gototopgototop
Get Adobe Flash player
Highlighter
การรอรับพระพร (Waiting Blessed) » การรอรับพระพร (Waiting Blessed) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com) การรอรับพระพรเพียงอย่างเดียวเป็นการเห็นแก่ตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขี้เกียจไม่ยอมทำอะไรได้แต่นั่งคอยให้ราชรถมาเกย ซึ่งเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอนก็เหมือนกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อรอคอยให้สิ่งที่ขอตอบสนองความต้องการในชีวิต หรือขอให้มั่งคั่งร่ำรวยมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตอะไรทำนองนั้น หรือแสวงหาโชคลาภ รอคอยโชคชะตาราศีว่าสักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พระเจ้าไม่ได้สอนไห้เรากระทำเช่นนั้น การที่จะได้รับพระพรต้องขึ้นอยู่กับการกระทำให้เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเราเปล่า ฟรีๆ ไม่ได้คิดมูลค่าก็จริง แต่ถ้าเราจะรับเอาพระพรก็ต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อพระคัมภีร์ มธ.6:33”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” การที่เราจะได้รับสิ่งทั้งปวงนั้นจำเป็นที่เราจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน คือการเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ผูกพันด้วยรักอย่างลึกซึ้งเป็นเนื้อเดียวกัน เปรียบเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นเอง ในเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้วก็คิดว่าได้รับความรอดเบ็ดเสร็จโดยที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว (ผิดครับ) ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นความเชื่อที่ถูกต้องคือการประพฤติตาม และยอมรับการเปลี่ยนแปลง 2คร.6:1”ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราจึงวิงวอนท่านว่า ‘อย่าสักแต่รับพระคุณ’ ของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากบาป มนุษยไม่สามารถกระทำตามธรรมบัญญัติได้เลย ยากเกินกว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างเราๆ จะทำตามได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จลงมาจากเบื้องบนเพื่อยอมตายบนไม้กางเขน ถ้าเรารอดโดยธรรมบัญญัติ กท.2:21”ข้าพเจ้า ไม่ได้กระทำให้พระคุณพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ความเชื่อ คือการกระทำตามนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัส เพราะว่าถ้าไม่กระทำตามเมื่อวันนั้นมาถึงมิใช่ทุกคนที่เรียกว่า “พระองค์เจ้าข้า” พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ มธ.7:21”มิใช่ทุกคนที่เรียกว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้าจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่เราหวัง คือพระเยซูคริสต์ของเราที่จะเสด็จกลับมา ถ้าเรามัวรอรับแต่พระพรที่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คอยแต่แบมือขออย่างเดียวแล้วถ้าไม่มีใครให้ ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่เคยช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยทำอะไรเองเหมือนเด็กที่เอาแต่แบมือขอตังค์พ่อแม่อะไรทำนองนั้นแหละครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะให้เพราะเราเป็นลูกก็ตาม แต่การให้นั้นเป็นด้วยความรักความผูกพัน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราก็ได้ถูกสอนให้พึงตัวเองใช่ไหมครับ ต้องทำมาหากินเอง แต่ก่อนที่จะมาช่วยตัวเองได้ก็ถูกเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในสารพัดสิ่ง ในทุกเรื่อง พระเจ้าก็เช่นเดียวกันถึงแม้พระองค์จะเทพระพรลงมาให้เรา แต่พระองค์ก็ตรัสให้เรากระทำตามในสิ่งที่พระองค์ได้สอนเหมือนกัน แนวความคิดของการแยกตัวเองออกมาจากความชั่ว คือพื้นฐานในการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า พร้อมกับผู้คนของพระองค์สู่พระคัมภีร์ การแยกตัวผูกพัน คือ ปฏิเสธ และรับเอาสิ่งอื่นที่ดี แยกตัวเองดำเนินชีวิตออกมาจากบาป และจากทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่ความชอบธรรม และพระคำของพระเจ้า ต้องเข้ามาใกล้พระเจ้า ติดสนิท และเป็นความสนิทสนมด้วยการอุทิศตัว สรรเสริญและนมัสการ พร้อมกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยใจกล้าหาญ ไม่มีข้อแม้ใดๆ เป็นการตอบสนองพระคุณที่ได้มีให้กับเรา การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ออกมาจากการถูกกักขังของความบาป 2คร.6:16-18”วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์  ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา””พระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้น เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากาเขาทั้งหลายอย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย””เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” ดังนั้น การแยกตัวเองออกมาจากความบาปจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ชีวิตที่จะดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้นั้นต้องยอมจำนนและดำเนินต่อไปซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อประชากรของพระองค์ พวกเราต้องคาดหวังที่จะบริสุทธิ์ แตกต่างและแยกออกมาจากผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเข้ามาสู่ภายใต้พระเจ้าด้วยตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องเกลียดบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงเกลียด การกระทำทั้งสิ้นเหล่านี้จะเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการแยกตัวเองออกมาจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงของโลกใบนี้ ถึงแม้การยืนอยู่ตรงข้ามกับบาปจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม แต่ก็จะเป็นที่รักยิ่งหรือที่เรียกว่าเป็นคนโปรด คุณเคยเป็นคนโปรดหรือไม่ครับ? การเป็นคนโปรดจะมีความสุขมาก เพราะร้องทูลขอสิ่งใดก็จะได้รับคำตอบ หรือจะได้รับพระพรนานาประการจากพระองค์ เราจะพบว่าทำไมพระเจ้าจึงให้นางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณ และคลอดบุตรชายที่มีชื่อว่า “เยซู” ล่ะครับ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นคนโปรดนั่นเอง การที่ได้เป็นคนโปรดก็ว่านางได้ใช้เวลากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ลก.1:28,30”ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า เธอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมากจงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ””แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า มารีย์เอ๋ยอย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว” เราจะพบถึงสองข้อด้วยกันที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ “กาเบรียล” มากล่าวแก่นางว่า “เธอเป็นหญิงที่พระเจ้าทรงโปรดปราน” ขอบคุณพระเจ้าที่ได้สำแดงถึงความโปรดปรานแก่นาง ซึ่งนี่เองเป็นการยืนยันถึงพระพรที่ประชากรของพระองค์จะได้รับเช่นกัน เพียงแค่แยกตัวเองออกมาจากระบบของโลก ใช้เวลาอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับนางมารีย์ด้วยกันครับ แล้วสิ่งที่รอคอยก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตที่สัตย์ซื่อกับพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปได้โดยพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่าน ขอให้ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแห่งพระพรนะครับ.... วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 14:37 น.
พลังแห่งความปรารถนาที่ลึก (The Power Of A Deep Desire) » pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   พลังความปรารถนานี้ก็เพียงแค่เข้ามาพิจารณาความจริง  สิ่งนี้อาจจะปฏิวัติชีวิตของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง น้ำแห่งชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตไหลเทลงมาด้วยความเชื่อ และความศรัทธาด้วยผลแห่งการอธิษฐาน และพระพรทั้งหมดแห่งชัยชนะของเราด้วยจิตวิญญาณภายใน พระพรนี้จะเข้ามาเป็นส่วนตัวและสำหรับคริสตจักรที่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้า ไม่เชื่อว่าเราไม่เคยรู้ถึงพลังอันมหาศาลนี้ที่อยู่ในความปรารถนาลึกๆ ของเรา เราได้ยินมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐานของเราและพระคำแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้จัดการกับความปรารถนาของเรา เราก็จะใส่สิ่งนี้เข้าไปก่อนเป็นอันดับแรก ความปรารถนาคือรากฐานของเราที่จะทำให้ภูเขาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเชื่อ และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของการอธิษฐาน นี่คือเคล็ดลับของการฟื้นฟูจิตวิญญาณทั้งหมด ความปรารถนาคืออะไร? เรามักจะใช้คำนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร เรามักจะใช้ถึงความปรารถนาของตัวเราเอง “ต้องการ” แต่ถึงอย่างไรความจุของความลึกแห่งความปรารถนาซึ่งมีเพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะหยั่งถึง ความลึกความเข้มแข็งแห่งความปรารถนา คือการใช้ถ้อยคำในความจริงและลึกที่สุดในความรู้สึกแห่งความปรารถนาอันแรงกล้าในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุดในแต่อย่างที่เราปรารถนา ความปรารถนานี้เป็นความรักที่แข็งแกร่ง สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการเป็นความบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า “นิมิต” “แนวคิด” ที่จะกระตุ้นชีวิตของเรา และโชคชะตาถ้าเรายังไม่เคยรู้จักความจริงและความสำเร็จที่ชัดเจนจนกว่าพวกเขาจะมีไฟแห่งความรักความปรารถนานี้ภายในจิตใจของพวกเขา ความรู้ ความเข้าใจ และนิมิตที่ร่วมกัน มีข้อพระคัมภีร์อยู่สองเล่มที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบ ข้อแรกอยู่ใน โฮเชยา 4:6 “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย” ความรู้ของตัวเองไม่ได้นำมาซึ่งอำนาจ แต่การใช้ของพระองค์ คือ (ความเอาใจใส่) ความรู้เช่นนี้ก็จะสามารถเป็นไปได้ พระคัมภีร์เล่มที่สองอยู่ใน สภษ.29:18”ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข” นิมิต เป็นแสงสว่าง (การเผย) เราได้รับเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราในการรับใช้ มีอยู่สองสิ่งที่ได้สอนเรา คือประชากรขาดความรู้กำลังอยู่ในอันตรายของการถูกทำลาย และคนที่ไม่มีนิมิตก็จะพินาศ  การไม่มีนิมิตก็ไม่มีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ การก้าวก็จะช้าแต่แน่นอนก็จะสูญเสียผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ที่ลึกคือผลแห่งการร่วมกันในความรู้และนิมิต มันเป็นความรู้ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในเรา ความรู้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรแต่นิมิตได้ผลิตความแข็งแกร่งแห่งความปรารถนาที่จะเคลื่อนเครื่องจักรไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ความเชื่อที่แท้จริงจะมาสู่เราได้ก็คือ ความรู้แห่งพระคำ แต่ความรู้ในตัวมันเองก็ยังไม่พอขาดพลังขับเคลื่อน ความรู้ของเราแห่งพระคำของพระเจ้าจำต้องถูกสร้างขึ้นภายในตัวเราที่มีแรงปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับการปฏิบัติตามพระวจนะ หลายคนเข้าใจถึงพระสัญญาของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระสัญญาเหล่านั้น เพราะพวกเขาขาดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความต้องการที่แท้จริง ที่ลึกภายในก้นบึ้งแห่งหัวใจของเขาเอง ความปรารถนาของเราไม่ใช่เพียงแค่รู้ถึงพระสัญญาเพียงเท่านั้น แต่ต้องมั่นในทางความคิดด้วย กล่าวถึง และมีสันติสุขภายในด้วย การกระทำตามนั้นคือความเชื่อที่แท้จริง เป็นชนิดแห่งความเชื่อที่ได้ผลิตนิมิตให้เราติดตามด้วยไม่คาดสายตา  ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ต้องเต็มไปความเชื่อชนิดนี้ที่แข็งแกร่งมั่นคง มก.11:24 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ถ้ายังไม่ได้ขอให้เราขอก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา แต่ต้องเป็นการขอที่เต็มไปด้วยความเชื่ออันแรงกล้าอย่างลึกๆ ในจิตวิญญาณของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจภายใต้จิตสำนึกที่ดี คิดดี ทำดี มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งความดีงามที่ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อเราจะได้รับนิมิตและคว้าเอาไว้ด้วยความมั่นใจ และก้าวตามนิมิตนั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้เรายึดนิมิตเอาไว้ด้วยใจที่แน่วแน่ปราศจากความสงสัยในความคิด โดยยึดเอาพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบให้กับเราในพระวจนะที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช เพราะว่า ถ้าประชากรขาดการเผยธรรม เขาเหล่านั้นก็ขาดความยับยั้งชั่งใจทำอะไรโดยขาดจิตสำนึกที่ดี การขาดจิตสำนึกที่ดีเพียงนิดเดียวความปรารถนาเหล่านั้นก็ขาดพลังของการที่จะได้รับคำตอบ หรือไปไม่ถึงความต้องการ “นิมิต” นั้นๆ อย่างน่าผิดหวัง จริยธรรม คือ จริย+ธรรม  ซึ่งคำว่าจริยหมายถึง การประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ   ส่วนคำว่าธรรม หมายถึง คุณความดี เมื่อรวมกันแล้วก็คือการกระทำความดี หรือรวมถึงความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไปโลกก็จะวุ่นวาย ความชั่วหรือการขาดการยับยั้งชั่งใจก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติก็จะเป็นสุข สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างก็เป็นสุข โลกก็จะสงบ แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นผู้คนต่างชิงดีชิงเด่น แย่งชิงกัน ถ้าไม่ได้ตามใจปรารถนาก็ฆ่าฟันกัน เหตุเหล่านี้ก็คือความบาปที่ได้เข้ามาครอบงำมนุษยชาติ เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสตชนภายใต้ร่มพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าการยับยั้งชั่งใจจะมีอยู่ในเราทุกคนที่เชื่อและกระทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างเคร่งครัด และยึดนิมิตอย่างเข้มแข็งเพื่อก้าวไปด้วยแรงแห่งศรัทธา จนไปถึงความไพบูลย์ของพระองค์ด้วยแรงผลักดันแห่งนิมิตที่ได้ทรงมอบให้กับทุกท่านตามแต่พระประสงค์ในจิตใจที่ลึกแห่งความต้องการนะครับ เอเมน..... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ ท่านครับ.....   ................................................   วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2013 เวลา 21:07 น.
ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) » ฉบับสุดท้าย เพื่อน (Friend) ศจ.พงศ์ศักดิ์ ปิ่นแก้ว pinkaewpongsak@gmail.com (mailto:pinkaewpongsak@gmail.com)   หลังจากที่ผมรับใช้อยู่ในคริสตจักรใหญ่นั้นอยู่ร่วมหนึ่งปี ไม่มีเวลาพักผ่อนนอนไม่พอจนกระทั่งล้มป่วยลง จึงได้ลาออกจากที่นั่นเพื่อมาพักผ่อนรักษาตัวให้กลับมีกำลังขึ้นมาใหม่ ในช่วงนั้นก็ได้ใช้เวลากับพระเจ้าไปด้วยเพื่อขอการทรงนำในก้าวต่อไป แต่ในใจก็คิดถึงคริสตจักรหนึ่งที่เคยไปนมัสการก่อนเดินทางไปอังกฤษ (ทุกครั้งเวลาผมจะทำอะไรต้องอธิษฐานก่อนเสมอ) ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้อธิษฐานขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หลังจากนั้นก็ได้รับคำตอบจึงได้โทรศัพท์ไปหาศิษยาภิบาลและนัดหมายที่จะพบกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีผมเริ่มต้นรับใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใจที่เป็นอิสระ ชีวิตเริ่มเข้าไปสู่ทิศทางของพระเจ้ามากขึ้นถึงจะอยู่ไกลจากบ้านก็ไม่เป็นไรถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ทุกวันดูมีสันติสุขมาก เยี่ยมเยียนเลี้ยงดูจิตวิญญาณ ทำกลุ่มเซลล์ ประกาศ เป็นพยานแต่ก็ไม่หนักเหมือนตอนที่อยู่คริสตจักรก่อน เช่นเคยก็ยังกลับบ้านดึกเหมือนเดิมเพราะต้องทำกลุ่มเซลล์ จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม การรับใช้ในคริสตจักรนี้ผมก็ได้เป็นผู้ประสานงานขององค์กรอีอีสามประเทศไทยด้วย จุดนี้เองมีความสำคัญมากในเรื่อง “เพื่อน” เพราะว่าการเป็นผู้ประสานงานนี้ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปในภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อประสานงานขององค์กรในการกระตุ้นผู้ที่เคยมาอบรมหลักสูตรของการประกาศข่าวประเสริฐในรูปแบบของการทวีคูณ อีอี 3 ให้ได้กลับมาใช้ระบบนี้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ผมได้มีเวลารู้จักเพื่อนผู้รับใช้ตามภาคนั้นๆ ที่ได้เดินทางไปเพิ่มมากขึ้น นี่ก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะงานของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกันและกันเพื่อง่ายต่อการประสานฯ ตลอดระยะเวลา 6 ปีเต็มที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์อยู่ที่นี่มีความสุขมาก ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ผูกพันกับสมาชิกเป็นกันเองกับทุกคนยิ่งนานวันก็ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นกับพระเจ้า ผมว่าคริสตจักรนี้พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผมที่จะได้รับใช้ในหนทางที่จะไปสู่แผนการณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ ตอนที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับอับราฮัมว่า จงนำบุตรของเจ้ามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา พระองค์ทรงรู้ว่าอับราฮัมรักบุตรคนนี้มาก จึงต้องการทดสอบจิตใจดูว่าท่านจะรักบุตรของท่าน หรือว่ารักพระองค์มากกว่ากัน แต่ด้วยความเชื่อที่ท่านมีอยู่ไม่เคยจางหายไปนั้น ท่านได้กระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสทุกประการ ได้นำบุตรไป ณ สถานที่ที่จะถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่ยื่นมือจับมีดาจะฆ่าบุตรชาย แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า  อับราฮัม อับราฮัม เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า ยอมถวายบุตรคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น ก็พบแกะตัวหนึ่ง ปฐมกาล 22:13”อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย” สถานที่นั้นเอง ท่านจึงเรียกชื่อนั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์ นี่คือคำที่ว่า “พระเจ้าผู้จัดเตรียม” ถ้าเราเชื่อและกระทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราก็จะได้พบกับสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดสิ่งที่พระองค์บอกเกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมมาเสมอ ในช่วงที่รับใช้อยู่นั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้ไปถึงนิมิตที่พระเจ้าให้ก็คืองาน “ฤทธิ์เดช” ซึ่งเป็นงานประจำปีของชาวคริสตชนในประเทศไทย เป็นงานที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับใช้ร่วมกันเป็นพระพรมาก ยังจำได้ว่าในปี คศ.1998 ซึ่งก็จะถึงงานฤทธิ์เดชของปีนั้นได้มีการประชุมของคณะกรรมการจัดงาน ทางคริสตจักรก็ได้ส่งผมเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมกับเขาด้วย มีการประชุมอยู่หลายครั้งด้วยกันจนกระทั่งถึงเวลาที่จะเลือกผู้นำนมัสการ ก็ได้เลือกท่านนั้นท่านนี้อยู่หลายท่านด้วยกัน แต่พอเอาเข้าจริงมีอยู่ท่านหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะมาร่วมด้วย ทางคณะกรรมการก็เลยพูดในที่ประชุมว่าก็เอาอาจารย์พงศ์ศักดิ์ นั่นแหละนำนมัสการแทน นี่คือที่มาของการที่จะเข้าไปสู่นิมิตที่ได้ให้ไว้ คือมีอยู่คืนหนึ่งในอังกฤษขณะที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้นำให้เข้าไปสู่เวลาของพระเจ้า  แล้วก็ได้เห็นภาพนิมิตว่าตัวเองยืนถือไมค์โครโฟนอยู่ท่ามกลางฝูงชนรอบด้าน กระโดดโลดเต้นไปมา นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า เป็นภาพที่ประทับใจมากแต่ก็ไม่ทราบว่าภาพนี้เกิดขึ้นที่ไหน เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แปลกภาพที่เห็นนั้นเป็นคนไทยไม่ใช่ฝรั่ง ผมก็ได้เฝ้ารอภาพนั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย และนิมิตนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงในงาน “ฤทธิ์เดช” นี่เอง คืนที่ผมได้นำพี่น้องนมัสการพระเจ้า ในขณะที่ยืนถือไมค์มีฝูงชนของพระเจ้าทั้งยืนและนั่งอยู่รอบด้านเหมือนในนิมิตอย่างไงอย่างงั้นเลย ทำให้ผมรู้ว่านิมิตที่ให้นั้นคืองานฤทธิ์เดชผมตื้นตันใจมาก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ได้รับใช้ในงานฤทธิ์เดชอยู่หลายปี และผมก็เชื่อว่างานเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน พระเจ้าจะนำฝูงชนของพระองค์เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเป็นพลังอันมหาศาลเพื่อเสียงแห่งการสรรเสริญจะขึ้นไปสู่บัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพระพรของพระองค์จะเทลงมาสู่ปวงประชาชาติทั้งสิ้น จากการได้ติดตามพระเจ้าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่ำสมประสบการณ์ในทุกด้านที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ จากวันนั้นถึงวันนี้นิมิตต่างๆ ที่มีได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดพระองค์ไม่เคยที่จะไม่ทำตามพระสัญญาของพระองค์เลย จนกระทั่งได้มีโอกาสมารับใช้อยู่ในองค์กรหนึ่งจากหมายสำคัญที่ขอกับพระองค์ หลังจากที่ได้ออกมาจากคริสตจักรนั้นแล้ว ในช่วงที่ยังคงรับใช้อยู่ในงานฤทธิ์เดชวันหนึ่งหลังจากมีการประชุมเสร็จ ก็ได้อยู่คุยต่อกับผู้รับใช้อาวุโสสองท่านซึ่งอยู่ในองค์กรนั้น แล้วก็ได้ขอหมายสำคัญกับพระเจ้าว่า ถ้ามีท่านใดท่านหนึ่งถามว่าจะมารับใช้ด้วยกันในองค์กรนี้ไหม (นั้นคือหมายสำคัญ) และในเวลานั้นก็มีท่านหนึ่งได้ถามผมว่าจะมารับใช้ด้วยกันไหม ผมก็เลยรีบตกลง เพราะเป็นหมายสำคัญที่มาจากพระเจ้า รับใช้อยู่ในคณะฯนี้มาประมาณ 12-13 ปีมาแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า การรับใช้เป็นการรับใช้ไปรอคอยพระสัญญาไปด้วย ผมเชื่อว่าในขณะที่รับใช้ถ้าหัวใจของเราจดจ่ออยู่กับพระองค์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยากมากที่จะพรากเราออกไปจากพระองค์ สดุดี 1:2 “แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” พระธรรมข้อนี้ได้ทำให้มีการเชื่อมต่ออย่างอัศจรรย์ อุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำให้เราออกไปจากน้ำพระทัยได้ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการยึดมั่น ทุกการทดลองก็จะผ่านพ้นไปได้ เพราะการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องทนไม่ได้แม้สักครั้งเดียว 1คร.10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”   ทุกวันนี้การรับใช้ของผมอยู่ได้ก็โดยมีเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดของผมก็คือ “พระเยซู” พระองค์ทรงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นครอบครัวเดียวกันทุกสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตในพระมรรคาทุกลมหายใจเข้าออก คือผู้ที่ทรงนำข้าพระองค์กลับมา และเปลี่ยนแปลงทุกกระเบียนนิ้วในร่างกายนี้ บั้นปลายของชีวิตขอมอบอุทิศแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยนิมิตที่ได้มอบให้ วันเวลาเหล่านั้นที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่ง ด้วยทุกวันความเชื่อ และความศรัทธาจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ฝูงชนของพระเจ้าจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นประชาชาติอันมโหฬาร วางทุกสิ่งที่ถืออยู่ลง เหมือนชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะเฉลิมฉลองโห่ร้องเต้นโลด สรรเสริญนมัสการพระเจ้าโดยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังที่มีอยู่ ถวายสาธุการแด่องค์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการรอคอยจะไม่เสียเปล่าพระองค์ไม่เคยทำให้ต้องคอยแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น  สดุดี 126:3,5-6 “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” “ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน” “ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่านจะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย” ด้วยเสียงโห่ร้องนี้จะไปถึงบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยแล้ววันที่รอคอยก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่คาดคิดด้วยตกตะลึงพึงเพลิด แต่เราทุกคนพร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์สำหรับเจ้าบ่าวคนเดียวของเรา ข้าพระองค์อธิษฐานให้เวลานั้นมาถึงเร็ววันนี้ด้วยเถิด อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน....  (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม ทุกถ้อยคำเหล่านี้ขอมอบถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียว)........       ................................................... วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 20:37 น.

เรื่อง หนามไม่ได้มีไว้เหน็ดเหนื่อย

คำเทศนาเรื่อง   หนามไม่ได้มีไว้เหน็ดเหนื่อย  
ข้อพระวจนะ     2 คร12:7    และ  มธ 11:28
ผู้เทศนา  อ.เรวัฒน์   เทพจักร์ 



2 คร12:7   และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป   เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น   ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า   หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8 เรื่องหนามใหญ่นั้น   ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง   เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า   การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว   เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน   เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น?   เหตุฉะนั้น   ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์   ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก   ในการถูกข่มเหง   ในความอับจน   เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด   ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

บทเรียนฝ่ายวิญญาณของพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ 2 ประการ

ประการที่ 1  ชีวิตทุกๆวันของเราต้องเผชิญกับหนามใหญ่มากมาย

ก. สภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความกดดัน

ผลจากการสำรวจของ เอแบคโพลล์เดือนมีนาคม 2552 จากการศึกษาแนวโน้มดัชนีความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศ หรือGDH จาก 18จังหวัด    พบว่าดัชนี
       -ความสุขของคนกรุงเทพลดฮวบเหลือ 5.22 
       -การนอนหลับของคนไทยอยู่ที่  ร้อยละ 16.8  
       -ความสุขของคนไทยต่อการเมือง 4.53 
       -ความสุขของคนไทยต่อเศษรฐกิจ เพียง 3.95  /คะแนนเต็ม10      

ภาพของเด็กที่ลาตายสะเทือนใจผู้ปกครอง
ข่าววันที่ 22 พค 09  สลด ด.ช.พงศธร ส่งเอสเอ็มเอสไปถึงกลุ่มเพื่อนๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือข้อความว่า "วันที่ 21 คือวันสุดท้ายของเรา บาย"    มาเรียนแต่เช้าก่อนแอบขึ้นไปบริเวณชั้น 6 ซึ่งเป็นห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ก่อนกระโดดลงมาเสียชีวิตต่อหน้าครูและเพื่อนๆ นักเรียนจำนวนมาก สอบพบเป็นเด็กชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ จนถูกพ่อที่เป็นตร.ตำหนิเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุถูกดุด่าอีกจนน้อยใจไม่ยอมพูดคุย ก่อนส่งข้อความผ่านมือถือถึงเพื่อนๆว่า "วันที่ 21 คือวันสุดท้ายของเรา"

       สิ่งเหล่านี้กำลังบ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า  ชีวิตความเป็นอยู่ของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่อยู่ในกรุงเทพ และนนทบุรีความสุขได้ลดลงอย่างน่าวิตก     นั่นหมายถึงว่าสภาพจิตใจของคนไทยกำลังมีปัญหา  ชีวิตแต่ละวันเราจึงต้องเผชิญกับความกดดัน  และโรคเครียส   ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคาพยาธิ    เด็กวัยรุ่นเริ่มหันไปเสพยา และเกมคอมพิวเตอร์นักขึ้น และยกพวกตีกัน        มีการหย่าร้างมากขึ้น                 ตัวอย่าง   นายยศศักดิ์ คงมาก ผอ.สำนักงานปกครองและทะเบียน เปิดเผยว่า จากการจัดทำสถิติผู้มาขอรับบริการที่ฝ่ายทะเบียนของสำนักงานเขตทั้ง 50 เขตประจำปี 51 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ มีสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีคู่สมรสเดินทางมาจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตรวม 16,810 ราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงปี 50 ที่ผ่านมา       ที่มีคู่สมรสเดินทางมาจดทะเบียนหย่าเพียง 15,796 รายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับเขตที่มีคู่สมรสเดินทางมาจดทะเบียนหย่ามากที่สุด คือเขตบางเขน จำนวน 878 ราย รองลงมา คือเขตพระโขนง จำนวน 840 ราย
ปัญหาที่พบการหย่าร้างเพราะ  ในปัจจุบันฝ่ายหญิงมีหน้าที่การงานที่มั่นคง สามารถพึ่งตนเองได้ไม่แตกต่างจากฝ่ายชาย จึงทำให้เมื่อเกิดปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นจึงไม่มีใครยอมใคร นอกจากนี้อาจเกิดจากปัญหาความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันแล้วกลับมีทัศนคติที่ไม่ตรงกันในภายหลัง สุดท้ายก็ไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ นอกจากนี้จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายภายในครอบครัวอาจไม่คล่องตัวตามไปด้วย

 ข. ชีวิตคริสเตียนแต่ละวันเราก็เผชิญกับความยากลำบาก
ดังนั้นในชีวิตของคนเรามักจะต้องเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ หรือที่เรียกว่าหนามในชีวิต  บางคนก็เรื่องการศึกษา  การปรับตัวใหม่ในที่สถาบัน   ที่ทำงาน   และครอบครัว        บางคนมีปัญหาทุกใจเพราะเรื่องสุขภาพ  เช่นความดันโลหิต  เบาหวาน  โรคอ้วน  และมะเร็ง    ไข้หวัดสายพันธ์ใหม่       บางคนมีปัญหาในครอบครัว ระหว่างสามีกับภรรยา   ระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ    ระหว่างลูกๆกับลูกๆ    ระหว่างเรากับเพื่อนบ้าน     บางคนก็มีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจกัน    บางคนก็มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่เพียงพอ  บางคนก็ตกงาน    ( วันนี้หนังสือที่ยอดขายดีมากอีกเล่มหนึ่งก็คือ ทำงานอย่างไรไม่ให้ถูกไล่ออกจากงาน)        เช่นเดียวกับ อ.เปาโลท่านได้กล่าวถึงชีวิตของท่านว่า    ต้องอธิษฐานหนักถึง 3 ครั้งเพื่อให้หนามใหญ่ในชีวิตนั้นหลุดไป  Skolops  ภาษากรีกใช้ครั้งเดียวใน 2คร12:7 ซะคอลอฟ  หมายถึง  ขวากหนาม, ความยุ่งเหยิง, สิ่งที่ทำให้ยุ่งยาก  หอกข้างแคร่  ยุ่งยาก,  มีอุปสรรคมากมาย  ,ชีวิตที่ยากลำบากมาก  

ชีวิตของเปาโล:
เปาโลมีอีกชื่อว่าเซาโล ซึ่งเป็นคำเดียวกับ "ซาอูล" ในภาษาฮีบรู    เดิมชื่อว่า "เซาโล" (ภาษาฮีบรู แปลว่า ที่ปรารถณาที่ต้องการ"      ท่านเป็นชาวยิวเผ่าเบนยามิน เกิดในราวปี ค.ศ.10 ที่เมืองทาร์ซัส แคว้นซีลีเซีย (ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีปัจจุบันเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น     เซาโลถูกส่งไปเรียนกับอาจารย์กามาลิเอลที่กรุงเยรูซาเล็ม (กจ.22:3)     ตามแผนการอนุรักษ์ความเป็นยิวสำหรับชาวยิวที่เติบโตนอกเขตอิสราเอล      เซาโลยึดถือลัทธิฟาริสีอย่างเคร่งครัด   ตามหลักคำสอนของอาจารย์กามาลิเอล จึงก้าวหน้ากว่าเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันมาก (กท.1:14)       และเป็นนักศาสนา ได้แสดงความกระตือรือร้นต่อศาสนายิวด้วยการข่มเหงคริสตจักร (ฟป.3:5-6)      และตามจับบรรดาศิษย์ของพระเยซูเพื่อนำตัวไปลงโทษ (กจ.9:1-2; 1 คร.15:9; กท.1:13)  ภายหลังเมื่อเซาโลออกเดินทางไปประกาศกับคนต่างชาติ   เช่นชาวกรีก    ท่านเริ่มใช้ชื่อเปาโล ซึ่งเป็นชื่อภาษากรีก (กจ.13:9)    หนามใหญ่ในชีวิตของ อ.เปาโลคืออะไร     นักวิชาการทางพระคัมภีร์ได้คาดว่า สิ่งที่เปาโลเรียกหนามใหญ่นั้น น่าจะเป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพทางสายตา    เพราะชีวิตของเปาโลได้วางมือรักษาโรค ขับผี และทำการอัศจรรย์มากมาย แต่เมื่อมาถึงตัวเปาโลเอง เขากลับวางมือตัวเองไม่หาย เปาโลเข้าใจถึงน้ำพระทัยพระเจ้า ที่พระองค์อนุญาตให้เขามีความอ่อนแอเพื่อเขาจะยังพึ่งพาพระเจ้า มิฉะนั้นเขาจะหลงคิดว่าตัวเอบางท่านบอกว่าคือโรคร้าย  บางท่านก็บอกว่าการข่มเหงต่างๆ

ประการที่ 2  หนามใหญ่ไม่ได้มีไว้เพื่อทุกขภาพ


ก. เพื่อให้เราถ่อมใจลง
        2 คร12:7   และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป   เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น   ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า   หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
        ฉธบ 8: 2-3  ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงนำท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี   เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ   และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร   ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ   และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา  ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร   เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า   มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้   แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้   ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
        ทุกๆครั้งที่เราพบกับหนามใหญ่ในชีวิต เรามักจะด่วนสรุปว่าพระเจ้าลงโทษ  พระเจ้าทำให้เกิดขึ้นเรื่องนี้ต่อเราและครอบครัว  ทั้งๆที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าแสนดี เป็นผู้เลี้ยงที่ดี  และมีคำสัญญาว่าพระเจ้าจะดูแลชีวิตของคนที่เชื่อ       เรามักด่วนสรุปว่าคงเพราะเราทำบาป และพระเจ้าทอดทิ้งเราเสียแล้ว   หรือเราอาจคิดไปถึงว่าสงสัยพระเจ้าทรงนำไปทางอื่นที่ดีกว่านี้     เราจะต้องไม่ลืมว่าแท้จริงพระเจ้าทรงตีสอนเพราะรักเรา  พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตที่ถ่อมใจลง  พระเจ้าปรารถนาให้เราเข้าใจถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราเหลือล้น     การที่พระเจ้าอนุญาตให้เรายากลำบาก ไม่ได้หมายถึงว่าพระเจ้าหมดท่า และไม่มีน้ำยา หรือหมดความสามารถที่จะนำพาชีวิต     

         อ.เปาโลกล่าวถึงหนามใหญ่ในชีวิตว่า  เพื่อไม่ให้เปาโลยกตัวเกินไป    ยกตัวเรื่องอะไร?  คือเรื่องการทรงสำแดง  การทรงเรียกอันมากมาย  ความสำเร็จต่างๆที่ทำได้หลังการกลับใจใหม่     พระเจ้าให้เปาโลเรียนรู้ที่จะรับใช้พระเจ้าเต็มไปด้วยน้ำตา  ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยความยากลำบาก  มีแรงกดดันมากมายทั้งภายใน  และจากคนที่ไม่เชื่อ    ตลอดชีวิตการดำเนินกับพระเจ้า รับใช้พระเจ้าเปาโลต้องเผชิญกับหนามใหญ่     คนที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า  พระเจ้ายิ่งอำนวยพระพรให้ ดู 1ปต 5:6   และเมื่อถึงเวลาอันสมควรพระเจ้าก็จะทรงยกชูชีวิตของเราขึ้นมา    
        ขอให้สังเกตว่าหนามใหญ่นั้น เปาโลใช้คำว่า  ทุบตี หรือโบยตีในเนื้อของข้าพเจ้า    ภาษากรีกใช้คำว่า  คอลาฟิโศ Kolaphizo   เป็นสิ่งที่เดียวเกิดขึ้นกับพระเยซู  เมื่อเขาตีพระเยซูขณะถูกตรึงที่กางเขน มก 14:65      ทำให้พระองค์เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน  และได้รับความอับอาย       หลายๆครั้งในชีวิตของเรา  แม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนที่ดีเลิศประเสริฐศรีเพียงไร  พระเจ้าก็อาจจะอนุญาตให้เราท่านต้องได้รับความเจ็บปวดเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน    ความทุกข์ยากไม่ได้เลือกหน้าใคร    จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ   หรือให้เกิดความทุกข์ยาก   แต่เพื่อให้เราเจริญเติบโตขึ้น เป็นคนที่มีจิตวิญญาณที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า  และต่อธรรมิก   เมื่อเราสามารถเดินทางผ่านห้วงเวลาที่แสนทุกข์ยากลำบากนั้นแล้วเราก็จะเป็นพระพร   

         บางครั้งเปาโลก็ทุบตีร่างกายของท่านเองด้วย  เพื่อให้กลายเป็นภาชนะของพระเจ้าทรงทรงใช้การได้    1 โครินธ์ 9:27 27แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ   เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว   ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ คำว่าร่างกายของเปาโลนั้นหมายถึงความต้องการของเนื้อหนังของตัวเอง ที่เปาโลต้องมีวินัย และคอยหมั่นที่จะตรวจท่าที แรงจูงใจที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตทั้งกับตัวเอง กับพระเจ้า

 ข. เพื่อให้เห็นการช่วยเหลือจากพระเจ้า 2 คร12:9 
แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า   การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว   เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน   เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น   เหตุฉะนั้น   ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์   ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก   ในการถูกข่มเหง   ในความอับจน   เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด   ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น   อ.เปาโลหนุนใจเราว่า  หนามใหญ่ในชีวิตนั้นคือสิ่งที่ใครๆไม่ต้องการมัน     และอธิษฐานครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้มันหลุดไปจากชีวิต      แต่พระคริสต์ตรัสกับเปาโลว่า   ท่ามกลางที่เผชิญกับหนามใหญ่    และชีวิตหลายครั้งที่อ่อนแอ หมดแรง  บางครั้งดูเหมือนเป็นผลร้ายแรงต่อชีวิตคริสเตียน      แต่กลับกันในมุมมองของพระเจ้า      พระเจ้าถือว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่า    เพราะในสภาพที่อ่อนแอและชีวิตที่ต้องต่อสู้กับหนามใหญ่ในชีวิต     เหมือนกำลังแบกแอกที่หนักในชีวิต      พระคุณของพระเจ้าได้หลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเรา  ทำให้เราเห็นการช่วยเหลือของพระเจ้า   นั้นหมายถึงว่าตราบใดที่ชีวิตสะดวก สบาย มีสตางค์ใช้     เราจะไม่เฝ้าชิดติดสนิทพระเจ้าเท่าที่ควร     เราจะไม่ค่อยค่อยพึ่งแรงกำลังพระเจ้า  ไม่อธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจัง   ไม่เห็นปัญหาเป็นเรื่องคอขาด     ชีวิตคริสเตียนของเราก็เพียงแค่อุ่นๆ          แต่ตรงกันข้ามกับในสถานการณ์ชีวิตที่มีเรื่องตื่นเต้น  และเรื่องที่ระทึกใจ  ชั่วโมงเป็นชั่วโมงตายของชีวิต      นั่นเป็นเวลาที่พระเจ้าก็ลงฤทธิ์เดชลงมา และได้มีโอกาสสำแดงพระคุณต่อเรา    

 

       เป็นความจริง  ที่หลายครั้งเมื่อเราเข้มแข็งดี    เรามีสิ่งต่างๆในชีวิต ไม่ได้ขาดแคลน   เรามักจะพึ่งกำลังของเราเอง  เรามักจะต่อสู้ด้วยกำลังของเรา    แต่เมื่อไหร่ที่เราต่อสู้จนกระทั่งหมดแรงข้าวต้มในชีวิตแล้ว  เวลานั้นเองพระเจ้าก็จะได้สำแดงอำนาจ  การช่วยกู้ และนี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า   ท่านเปาโลภาคภูมิใจในสภาพที่อ่อนแอของชีวิตของท่านด้วย  ในการที่ต้องเผชิญกับการประทุษร้ายต่างๆ   พบการข่มเหง  และในความอับจน      เพราะนั่นเป็นเวลาที่พระเจ้าได้ทำงาน  พระเจ้าได้อวยพรเปาโล  พระเจ้ากำลังจะประทานแรงกำลังใหม่ให้เปาโลอีกครั้ง     ดังนั้น... ในชีวิตของเราแต่ละก้าวที่เดินไป  อาจจะมีอุปสรรคปัญหาต่างๆมึดมัว และชีวิตของเราต้องเผชิญกับช่วงขาลง  ช่วงตกอับ ตกต่ำ  แต่สิ่งที่พึงระลึกเสมอว่าพระเจ้าไม่มาได้มาช้าเกินกว่าที่คิดไว้ 

 

ในยามที่ชีวิตกำลังได้รับความยากลำบากใหญ่ในชีวิต  
เหมือนกำลังรับภาระในชีวิตที่ยากเข็ญ  และเหงา  หมดกำลัง  และรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยมากในชีวิต  พระเจ้าหนุนใจเราทั้งหลายวันนี้ผ่านพระวจนะของพระเจ้าใน      มธ 11:28  บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลาย   หายเหนื่อยเป็นสุข     เมื่อใดที่เรารู้สึกว่ากำลังเหน็ดเหนื่อย  และต้องรับภาระความรับผิดชอบที่หนักในชีวิต  ในงานที่ทำอยู่  ในความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านาย   หรือกำลังนั่งอยู่ในสภาพที่อับเฉา     พระเจ้าทรงตรัสแนะนำให้คริสเตียนที่จะเห็นควาสำคัญตรงข้อนี้อีกครั้ง     ขอให้เรามั่นใจว่าข้อพระคำตรงนี้ไม่ใช่เขียนไว้เพื่อคนที่ไม่เป็นคริสเตียน   บ่อยครั้งที่คริสเตียนมักอ่านให้คนที่เรากำลังประกาศอยู่       แต่เป็นข้อความที่มาถึงลูกของพระเจ้าทุกคนในวันนี้       พระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราได้รับการแบ่งเบาภาระที่หนักลงเสีย    และให้เราหายจากความเหนื่อยทุกอย่าง    และมีความสุขในชีวิตด้วย     พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้คริสเตียนเป็นพวกแบกโลก  แบกนิมิตใหญ่จนขาดสันติสุข   พระเจ้าไม่ได้ต้องการคน 200 คนในปี 2010นี้    แต่ต้องการให้เราทุกคนติดตามพระเจ้า  ไว้วางใจในพระองค์   เมื่อเราต้องเผชิญกับความกลัว   เรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจ  เรื่องที่กินกำลังของจนหมดลง  พระเจ้าแนะนำให้เราได้รับการผ่อนแอกนั้น    ด้วยการเรียนรู้จักมาหาพระองค์    เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วนะ....  อย่าลืมว่า  พระเยซูคริสต์สามารถช่วยให้เราได้หายเหนื่อย และเป็นสุขได้       

         นี่คือสิ่งที่เปาโลอวด  และมั่นใจในพระเยซู   คือจะได้เห็นพระคุณพระเจ้า  จะได้เห็นฤทธิ์เดช  และการโอบอุ้มที่มาจากพระเจ้าของเรา       ควรไม่ควรสรุปปัญหาต่างๆในชีวิตว่า เราเป็นคนโชคร้ายที่สุด  เราเป็นคนบาป  พระเจ้าทอดทิ้งเราเสียแล้ว  และเรามีพวกเฮงซวย  แต่โดยพระเจ้า  ในยามที่เราเหมือนคนหมดท่า   แต่พระเจ้าสามารถช่วยกู้ให้เราเปรมปรีดิ์ได้       เมื่อทดสอบแล้วโยบยังเป็นทองคำอยู่ ( โยบ 23.10 ) ท่านเปโตรเองก็บอกว่าเมื่อทดสอบความเชื่อสาวกแล้ว ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ( 1เปโตร 1.7 )   ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด  และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์  แม้เขาล้ม  เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว  เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้ ? สดุดี  37:23-24

 
คำพยานชีวิต ผู้ที่ได้สัมผัสกับพระคุณพระเจ้า
Polls Zone
คุณอยากให้ประเทศไทยได้รับการแก้ไขปัญหาในด้านใดมากที่สุดจากพระเจ้า ?