gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เรื่อง ภาระใจขององค์พระผู้เป็นเจ้า

 

คำเทศนาเรื่อง    ภาระใจขององค์พระผู้เป็นเจ้า 
ข้อพระคำ  มาระโก 6:30-42
โดย  อ.เรวัฒน์  เทพจักร์

ชีวิตของคริสเตียนที่เติบโตขึ้นในความเชื่อแล้ว  จะมีกิจวัตร2 อย่างคือ  การใช้ชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า  จากนั้นก็จะก้าวสู่การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้อื่น   โดยจะกระทำวนเวียนเช่นนั้นตลอดเวลา   และประเด็นสำคัญของชีวิตคริสเตียนจะต้องกระทำทั้งสองสิ่งนี้ให้สมดุล  คือไม่ใช่ว่ายุ่งกับกิจกรรม-กับคนจนไม่มีเวลาเข้าหาพระเจ้า  หรือถอนตัวจากสังคม-ผู้คนมาอยู่กับพระเจ้าจนลืมสังคม        จากพระวจนะของพระเจ้าในมาระโก 6:34   ทำให้เราได้เห็นถึงแบบอย่างภาระใจของพระเยซูคริสต์  3 ประการคือ 


ประการที่ 1  ไม่หมก มุ่นกับกิจกรรมจนกระทั่งทอดทิ้งพระเจ้า   มก 6:30 


          หลายครั้งที่ชีวิตของเราจะต้องโลดแล่นไปพร้อมๆกับงาน  กิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้น  ประชุมที่สำคัญบ้างและทั้งที่ไม่ได้สำคัญๆอยู่บ่อยครั้ง   หลายครั้งเมื่อนั่งดูตารางปฎิทินของเราแทบจะไม่มีว่างเว้น      ตัวอย่าง:  ทุกวันนี้คริสตจักรแต่ละแห่งมักตื่นตัวในการจัดสัมมนา และประชุมบ่อยๆตลอดเดือน  หากเราไม่ฉลาดพอทุกๆวันของเราก็จะเต็มไปด้วยงานประชุม เสวนา     และในที่สุดเวลาที่มีค่าที่เราควรจะจัดแบ่งให้พระเจ้าก็จะไม่ได้เกิดขึ้น     
          ตัวอย่าง :  เช่นเดียวกับเรื่องมารีย์กับมารธา    หลายๆครั้งที่เรากระทำเช่นเดียวกับมารธา ที่สาละวนอยู่กับงานที่เคยชิน จนพลาดสิ่งที่สำคัญกว่า    ลก10:40-41
          ตัวอย่าง :  พระเยซูตรัสสอนว่า คนจนอยู่กับท่านเสมอ      ยน 12:8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับท่านเสมอ   แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ" 


นั่นกำลังบอกให้เรารู้ว่า งานสังคมสงเคราะห์จะไม่มีวันหมดสิ้นในโลกนี้   ทุกๆวันเราจะเห็นผู้คนที่ยากลำบาก  คนที่ต้องการความช่วยเหลือ คนที่ต้องการให้เรายื่นมือเข้าไปดูแลเขา   ดังนั้นคริสเตียนเราจะต้องไม่ลืมตัวเองว่าจะมุ่งมั่นกับงานบริการคนอื่นๆ  รับใช้คนโน้นคนนี้จนแทบไม่มีเวลาให้กับพระเจ้า    การเฝ้าเดี่ยว หรือการแสวงหาพระเจ้า  หลายครั้งที่เราติดต่อพระเจ้าจงระวังไม่เพียงแค่เป็นผู้รับสารจากคนอื่นแล้วส่งต่อๆไปถึงพระเจ้า   เหมือนการส่งอีเมล์คลิกไปก็คิดว่าเสร็จกระบวนการแล้วหรือ?    หรือการ FW อีเมล์ไปถึงพระเจ้า               พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งพระองค์ไม่ต้องการให้ใครฝากสารถึงพระเจ้า    ตั้งแต่ไหนแต่ไรในปฐมกาลพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสนทนาคุยกับมนุษย์     หลายครั้งที่เราก็รู้ว่าพระองค์คือแหล่งแห่งสติปัญญา และพระกำลังมากมาย    แต่เราก็ไม่ได้นั่งลงเพื่อที่จะแสวงหาการทรงนำ หรือการแนะแนวทางจากพระเจ้า    เราพึงพอใจกับการนั่งสอนหนังสือที่จดบันทึกเรื่องของพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง  แต่เรากลับเพิกเฉยต่อเสียงของพระเจ้า      
                ตัวอย่าง :  เช่นเดียวกับพวกธรรมาจารย์และฟาริสีที่เคร่งครัดในการถวายสิ่งๆเล็กๆน้อยๆอย่างขาดเสียไม่ได้  แต่พระเยซูตรัสว่า สิ่งที่พระเจ้าต้องการคือความรัก  ที่เขากลับพลาดที่จะกระทำอย่างเอาจริงเอาจัง ลูกา บทที่ 11:42 "แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายทศางค์ของสะระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง  และได้ละเว้นความชอบธรรมและความรักพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว  แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างแม้งานของพระองค์จะเหนื่อยและหนักแค่ไหน    แม้ภาระกิจจะรัดตัว ผู้คนจะมาหาพระองค์จนเวลาแทบจะทานอาหารไม่มี  แต่พระองค์ก็ไม่ละเลยต่อการอธิษฐาน   การเสาะหาสถานที่เปลี่ยวเพื่อการอธิษฐาน     มาระโก บทที่ 1:35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น     

             ลูกา 5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐานแต่คริสเตียนเรากลับหาเสาะหาที่เปลี่ยวเพื่อกระทำในสิ่งตรงกันข้าม  คือนอนหลับ     สิ่งเหล่านี้มันคือชีวิต และความรับผิดชอบของส่วนบุคคล      คนอื่นๆจะมาตั้งกฎเกณฑ์ให้กันไม่ได้    คงถึงเวลาแล้วที่เราทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับการมีเวลากับพระเจ้า    เราบอกใครๆต่อใครๆว่าพระองค์คือเจ้าบ่าวของคริสตจักร  แต่คริสตจักรหมายถึงเราทั้งหลายกลับไม่ค่อยมีเวลาให้กับเจ้าบ่าวของตนเอง     
       
ตัวอย่างโป๊ป      เตือนให้เข้าวัดบ้าง  04 มิถุนายน โป๊ปหวังคริสตังรู้จักแบ่งเวลาขอบคุณพระบ้างในชีวิตประจำวัน    สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงหวังเห็นคริสตังแบ่งสรรเวลาในแต่ละวันให้กับการ    ขอบคุณพระ มิใช่ เอาแต่ทำงานและพักผ่อนโดยลืมนึกถึงพระองค์ ย้ำ ห้ามลืมไปวัดวันอาทิตย์เด็ดขาด เพราะนี่คือวันที่เราจะได้พบ กับความงดงามของพระศาสนจักร และได้รับความหมายแท้จริงให้ชีวิต   ที่มา นสพ.ผู้จัดการ 4 มิย 09

           เราจะสร้างอุปนิสัยจนมันกลายเป็นกิจวัตรในชีวิตของเราอย่างไรในเรื่องนี้   ให้เราตั้งกฎเกณฑ์ในตัวเองว่า  ถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่ได้อ่านพระคำจะไม่ทานอาหารเช้า   หรือถ้าไม่ได้รับพระคำ จะไม่หลับ      หรืออาจจะตั้งเวลาไว้ว่าทุกวัน8.00 น.เราจะอธิษฐานรวมพลังกันทั้งคริสตจักร        หากเราไม่ได้มองเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นงานที่เร่งด่วน  เราจะทอดทิ้งพระเจ้าไปได้ง่ายขึ้น     และหันไปยุ่งๆกับภาระกิจการงานประจำ และงานไม่ประจำของเรา  รวมถึงกิจกรรมต่างๆทั้งในครอบครัว สังคมของเพื่อนๆ   หรือแม้กระทั่งในคริสตจักรมากจนเกินเหตุ   เราจะเริ่มกลายเป็นนักกิจกรรม       จนกระทั่งเวลาของเรากับพระเจ้าเริ่มมีปัญหา   เริ่มลดน้อยถอยลง      จึงนำพาชีวิตของเราไม่ได้เกิดผลในพระเจ้ามากตาม ยน 15:7  เพราะเราขาดการติดสนิทพระเจ้า   

              แบบอย่างพระเยซูคริสต์คือ  ไม่หมกมุ่นกับกิจกรรมจนกระทั่งทอดทิ้งพระเจ้า   

ประการที่ 2  ไม่หมก  มุ่นกับพระบิดาเจ้า  จนกระทั่งทอดทิ้งฝูงชน       มก 6:34

            ในบางครั้งคริสเตียนก็เอาจริงเอาจังกับพระเจ้ามาก  พระเจ้าสัมพันธ์ดีมากๆ  แต่มนุษย์สัมพันธ์มีปัญหา   หลายคนยุ่งกับการเฝ้าเดี่ยว การอธิษฐาน  และการอ่านพระคำของพระเจ้า   เขาเหล่านี้ไม่สนใจใยดีว่าใครจะเป็นลม เป็นแล้ง  และดิ้นตายข้างๆ    บางคนจดจ่ออยู่กับการทำลายสถิติการอ่านพระคัมภีร์และชั่วโมงที่ยาวนานของการอธิษฐานเช้าตรู่       หรือการเข้าร่วมกิจกรรมของพระเจ้า  จนไม่สนใจว่าเพื่อนบ้านชื่ออะไร     เพื่อนมนุษย์จะเป็นอย่างไร   คนรอบข้างเขากำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องใด     หมายถึงว่าจิตใจของเราจดจ่อที่พระเจ้ามากจนไม่มีเวลาพอที่จะให้กับครอบครัว   หรือเพื่อนสนิท      


             มก6:34   พระเยซูคริสต์ทรงมีพระทัยสงสารผู้คน   มิได้นั่งสงบลำพังตลอดเวลา แต่ทรงเปิดพระเนตรมองดูความต้องการของคนอื่นๆ    และเห็นถึงความหิวโหย และสภาพปัญหาที่ยากลำบากของคนรอบข้างพระองค์   เห็นคนที่ถูกกระทำเป็นเหมือนฝูงแกะที่ขาดการดูแลเอาใจใส่   เห็นน้ำตาของเพื่อน  เห็นถึงลึกที่ทำให้เพื่อนเจ็บ  
             ซึ่งต่างกับคนในยุคสมัยนี้มาก  ทุกวันนี้เรากลับเห็นแต่ความต้องการของตนเองสูง  เห็นถึงความยากลำบากที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่  เห็นถึงโรคภัยไข้เจ็บของเราเอง  เห็นถึงความประปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับหน่วยงาน หรือองค์กรของตนเองมากจนเราลืมมองดูที่จะเห็นความต้องการของคนอื่นว่าเป็นเช่นไร    เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้ตัว 

             ตัวอย่าง :  อ.เปาโลสอนว่า   1คร10:33 ข้าพเจ้าเองได้พยายามกระทำทุกสิ่งเพื่อให้เป็นที่พอใจของคนทั้งปวง มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว   แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้เขารอดได้
             พี่น้องที่รัก  เราได้เพียรพยายามแค่ไหนในการทำให้คนทั้งปวงพอใจ  เราพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถแล้วหรือยังที่จะทำให้เพื่อนพี่น้องในคริสตจักรได้รับประโยชน์   
 

ประการที่ 3  ไม่หมก เม็ดจากความรับผิดชอบ   มก 6:35-38 
       หมกเม็ด  ประกอบด้วยคำว่า หมก และ เม็ด
       หมก  แปลว่า   ซุกไว้ข้างใต้ เช่น ปลาช่อนมักจะหมกตัวอยู่ในโคลน. เขาแอบเอา ไหเหล้าไปหมกไว้ในกองฟาง.
       เม็ด   หมายถึง   เล่ห์เหลี่ยม สาระ หรือประเด็นสำคัญ 
       สรุปคำว่าหมกเม็ด หมายถึง   ซ่อนประเด็นหรือสาระสำคัญไว้, ซ่อนเงื่อนไขบางประการไว้, ซ่อนเงื่อนไขซึ่งจะ
       นำไปสู่ประเด็นอื่น   


พวกสาวกกลับเห็นในสิ่งตรงกันข้ามพระเยซูคริสต์   พวกเขาขอร้องเชิงบังคับพระเยซูให้เป็นคนสั่งประชาชน    สั่งให้พวกเหล่านั้นออกไปเสียเพื่อให้ทุกคนได้รับผิดชอบภาระของตนเอง    ไม่ใช่ให้ภาระตกอยู่ที่สาวก 
โดยเสนอเหตุผลหลายข้อหลายอย่างเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ และหมกเม็ด
1.เพราะเวลาเกือบค่ำลงแล้ว
 2.เพราะที่นี่กันดารอาหารนัก
 3.เพราะแต่ละคนควรจะรับผิดชอบตัวเอง  ไม่ใช่เป็นภาระผู้อื่น
 4.เพราะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะจัดซื้ออาหารด้วยเงินมากมาย  (คนทำงาน 8 เดือน)

       หลายๆครั้งในชีวิตคริสเตียนเราก็มีเหตุผลมากมายที่พอจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบธุระของครอบครัว   ของเครือญาติ ของพี่น้องในพระกายพระคริสต์   หรือโครงการต่างๆของคริสตจักร       ดูเหมือนเราจะนั่งลงหาเหตุผลอันมากมายมาเพื่อแสดงถึงจุดยืนของตนเอง   เช่นเดียวกับพวกสาวกของพระเยซูในสมัยนั้น     เมื่อพวกเขาจำต้องรับผิดชอบงานใหญ่ในค่ำเย็นวันนั้น       พวกเขานึกถึงปัญหาเรื่อง    ? งบ?  ไม่พอ     เช่นเดียวกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง     เมื่อต้องเข้ามาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง     หลายครั้งเมื่อนำเสนอเมกะโปรเจคก็จะเผชิญกับปัญหาเงินกองคลังไม่มีเพียงพอ  เช่นเดียวกับปัญหาการเช่ารถ NGV จะเช่าหรือซื้ออะไรคุ้มค่ากว่า             พวกสาวกของพระเยซูในสมัยนั้นก็ก็คงจะนั่งเอามือกุมหัวคิดหนักว่าจะทำอย่างไรกับคนเรือนหมื่นที่หิวโหย        ปัญหาของสาวกพวกเขาก็ใช่ว่าจะมีกำลัง และเงินทองอะไร     พวกเขาจึงไม่พร้อมที่จะหุงหาอาหารเลี้ยงใครๆนอกจากสาวก12 คนกับพระเยซูในเย็นวันนั้นเท่านั้นเอง       ด้วยเหตุผลงบประมาณไม่มีพอ    จึงทำให้พวกเขาขอบายที่จะเลี้ยงดูคนเหล่านั้น       


         แต่พระเยซูคริสต์ตรัสถามพวกสาวกว่า    ในพวกท่านมีขนมปังกี่ก้อนไปดูซิ.....    สิ่งที่น่าสังเกตคือ  พระเยซูถามถึงเต็มที่ที่พวกเขามี   พระองค์มิได้ต้องการให้เขาทำเริ่มจากสิ่งที่ไม่มี    พระองค์เป็นพระเจ้าไม่มีอะไรที่พระองค์จะทำไม่ได้ แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่ทำหากเราไม่ยอมที่จะทำ     แท้จริงทรงสามารถเลี้ยงคนเรือนหมื่นโดยไม่ต้องพึ่งอาศัยสาวกสักคนเดียวได้....  แต่ก็ทรงปรารถนาให้สาวกมีส่วนร่วม    คริสตจักรคือภาชนะของพระเจ้า  พระองค์ทรงใช้ชีวิตของเรา  ความเชื่อของเรา   เราคือท่อแห่งพระพรของพระเจ้า        ในวันนี้ขอให้เราเต็มที่เท่าที่เรามีอยู่  พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้สาวกทำอะไร  หรือขอให้เราทำในสิ่งที่เกินกว่าที่เรามี    และหากพระเจ้าประสงค์ให้เราทำสิ่งใหญ่โตมากกว่าสิ่งที่เรามี  จงมั่นใจว่าพระเจ้ามีวิธี   และพระเจ้าคือผู้รับผิดชอบ   เพียงเรามีความเชื่อ และเชื่อฟังพระเจ้า       

         ในวันนี้ขอเพียงเราไม่หมกเม็ด  คือซ่อนประเด็นหรือสาระสำคัญไว้, ซ่อนเงื่อนไขบางประการไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับพันธกิจที่ดูเหมือนเกินกำลัง     ขอเพียเราเทในสิ่งที่เรามี  เมื่อพระเจ้าทรงนำพาให้เรากระทำอะไรไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กหรือใหญ่   จะยากหรือง่าย  จะเป็นเงินทองมากหรือน้อย   อย่าคิดว่าเราจะทำไม่ได้  อย่าพยายามมองว่าจุดที่คิดว่าเราจะทำมันไม่ได้   แต่ให้เราดูจากสิ่งที่มีอยู่  ขอเพียงเราเต็มที่ เท่าที่เรามีให้กับพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ    

        เช่นเดียวกับศูนย์ AYC  หรือค่ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในคริสตจักร  หรือเรื่องอะไรในชีวิตของท่าน ในครอบครัวของท่าน  อย่าท้อถอย หรือถอดใจเสียก่อนเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรายังไม่มี   แต่ขอให้เราเต็มที่เท่าที่เรามี        อย่าให้เราคิดอย่างสาวกว่างบประมาณไม่มี  จึงไม่ขอทำอะไรกับคนเรือนหมื่นคนที่รอคอย       ถ้าพระเยซูทรงกระทำในวันนั้นได้  พระองค์ก็ทำได้ในชีวิตของเรา         แต่สุดท้ายสาวกก็เชื่อฟังและทำตามพระเยซูสั่ง   คนทั้งปวงก็เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า  และอัศจรรย์ใจยิ่งนัก  และต่างก็สรรเสริญพระเจ้ามาก    และทุกอย่างก็เพียงพอ   และยังเหลือเกินคาด

แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฏาคม 2010 เวลา 16:38 น.)

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?