฮาบากุก ที่ขึ้นต้นด้วย คำว่า  เหตุไฉน (why?)   ความว้าวุ่นใจของเขา ถามว่า ? ทำไม   จึงมีแต่ความสับสนอลหม่าน      แต่ความสับสนนั้นก็ได้รับการเยียวยาด้วยความเข้าใจ       ที่ว่าใครเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์ทั้งสิ้น        ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนความคิดใหม่     ฮบก 3:16  

เปลี่ยนมุมมองใหม่กับพระเจ้าแล้ว   จะนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี และมีความหวังใจที่ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องมีอะไรๆ      ดังคนในโลกนี้คิดชีวิตคริสเตียนมีความสันติสุขแท้       ไม่ใช่เพราะว่าเรามั่งมีทางโลกอย่างเดียว      แต่สุขเกิดขึ้นได้   แม้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย         เรากลับเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ความคิดของตนเองใหม่      เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจ        ท่านก็จะไม่ทำเหมือนคนส่วนใหญ่  คือขมขื่นและต่อว่าพระเจ้า        ท่านกล่าวว่า  ?ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า  ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า?         เพราะเหตุนี้  ท่านจึงได้รับกำลัง  ได้รับการปกป้อง  ได้รับการยกสูงขึ้นให้พ้นและมีชัยเหนือสถานการณ์  ท่านกล่าวต่อไปว่า ?พระเยโฮวาห์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง  เป็นกำลังของข้าพเจ้า  พระองค์ทรงกระทำเท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย  พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูง? (ฮบก. ๓:๑๗-๑๙)     ดุจกวางน้อย   เป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะของการระวังภัยสูงมากจึงมีอาการตื่นตัวและระมัดระวังภัยจนเป็นนิสัย      ตีนคู่หลังของกวางตัวเมียมีความสามารถที่จะย่ำลงบนรอยตีนคู่หน้าพอดีโดยไม่พลาดแม้แต่นิ้วเดียว  และยังสามารถตะกุยขึ้นที่สูงได้อย่างที่สัตว์ที่กำลังตามล่ามันไม่สามารถขึ้นได้  เมื่อคุณเลือกที่จะร่าเริงและเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าอยู่เสมอ  พระองค์จะทรงประทานกำลังและความสามารถพิเศษให้คุณ  คุณจะไม่พลาดจากเส้นทางที่นำชีวิตให้ก้าวสูงขึ้น         หากชีวิตคุณในเวลานี้ดูเหมือนจะขาดทรัพย์สิ่งของ  อย่ามัวท้อแท้  พร่ำบ่น  ต่อว่า            อย่าเลื่อนวันแห่งความสุขของคุณออกไปอย่างไม่มีกำหนด      คุณมีทรัพย์ล้ำค่าที่ไม่มีใครแย่งไปจากคุณได้อยู่ภายใน  คุณมีความชื่นบาน  สันติสุขและความชื่นชมยินดีของพระเยซูเอง  ตัดสินใจวันนี้ที่จะเลือกร่าเริงในพระเจ้า  เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของคุณ         คุณจะมีความชื่นบานยิ่งกว่าได้ทรัพย์สินใดใดในโลก          พระเจ้าจะทรงประทานกำลังและความสามารถพิเศษให้กับคุณ       จะทรงนำคุณสู่เส้นทางที่พระองค์จะทรงยกคุณขึ้นสูงและมีชัยเหลือล้นเหนือสถานการณ์  และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?